เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รวมเรื่องสั้นSkylinneas
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน นางเงือกยุคใหม่
  • Because we all need a little bit of 'The Little Mermaid' in our lives.

    ฉันชื่อมารีน่า และฉันมีเพื่อนเป็นนางเงือก

    ฉันรู้ว่ามันฟังดูบ้า แต่ว่าฉันเคยเจอนางเงือกจริง ๆ เมื่อตอนฉันยังเรียนมัธยม ไม่ใช่นางเงือกแบบเจ้าหญิงเงือกน้อยในการ์ตูน หรือนางเงือกกระหายเลือดแบบในหนังหรือตำนานอะไรด้วย นางเงือกที่ฉันรู้จักเนี่ยก็ไม่ต่างกับคนธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ คนที่คุณเจอในชีวิตประจำวันเนี่ยใครซักคนอาจเป็นมนุษย์เงือกก็ได้ พวกเขาเหมือนกับเราขนาดนั้นนั่นแหละ

    ฉันรู้ดี เพราะเธอคนนั้นเองก็เป็นแบบนั้น

    ฉันพบเธอครั้งแรกตอนที่ฉันไปเรียนแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนต่างประเทศ ที่อยู่ของบ้านโฮสต์แฟมิลี่ของฉันอยู่ติดทะเลพอดี ฉันเลยมีโอกาสได้ไปแวะเที่ยวชายหาดแถวนั้นอยู่บ่อย ๆ มีอยู่วันนึงที่ฉันต้องอยู่ช่วยงานครูที่โรงเรียนก่อนกลับบ้าน กว่าจะช่วยงานเสร็จก็เย็นมากแล้ว ตอนที่กำลังเดินกลับบ้านนั้นมีอะไรไม่รู้ดลใจให้ฉันไปแวะเดินชายหาดก่อน ทั้ง ๆ ที่ฉันก็รู้ว่ายิ่งมืดมันก็ยิ่งอันตรายที่ฉันไปเดินเล่นคนเดียว แต่ก็นะ เด็กวัยรุ่นก็ชอบทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังก่อนบ่อย ๆ นั่นแหละ นึกแล้วก็ขำตัวเองในตอนนั้นเหมือนกัน

    ตอนที่ฉันกำลังเดินเล่นอยู่ ฉันก็ไปเห็นผู้หญิงคนนึงกำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ในทะเล ถึงฟ้าจะเริ่มมืดแล้ว แต่ฉันก็ยังมองเห็นใบหน้าของเธอได้ชัดเจนอยู่ ตอนนั้นฉันคิดว่าเธอคงเป็นคนชอบบรรยากาศการว่ายน้ำคนเดียวตอนเย็น ก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ฉันนั่งรับลมทะเลอยู่ริมหาดและชมพระอาทิตย์ค่อย ๆ ตกดินไป แต่แล้วก็ไปสังเกตเห็นอะไรบางอย่างอยู่ในทะเลไม่ไกลจากผู้หญิงที่กำลังว่ายน้ำอยู่มากนัก 

    แม้ว่าจะเริ่มมืดแล้ว แต่ฉันก็มั่นใจว่าสิ่งที่ฉันเห็นคืออะไร

    “ฉลาม!” ฉันตะโกนออกไปเตือนเธอสุดเสียง “รีบขึ้นจากน้ำเร็วเข้า!”

    เธอหันมามองฉันตามเสียงเรียก แต่สิ่งที่แปลกคือใบหน้าเธอดูประหลาดใจมากกว่าตกใจ แทนที่เธอจะรีบว่ายน้ำขึ้นฝั่ง ฉันกลับเห็นเธอดำลงไปในน้ำแทน แล้วครีบฉลามที่ฉันเห็นกำลังตามเธออยู่นั้นก็ดำตามลงไป ตอนนั้นฉันตกใจมาก คิดว่าเธอจะไม่รอดแน่ ๆ ฉันเลยรีบวิ่งไปหาผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดให้รีบมาช่วย แต่พอกลับมาที่หาด ทั้งเธอทั้งฉลามก็ไม่อยู่แล้ว และในทะเลไม่มีวี่แววเลือดปนอยู่ในน้ำเลย

