เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ไป-เสพ-มาimonkey7th
Civil War : อีโก้ หล่อล่ำ และ อำนาจที่เหนือการควบคุม




  • -1-


    -ว่ากันด้วยตัวหนังและความสนุก-



        ต้องยอมรับเลยว่าเรื่องนี้เป็นความลงตัวที่สุดตั้งแต่ได้รับการเสพหนังซุปเปอร์ฮีโร่ การดำเนินเรื่องที่สามารถเกลี่ยบทได้ลงตัว (แม้จะแย้งนิด ๆ ว่านี่หนังกัปตันนะโว้ย) มีที่มาที่ไปอย่างมีเหตุมีผล เก็บรายละเอียดได้ทุกเม็ดคล้องจองกันอย่างสวยงาม กลิ่นและเอกลักษณ์มาเต็ม หนังล่าสุดที่บทลงตัวใช้ทุกอย่างของหนังได้หมดจดก็จะเป็น Zootopia แต่นั่นเป็นการสร้างขึ้นมาใหม่ทุกตัวละคร แต่เรื่องนี้เป็นการเอาความเป็นตัวตนของแต่ละคนมาใช้อย่างสมเหตุผล และเข้ากันอย่างอร่อยเลยทีเดียว


          อีกอย่างที่ต้องชมคือการเพิ่มตัวละครใหม่ ๆ มาอย่างลงตัว สไปเดอร์แมนที่เป็นสไปเดอร์แมนจริง ๆ ไม่ใช่ฮีโร่มาดเท่เหมือนที่ผ่านมา (ผมสไปเดอร์ไม่ชอบทุกเวอร์ชั่นที่เคยทำเป็นหนัง มันปั้นให้เท่เกินไป) ทำให้สไปเดอร์แมนเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว พูดมาก และพยายามสร้างตัวตนในฝูงซุปตาร์วงการฮีโร่ และที่ขาดไม่ได้คือป้าเมย์แซ่บเว่อร์ แอนท์แมน ผู้มีบทพูดไว้แย่งซีนชาวบ้าน เป็นอีกตัวที่มาแล้วฮาขี้แตกขี้แตน ฮาไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น นึกภาพว่าถ้าต้องมาปะทะกับเดดพูลคงมันส์สะแด่วแห้วกัน แบล็กแพนเธอร์ นายคือตัวแทนของ--เอ่อ-- เอาไว้บทต่อไปละกัน และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือตัวร้ายที่ไม่มีพลังใด แต่สั่นคลอนทีมที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลสำเร็จ ผมมองดูแล้วรู้สึกว่า ตัวร้ายมีกลิ่นของแบทแมนจาง ๆ เสียแต่ว่าไม่เก่งเรื่องการต่อสู้เท่า บรูซ เวน์ แค่นั้นเอง


       สรุปคือ 146 นาทีในโรงคือสิ่งมีค่าที่น่าเก็บกักเข้าสู่ความทรงจำหลัก (Joy ว่าไว้ใน Inside Out) ว่าไม่มีบ่อยมากนักที่เรื่องราวของตัวละครจะถูกสร้างมาให้ลงตัวขนาดนี้ 



    -2-


    เจาะกันลึก ๆ ถึงความขัดแย้ง
    (ท่อนนี้มีสปอลย์ในเรื่องความรู้สึกและสถานการณ์บางอย่าง)--


          เรื่องราวท่อนนี้จะมีดึงความเป็นฝั่งเป็นฝ่ายในตัวของผมมาตีแผ่ ก่อนอื่นผมออกตัวเลยว่า #TeamCap อย่างออกนอกหน้า กระดี้กระด้าเกินตัว จนน่ากลัวว่าจะเปลี่ยนเพศ เห็นพัฒนาการจากภาคแรกที่ทำออกมาได้น่าโยนลงถังขยะ เป็นหนังที่เรียกได้ว่าทำมาให้ตัวละครครบเฉยๆ ไม่สนุก ไม่มีอะไรน่าจดจำ(ทอร์ภาคแรกอีกเรื่องที่น่าเผาทิ้ง) ต่อมาภาคสองที่พลิกไปกลายเป็นขวัญใจอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ผิดกับ ไอเอิร์นแมน (ครูภาษาอังกฤษให้ออกเสียงแบบนี้ แต่ดูแล้วไม่ถนัดอ่ะ ขอเป็นไอออนแมนละกัน) ที่เปิดตัวได้สวยหรูจนเป็นจุดกำเนิดของ Marvel Cinematic Universe ให้เราได้เสพจนปัจจุบัน ก่อนที่จะออกทะเลในภาค 2 และ 3 T.T