    -------------------------

    สองวันต่อมาฉันกลับไปที่หาดอีกครั้ง วันนั้นเป็นวันหยุด ฉันเลยไปวิ่งจ้อกกิ้งที่หาดตอนเช้า แม้จะยังไม่ลืมเรื่องเมื่อคืนนั้น แต่ฉันก็ไม่ได้เก็บไปคิดอะไรมากนัก จนกระทั่งฉันได้เห็นใบหน้าเธออีกครั้งที่ส่งยิ้มมาให้ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามาหาอย่างเป็นมิตร ดูจากหน้าแล้วเธอน่าจะมีอายุไล่เลี่ยกับฉันเลย ผิวของเธอสีคล้ำจากการตากแดด และร่างกายของเธอดูเพรียวราวกับนักว่ายน้ำทีมชาติ

    “เธอใช่มั้ยคนที่ตะโกนเรียกฉันเมื่อสองวันก่อนน่ะ? ขอบคุณมากนะ” เธอกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “แต่เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ปกติบรูซมันชอบว่ายน้ำตามฉันเป็นประจำอยู่แล้ว มันเป็นฉลามขี้เหงาน่ะ”
    ฉันแทบไม่เชื่อหูตัวเองตอนนั้น เธอกำลังบอกฉันว่าเธอไม่เพียงแต่ลงไปว่ายน้ำกับฉลาม แต่ยังคุ้นเคยกับมันดีพอจนถึงกับตั้งชื่อให้เลยด้วย

    “ต...แต่...ฉันนึกว่าเธอเกือบตายแล้วตอนนั้น”

    “ฉันเข้าใจ ๆ” เธอคนนั้นตอบก่อนหัวเราะเล็กน้อย “คนส่วนใหญ่เวลาเห็นฉลามก็คิดแบบนี้แหละ แต่เอาจริง ๆ ฉลามส่วนใหญ่ถ้าเราไม่ไปยุ่งกับมัน มันก็ไม่มายุ่งกับเราหรอก”

    “ว่าแต่ เธอลงไปว่ายน้ำทำไมตอนมืด ๆ ล่ะ? มันอันตรายมากไม่ใช่เหรอ?”

    รอยยิ้มของเธอจางลงไปเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะหันไปมองทะเลเบื้องหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย สีหน้าดูลังเลเหมือนมีอะไรอึดอัดอยู่ในใจ ตอนนั้นแหละที่ฉันสังเกตเห็นอะไรบางอย่างอยู่ที่หลังหูข้างซ้ายของเธอ ลักษณะมันดูคล้ายกับเหงือกปลามาก

    ก่อนที่ฉันจะได้ทันพูดอะไรออกไป เธอคนนั้นก็หันมาหาฉันอีกครั้ง ก่อนกล่าวสิ่งที่ฉันจะจดจำไปไม่เคยลืมเลย

    “ถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นเงือก เธอจะเชื่อฉันมั้ย?”

    ---------------------------

    หลังจากยืนตกใจอยู่พักใหญ่ ฉันมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เธอพาฉันไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมหาดแล้ว ตอนนั้นหาดยังปลอดผู้คนอยู่ เธอเลยยอมเปิดเผยตัวตนของเธอให้ฉันรู้ได้อย่างไม่ต้องกังวลมากนัก ตอนแรกฉันก็ไม่ได้เชื่อหรอก คิดว่าเธอแค่เล่นตลกอะไรซักอย่าง แต่พอยิ่งฟังเธออธิบายไปเรื่อย ๆ มันก็เริ่มจะมีเหตุผลขึ้นมาบ้าง

    “ถ้าเธอเป็นนางเงือกแล้วเธอจะมาเดินบนบกเหมือนคนได้ไงล่ะ?”

    เธอถกกระโปรงที่เธอใส่อยู่ขึ้น (ทำเอาฉันร้องว้ายไปทีนึง) เผยให้เห็นเรียวขาที่เหมือนกับคนมาก แต่มีรูปร่างแปลก ๆ ที่ดูเหมือนมันเคยเป็นกล้ามเนื้อส่วนเดียวกัน อีกทั้งบริเวณเท้าของเธอนั้นยังมีขนาดยาวกว่าเท้ามนุษย์ทั่วไปด้วย 

    “มนุษย์อย่างเธอน่ะชอบชินภาพนางเงือกว่าต้องมีท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นปลา ชอบนุ่งน้อยห่มน้อยใช่มั้ยล่ะ?” เธออธิบายด้วยน้ำเสียงรำคาญเล็กน้อย “จะบอกให้ว่าถ้าพวกเราอยู่ในน้ำกันตลอดชีวิตเนี่ย ร่างกายเรามันก็คงมีเกล็ดเหมือนปลาไปทั้งตัวแล้วนั่นแหละ จะให้มีร่างกายท่อนบนสวยสดงดงามเหมือนนายแบบนางแบบได้ที่ไหนกัน เรื่องที่พวกเรารู้จักใส่เสื้อผ้านี่ก็เหมือนกัน มันก็เพราะผิวหนังของเราบอบบางต่อแสงแดดนั่นแหละ ขืนไม่ใส่อะไรเลยผิวหนังได้เกรียมพอดี”

    “ว่าแต่ทำไมเธอรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกมนุษย์ดีจัง แถมยังพูดภาษาของพวกเราได้อีกล่ะ?”

    “ก็อย่างที่พูดไง เราไม่ได้อยู่ในน้ำกันทั้งชีวิตซักหน่อย เราแค่ชอบอยู่อาศัยแถวที่ที่มันมีแหล่งน้ำใหญ่ ๆ ก็เท่านั้นเอง เธอเองรู้แล้วก็อย่าเอ็ดไป ชาวเงือกอย่างเรานี่อยู่ปะปนกับพวกเธอเยอะจะตายไป โดยเฉพาะที่ที่มันอยู่ติดทะเลเนี่ย พวกเราใช้ชีวิตประจำวันอยู่บนโลกนี้ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปนั่นแหละ ไปเรียน ไปทำมาหากิน เธอคิดว่าฉันรู้ภาษาของพวกเธอได้ไงล่ะ?”

    ฉันฟังแล้วก็ลองคิดตาม ถ้าหากชาวเงือกมีอยู่จริง มันก็ออกจะแปลกนั่นแหละว่าทำไมถึงมีตัวครึ่งบนกับครึ่งล่างไม่เหมือนกัน ถ้าชาวเงือกอาศัยอยู่ใต้น้ำทั้งวันทั้งคืน ตัวก็คงจะเปื่อยแย่ถ้าร่างกายท่อนบนมีลักษณะเหมือนคนบนบก แถมพวกนิทานเรื่องเล่าที่ฉันเคยเจอเกี่ยวกับชาวเงือกยังไม่มีปัญหาเรื่องการพูดภาษามนุษย์อีกด้วย ธรรมดาแล้วเงือกที่อยู่ใต้น้ำมีความจำเป็นต้องใช้ภาษามนุษย์คุยกันด้วยเหรอ? จริง ๆ ถ้าอยู่ใต้น้ำตลอดเวลานี่พวกเขาไม่น่าจะพูดได้ด้วยซ้ำไป 

    ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งเข้าใจว่า หลาย ๆ สิ่งที่ฉันรู้มาเกี่ยวกับชาวเงือกนั้นผิดทั้งหมด

    “สรุปง่าย ๆ ก็คือเราก็แค่มนุษย์ที่ชอบอยู่กับน้ำมากกว่าคนทั่วไปก็เท่านั้นแหละ” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับยิ้มอีกครั้ง 

    “จะว่าไปฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่ ฉันชื่อคอรัล ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

    ---------------------

    หลังจากนั้นมา ฉันกับคอรัลก็เจอกันบ่อยขึ้น ทุกเย็นหลังเลิกเรียนฉันมักจะเห็นเธอว่ายน้ำเล่นอยู่ในทะเลเสมอ ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันลงไปว่ายน้ำด้วย และได้เห็นขาของเธอใต้น้ำเป็นครั้งแรก ขาทั้งสองของคอรัลประสานแนบชิดเข้าด้วยกันจนเหมือนกลายเป็นกล้ามเนื้อชิ้นเดียวกัน และเธอว่ายน้ำด้วยท่าที่คล้ายกับปลาโลมา ซึ่งทำให้เธอว่ายน้ำได้เร็วกว่าฉันมาก

    “แต่เจ้าขาพวกนี้น่ะพอมาอยู่บนดินมันก็ใช้งานหนักไม่ได้หรอก” คอรัลอธิบาย “ถ้าฉันวิ่งแข่งกับเธอบนดินฉันก็คงแพ้ตั้งแต่เริ่มแล้ว ขาของพวกเรามันไม่ได้วิวัฒนาการมาให้ใช้แบบนั้น”

    “พูดถึงวิวัฒนาการนี่ เธอคิดว่าทำไมถึงมีมนุษย์ที่อาศัยอยู่ทั้งบนบกและในน้ำด้วยล่ะ?”