        โอเค มาเข้าเรื่องกัน เรื่องเริ่มจากเหตุการที่โซโคเวีย ใน Avenger : Age Of Ultron ที่โดนถล่มเสียหายประชากรตายกันเป็นเบือจากการปะทะนั้น เป็นช่องให้ UN หรือ สหประชาชาติ ลงมติให้ฮีโร่ทุกคนต้องลงทะเบียน เพื่อขอรับต้นกล้า และโควต้าจำนำข้าว ตึ่งโป๊ะ เพื่อที่จะสามารถควบคุม ติดตามและ ดูแลการกระทำของฮีโร่เหล่านี้ ได้


         และเนื่องจาก IronMan เป็นผู้ที่ทำให้เกิดเรื่องโดยตรงจึงยอมรับการเข้าร่วมสนธิสัญญานี้อย่างเต็มใจ และชักชวนเพื่อน Avenger เข้าสู่กระบวนการ ทำให้ กัปตัน ที่ไม่ชอบมนุษย์อยู่แล้วเป็นทุนเดิม(จาก ปสก ที่ผ่านมาบอกว่ามนุษย์ไว้ใจไม่ได้) จึงเริ่มแยกตัวออกจากกลุ่ม อีกทั้งมีเหตุการณ์ Bucky Barnes เพื่อนของกัปตันก่อการร้าย ทำให้องค์กรต่าง ๆ ของโลกหมายหัวเขา กัปตันจึงต้องไปช่วยเพื่อน ในขณะที่ Iron Man ต้องหาทางจับกุม


         มาตรงนี้ผมค่อนข้างที่จะอยู่ฝ่าย Stark แล้วเพราะ ปสก ที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ว่าเรื่องอำนาจทุกอย่างต้องมีการควบคุม กัปตันเองเข้าใจว่าตนเองมีวิจารณาญาณที่ดี ที่สามารถตัดสินถูกผิดได้ แต่คำถามคือแล้วถ้าวันนึงกัปตันตัดสินผิดพลาดละใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ 


         ในเรื่องพยายเล่นกับความรู้สึกของความเชื่อใจที่กัปตันมอบให้เพื่อน การที่กัปตันโมโหว่ามีตัวละครบางตัวถูก Iron Man กักขัง ซึ่งเอาเข้าจริง ตัวนั้นมีความสามารถระดับที่ไม่มีใครขังได้หรอก การโกหกสีขาว หรือปิดบังข้อมูลบางอย่างเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา(เป็นปัญหาแก่นเรื่องระดับฮาร์ดคอร์) ซึ่งแน่นอนหาผมเป็นคนที่ถูกปิดบังย่อมโกรธชนิดตายเป็นตายเช่นกัน เหล่านี้ล้วนส่งให้ กัปตันในสายตามผมเป็นเด็กบ้าอำนาจ เป็นตัวแทนของอเมริกา ที่ซอดแทรกไปทุกย่อมหญ้าด้วยวลีแห่งอิสระภาพน้ำเน่า จนไม่สามารถควบคุมได้ 


        Iron Man พยายามผลักดันให้ทุกอย่างสามารถตรวจสอบได้ และเป็นผู้ทำทุกอย่างให้สะอาดเท่าที่จะทำได้ ด้วยน้ำมือสกปรกและความหลังที่ผ่านมาของเขาเป็นบทเรียนอย่างดีให้กับผู้ที่มีอำนาจ ว่าการมีอำนาจมากไปไม่เคยก่อให้เกิดผลดี


         แน่นอนการอยู่ในระบบอาจมีความล่าช้าและไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง หากแต่การปะทะของเหล่าฮีโร่ย่อมเกิดผลกระทบไม่มากก็น้อย(ส่วนใหญ่จะมากนะเท่าที่เห็น) แต่หากมีการระดมความคิดกันก่อนที่จะออกไปทำการใด ๆ ก็น่าจะลดผลกระทบได้ดีกว่าการถือโล่วิ่ง เข้าหาวายร้าย เพราะด้วยศักยภาพของเหล่า Avenger นั้น หากไม่ชอบคำสั่งหรืออยากไปกระทำการใด ๆ ย่อมได้อยู่แล้ว การเซ็นรับสนธิสัญญา อาจเป็นเพียงทำให้ประชานผู้บริสุทธิ์สบายใจในระดับนึงเป็นเพียงเสือกระดาษที่ประกาศว่า เรายอมให้ตรวจสอบเท่านั้น แต่ฝ่ายกัปตันเองก็ไม่สามารถลดอีโก้นั้นลงได้ 