    “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันหรอกนะมารีน่า แต่คิดว่าก็คงเหมือนกับสัตว์ประเภทอื่น ๆ นั่นแหละมั้ง ดูอย่างนกก็ได้ มีทั้งนกที่บินได้และบินไม่ได้นี่จริงมั้ยล่ะ ฉันว่ามนุษย์เราก็คงเหมือนกันนั่นแหละ จะพูดก็พูดเถอะ เท่าที่ฉันเคยฟังจากที่พ่อแม่ฉันเล่า บรรพบุรุษของพวกเราเดินทางไปทั่วโลกเลยนะ พวกเรื่องเล่า นิทาน ตำนานอะไรทั้งหลายเกี่ยวกับชาวเงือกจากทั่วโลกที่เธอรู้จักน่ะ ได้แรงบันดาลใจมาจากการได้พบเห็นบรรพบุรุษของเราทั้งนั้นแหละ”

    ฉันฟังแล้วก็อดทึ่งตามไม่ได้ การได้รู้ว่าชาวเงือกมีอยู่จริงก็น่าตื่นเต้นพอแล้ว แต่การได้รู้ว่าพวกเขามีส่วนในการสร้างสรรค์วัฒนธรรมมนุษย์ด้วยนั้นยิ่งทำให้พวกเขาดูน่าสนใจมากขึ้นอีกเยอะ

    “ว่าแต่เธอคงไม่ได้...คุยกับพวกปลารู้เรื่องหรอกใช่มั้ย?” ฉันถามอาย ๆ “ก็เห็นเธอลงไปว่ายน้ำกับฉลามได้สบายใจขนาดนั้นนี่”

    “ให้ตายสิ มนุษย์นี่ไม่เข้าใจชาวเงือกอย่างพวกเราเอาซะเล้ย!” คอรัลขึ้นเสียงเล็กน้อย แต่ก็อดขำสิ่งที่ฉันถามไม่ได้ 

    “ฉันไม่ได้พูดกับปลาหรือสัตว์น้ำอะไรได้หรอก ฉันแค่เข้าใจพวกมันต่างหาก มนุษย์ที่รู้จักสัตว์น้ำดีมาก ๆ ก็ไม่ต่างจากชาวเงือกอย่างเรามากนักหรอก พูดถึงฉลามแล้วก็ขอบ่นเลยล่ะกัน ฉันล่ะเบื่อเหลือเกินเวลาเห็นหนังอะไรพวกนี้แสดงภาพฉลามเป็นสัตว์ร้ายกระหายเลือดทุกที ทั้งที่มนุษย์ต่างหากที่เป็นฝ่ายล่าฉลามจนเกือบจะสูญพันธุ์อยู่บ่อยไป จริง ๆ แล้วฉลามเนี่ยไม่ชอบกินเนื้อมนุษย์หรอก ที่พวกมันกัดเนี่ยเพราะมนุษย์ชอบทำตัวเหมือนเหยื่อต่างหาก ฉลามมันเป็นปลานักล่า พอมันเห็นอะไรคล้ายเหยื่อมันก็จะต้องไล่งับตามสัญชาติญาณอยู่แล้ว เราก็แค่ต้องรู้จักระวังตัวเวลาอยู่ใกล้ ๆ มันก็เท่านั้นเอง อย่าตื่นตกใจแล้วแสดงความเกรงขามให้มันเห็นและอย่าให้มันได้กลิ่นเลือด มันก็ไม่ทำอะไรเราแล้ว เอาจริง ๆ ฉันว่าสัตว์น้ำมีพิษอย่างงูทะเลหรือแมงกะพรุนยังน่ากลัวกว่าอีก”

    “พูดเหมือนมันง่ายมากเลยนะเธอ จะให้ใจเย็นตอนอยู่กับฉลามเนี่ย” ฉันเหน็บคอรัลไปทีนึง “ว่าแต่ชาวเงือกมีพวกหนุ่มหล่อ ๆ บ้างมั้ยเนี่ย? อยากเห็นบ้างจัง”

    “ก็มีเยอะอยู่นะ ฉันเองก็เล็งไว้สองสามคนเหมือนกัน” คอรัลกล่าวก่อนหัวเราะคิกคัก

    --------------------

    ฉันจำรายละเอียดได้บ้างไม่ได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้นตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีที่ฉันเรียนอยู่ต่างประเทศ แต่สิ่งที่ฉันจำได้แม่นไม่เคยลืมคือทุกช่วงเวลาที่ฉันได้อยู่กับคอรัล 

    เธอชอบเล่าถึงอารยธรรมและประวัติศาสตร์ของชาวเงือกเท่าที่เธอรู้ รวมทั้งการใช้ชีวิตของชาวเงือกในปัจจุบัน เธอสอนฉันว่ายน้ำจนคล่องทั้งที่เมื่อก่อนฉันว่ายน้ำแทบไม่เป็นเลย หลังฉันเลิกเรียนพวกเราว่ายน้ำด้วยกันเกือบทุกวัน และวันไหนที่ไม่ได้ว่าย เราก็หาอะไรสนุก ๆ อย่างอื่นทำบนบกแทน คอรัลชอบเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกใต้ทะเลให้ฉันฟัง ทุกครั้งที่ฉันได้ใช้เวลาร่วมกันกับคอรัลนั้นจะเป็นเวลาที่ฉันมีความสุขมาก 

    แต่เวลาแห่งความสุขมันย่อมผ่านไปไวเสมอ

    “ฉันคงต้องกลับบ้านแล้วล่ะ” ประโยคที่ไม่อยากกล่าวออกไปเลยหลุดจากปากฉันไปในที่สุด “โฮสต์แฟมิลี่จะไปส่งฉันที่สนามบินพรุ่งนี้แล้ว ฉันก็เลย...”

    มาบอกลาเธอ ฉันได้แต่ต่อประโยคให้จบอยู่ในใจ เพราะฉันไม่อยากบอกลาคอรัลเลย ฉันอยากอยู่ที่นี่ ทำความรู้จักกับเธอและชาวเงือกให้มากกว่านี้ ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะชวนเธอมาประเทศฉันด้วยกัน แต่ฉันก็รู้ว่าบ้านของคอรัลอยู่ที่นี่ และถึงเราจะสนิทกันมากเท่าไหน เราทั้งคู่ต่างก็ต้องเดินไปตามทางของเรา

    “แต่ฉันจะกลับมาหาเธอแน่ ๆ ฉันสัญญาจากใจเลยจริง ๆ นะ เธอไม่ต้อง...” 

    คอรัลดึงฉันเข้าไปสวมกอดก่อนที่ฉันจะทันพูดจบ ทำเอาฉันพูดอะไรต่อไปไม่ออก เธอตบหลังฉันเบา ๆ ปลอบใจ ก่อนจะปลีกตัวออกมาและยื่นเปลือกหอยชิ้นหนึ่งให้ฉัน

    “นี่เป็นของขวัญที่ฉันให้เธอนะ มารีน่า” เธอกล่าวพร้อมกับยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันเชื่อว่าเราจะต้องได้พบกันอีกอย่างแน่นอนนะ”

    ------------------

    จากวันนั้นมา มันก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว

    ฉันไม่ได้กลับไปหาคอรัลตามที่สัญญาเอาไว้เลย ตอนที่ฉันกลับมาถึงบ้านนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ฉันต้องกังวลกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว พอสอบเข้าได้ชีวิตก็เริ่มถาโถมอะไรหลายอย่างเข้ามาใส่ฉันอย่างไม่หยุดหย่อนจนฉันหาโอกาสที่จะเดินทางไปยังประเทศที่คอรัลอยู่ไม่ได้เลย พอรู้ตัวอีกทีฉันก็เรียนจบ แล้วก็เริ่มทำงานแล้ว คงอีกนานกว่าฉันจะหาเงินและเวลาว่างที่มากพอที่จะให้ฉันได้ไปใช้ชีวิตตามที่ต้องการซักที