    ยังไงเสีย เรื่องก็ลงในรูปแบบที่ให้เราต้องขบคิด และผมเชื่อว่าในเส้นของหนังภาคต่อ ๆ ไป คงไม่สามารถต่อทีมที่เกิดรอยร้าวนี้ได้อย่างที่ผ่านมา(ถ้าไม่ใช่ Marvel อยากจะต่อให้ติดเอง)



    -3-


    -ว่ากันด้วยเรื่องได้อะไรจากหนัง ภาพสะท้อนที่แสนใกล้ตัว-

         อย่าพึ่งเบื่อกันครับ มาตอนนี้เราลองมาตีความว่าได้อะไรจากหนังเรื่องนี้บ้าง สิ่งที่ผมเห็นคือการที่ประชาชนอย่างเราๆ ทำได้แค่เป็นผู้ชม คือ หนังฮีโร่หรือเรื่องราวส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ตัวเอกเป็นใครสักคน ที่มาเปลี่ยนแปลง นำพา หรือก่อเกิดอะไรสักอย่างให้เรื่องราวมันดีขึ้น(หรือเลวร้ายลง)ในตอนจบ เรามักจะคิดว่าเราเป็นตัวเอกที่นำพาความเปลี่ยนแปลงนั้น แต่เรื่องนี้ผมไม่รู้สึกเช่นนั้น หนังทำให้ผมเป็นเพียงผู้ชม ที่มองดูการโคจรของดาวหางขนาดใหญ่มาชนกัน ทำอะไรไม่ได้ ภาวนาให้อย่าให้สะเก็ดระเบิดมาตกใส่หัวเท่านั้นเอง

        หนังทำให้เรามองเห็นการปะทะกันของขั้วข้างแห่งอำนาจ เหมือนเด็กห้าขวบที่ดูพ่อแม่ทะเลาะกัน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและหวังว่า จะไม่มีพ่อ หรือ แม่ เอาไม้มาหวดเราประชดอีกฝ่ายแค่นั้นเอง  เห็นภาพการเป็นพลเมืองชั้นล่างสุดที่นั่งดูผู้ปกครองโต้เถียงกัน โดยมีฝ่ายที่มีอำนาจจากตัวเอง(ซึ่งเอามาจากไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามีเยอะมาก) ต้องการรักษาสถานภาพของอำนาจโดยกระทำการทุกอย่างเพื่อไม่ให้รากฐานนั้นสั่นคลอน กับอีกฝ่ายที่เป็นเพียงมนุษย์ตาดำๆ ที่ทำได้แค่พยายามเรียกร้องให้อำนาจนั้นยอมลดระดับ ด้วยสิ่งที่ตนเองมีอย่างเดียวคือพลังประชาชน 

        แต่แล้วเมื่ออำนาจนั้นไม่ยอมรับ ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ ถึงแม้ว่าจะฝ่ายประชาชนบอกว่าจะทำทุกอย่าง เอาเข้าจริงไม่สามารถทำอะไรได้เลย 

       มีภาพของการปลุกระดมให้เข้ากับขั่วต่าง ๆ อย่างเปิดเผย และมีอำนาจที่สาม(Black Panther) ที่มีพลังพอสมควรยืนดู ไตร่ตรอง และเลือกข้างที่มีแนวโน้มที่ดีกว่า แล้วเข้าร่วมมือ แทรกแทรง พบสัญลักษณ์แห่งการสงสัย เขี้ยวเล็บที่ผลุบโผล่แฝงนัยยะของความไม่น่าไว้วางใจ 

       และสุดท้ายการช่วยเหลือพวกพ้อง ที่ไม่ว่าผิดอย่างไรหากเป็นเพื่อนกู ตัวกูต้องปกป้อง (ประเด็นนี้ใครดูแล้วเข้าใจ อยากถกเพิ่มเติมก็เม้นไว้เลย) 

    ถึงแม้ท้ายสุดหนังจะจบลงตรงที่เอ่อ.......ไปดูเองละกัน(ซึ่งก็คงดูกันหมดแล้วนั่นแหละ) แต่มันก็ยังทิ้งคำถามไว้ในหัวเราว่า 

    อำนาจที่ดีคืออะไร 
    แล้วเราแน่ใจได้อย่างไรว่าผู้ที่ใช้อำนาจจะเป็นคนดีตลอดไป 
    หากไร้การควบคุม

    อยากรู้ว่าใครมีนิสัยอย่างไร เอาอำนาจให้เขาสิ
    ใครพูดไม่รู้ เท่ดี





    ลิง30.4.16
    17.10
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in