    แต่ฉันก็ยังไม่เคยลืมคอรัลเลย และฉันเชื่อว่าเธอเองก็คงจะคิดเหมือนกัน

    “นี่ ๆ เมื่อวานนี้เจ้าบ้านั่นมันชวนฉันไปกินซูชิด้วยล่ะ อยากจะบ้าตาย อุตส่าห์บอกมันไปตั้งหลายรอบแล้วว่าฉันไม่ถูกกับอาหารทะเล คิดอะไรของมันเนี่ย!?”

    น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของหญิงสาวที่ฉันคุ้นเคยดังมาจากลำโพงคอมพิวเตอร์ พร้อมกับที่ใบหน้าขมึงทึงของเธอปรากฎขึ้นมาบนหน้าจออีกครั้งหลังจากที่เมื่อซักครู่นี้เธอกำลังเซ็ตกล้องทางฝั่งเธออยู่

    “เอาน่า อย่างน้อยเค้าก็ดูห่วงใยเธอดีออกนะ ฉันน่ะสิ พึ่งจะอกหักมาเอง” ฉันกล่าวเศร้า ๆ “เฮ้อ ผู้ชายดี ๆ เดี๋ยวนี้หายากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลย”

    “เชื่อฉันสิ งมเข็มในมหาสมุทรยังง่ายกว่านี้เยอะ ฉันเองยังเก็บเจอมาได้ตั้งหลายอันแน่ะ” เธอพูดพลางหัวเราะร่าเริง จนฉันอดที่จะขำตามไปไม่ได้ “เฮ้ย! นี่ฉันพูดจริงนะยะ! ไม่เชื่อรึไงกัน”

    กลายเป็นว่าเปลือกหอยรูปร่างแปลก ๆ ที่คอรัลให้ฉันมาวันนั้นเป็นอุปกรณ์สื่อสารบางอย่างที่ทำงานคล้าย ๆ กับมือถือที่ฉันใช้ คอรัลอธิบายให้ฉันฟังทีหลังว่าเจ้าสิ่งนี้มันก็คือสมาร์ทโฟนที่ชาวเงือกคิดค้นขึ้นเอาไว้ใช้กันเองนั่นแหละ แต่ที่เจ๋งคือเทคโนโลยีของพวกเขาล้ำหน้าไปกว่าสมาร์ทโฟนของมนุษย์อยู่มาก สามารถใช้ได้ทั้งบนบกและในน้ำโดยที่สัญญาณไม่ขาดหายเลย แถมยังทนทาน ไม่พังง่ายเหมือนโทรศัพท์บางรุ่นอีกด้วย และนอกจากจะใช้ติดต่อกันเองหรือสื่อสารกันผ่านคอมพิวเตอร์ได้แล้ว ยังมีระบบป้องกันการติดตามชนิดพิเศษที่สามารถรับประกันได้ว่าไม่มีใครสามารถติดตามกลับไปหาเงือกผู้เป็นเจ้าของและเสี่ยงเปิดเผยโลกใต้น้ำให้มนุษย์รู้ได้เลย

    ชาวเงือกยุคใหม่นี่ไฮเทคกันจริง ๆ 

    “มีของดีขนาดนี้ฉันต้องกลัวว่าซักวันพวกเธอจะยกพลขึ้นมาบนบกมั้ยเนี่ย?” ฉันพูดหยอกคอรัลเล่น ๆ
    “ก็ถ้าพวกเธอยังไม่หยุดปล่อยของเสียลงทะเลแบบนี้ซักวันก็ไม่แน่นา” คอรัลขู่กลับมาแบบหยอก ๆ เช่นกัน “แต่ฉันว่าแค่ละลายน้ำแข็งขั้วโลกก็พอแล้วมั้ง แค่นี้ก็ขู่พวกเธอให้กลับมารักโลกได้แล้วแหละ ฮ่า ๆๆ”

    เฮ้อ มีเพื่อนเป็นนางเงือกนี่มันเหนื่อยใจแบบนี้นี่เอง


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in