เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แม้เจ็บปวด ขอจงถนอมใจunjvw
พลาสเตอร์ยาสำหรับการเติบโต
  • "การเจ็บปวดนี่ไม่ดีเลยนะ" ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบในยามค่ำคืน คืนนี้ยังคงเป็นคืนที่เงียบสงบเช่นเคย ทว่าในความรู้สึกของเจ้าตัวยิ่งค่ำมืดดึกดื่นลงเพียงใดก็ยิ่งดำดิ่งลงเท่านั้น เวลากลางคืนที่เงียบงันนำพาความว้าเหว่ามาด้วย


    "แต่ถ้าการเจ็บปวดทำให้เธอเติบโตขึ้น การเจ็บปวดก็ไม่เลวเหมือนกันนะ" อีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกันพูดขึ้นมาหลังจากเว้นช่วงเวลาไว้สักพักหนึ่งแล้ว สำหรับเธอผู้รับฟัง ในคืนนี้ท้องฟ้าสวยงามกว่าทุกคืน ดวงจันทร์สีเหลืองนวลฉายชัดอยู่บนท้องฟ้า ท่ามกลางดวงดาวที่เปล่งประกาย 


    อยากให้คนที่นั่งข้าง ๆ เงยหน้ามองท้องฟ้าและมีความสุขเหมือนเธอบ้าง เธอคิดในใจ แต่คนข้างกายกลับก้มหน้างุดมองพื้นดินและจ่อมจมอยู่กับความคิดของตัวเองเพียงเท่านั้น


    "เราเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกไม่ดีเลย เรารู้สึกอ่อนแอ เหมือนตัวเราเองไม่มีค่า" คนข้าง ๆ เล่าระบายความรู้สึกอัดอั้นภายในจิตใจออกมา "ทำไมเราต้องเป็นแบบนี้ด้วย เหมือนมีบาดแผลที่มองไม่เห็นและจะติดตัวไปตลอด แบบนั้นเลย" เขายังคงเล่าต่อไป


    "มีแผลก็แค่ทายา เดี๋ยวก็หายนะ" เธอปลอบใจเขา เหมือนที่ทำเสมอมา


    "แล้วถ้ามันไม่หายล่ะ..." ดวงตาเขาเศร้าลงกว่าเดิม มองเห็นหยดน้ำตาเอ่อคลอภายในนั้น


    เธอเป็นห่วงเขาจับใจ เขาคนที่เธอรู้จักไม่ใช่คนไม่ดี กลับกันเขาเป็นคนที่ดีมาก ๆ ด้วยซ้ำ ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ เธอไม่อยากให้เขาต้องเจ็บปวด แม้เพียงนิดเดียวเลย 


    "หายสิ หรือถ้าแผลไม่หายก็อยู่ร่วมกับบาดแผลนั้นให้ได้ ดีไหม" เธอตั้งใจตอบคำถามให้ดีที่สุดในแบบฉบับของเธอ เธอให้กำลังใจเขา เธออยากให้เขามีความหวังและกลับมามองเห็นคุณค่าในตัวเองดังเดิม แต่เธอก็ไม่กล้าให้คำมั่นสัญญากับเขาเลย ดังนั้นคำตอบของเธอจึงเป็นข้อความที่เปิดกว้างเสมอ 


    "ไหน ๆ เป็นแผลตรงไหนคะ" เธอเริ่มเปิดโหมดคุยเล่น หวังให้เขาฟุ้งซ่านน้อยลงบ้าง


    "ตรงนี้" เขายิ้มขึ้นมาเป็นครั้งแรก แล้วใช้นิ้วชี้ข้างขวาชี้ไปที่หน้าอก ตรงหัวใจของเขาเอง


    คนฟังหลุดขำออกมาเล็กน้อย เธอยิ้มให้กับท่าทางนั้นของเขา จากนั้นจึงเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเอาพลาสเตอร์ยาที่บังเอิญพกติดตัวมาด้วยในวันนี้ออกมา "มีแผล แปะพลาสเตอร์ยาเอาไว้นะคะ แผลจะได้หายไวไวนะ"


    "อื้ม ขอบคุณนะ" คนเศร้ากลับมาอยู่กับท้องฟ้า เขาเหม่อมองดวงจันทร์สักพักจนมองเห็นรูปกระต่ายในนั้น แล้วจึงนั่งนับดวงดาวต่อ... หนึ่ง สอง สาม...คืนนี้ดวงดาวส่องแสงสว่างให้นับได้ชัดเจน เพราะฟ้าเปิดและไร้เมฆ สี่ ห้า หก...


    ในที่สุดเขาก็หลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า ผ่านไปอีกวันแล้วสินะ แล้วพรุ่งนี้ก็คงจะเป็นอีกหนึ่งวันที่กำลังจะมาถึง วันที่ไม่มีความหมายพิเศษอะไร ทั้งวันนี้ ทั้งพรุ่งนี้ รวมถึงเมื่อวานด้วย


    ในช่วงนี้เขาไม่ค่อยรู้ตัวว่าเขาอยู่เพื่ออะไร และชีวิตของเขามีความสำคัญสำหรับเขายังไง 


    แม้จะไม่ได้ใช้ชีวิต แม้จะไม่ได้ลงมือทำอะไร แต่ก็รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน น่าจะเพราะว่าเขากำลังใช้พลังงานอย่างมากอยู่ในหัวของตัวเอง ทะเลาะกับตัวเอง ต่อยตีกับความคิดของตัวเอง พูดไปก็ช่างน่าตลก แต่กิจกรรมเหล่านี้สูบพลังงานมากเหลือเกิน ดังนั้นวิธีหนึ่งที่ใช้หลบหนีความวุ่นวายเหล่านี้ได้ดีที่สุดสำหรับเขาก็คงจะเป็นการนอน นอนบนเตียงนอนแสนนุ่มกับผ้าห่มผืนโปรด 


    'คนเราจะสามารถใช้ชีวิตโดยนอนทั้งวัน 24 ชั่วโมงเลยได้ไหมนะ คงจะมีความสุขน่าดูเลย' เขาไม่ได้อยากทำอะไรทั้งนั้น และไม่ได้อยากพูดคุยกับใคร ไม่อยากออกไปพบเจอใครด้วย ขออยู่เงียบ ๆ คนเดียวไปตลอดเลยได้ไหม 


    คนรอบข้างก็ยากจะเข้าใจ แม้แต่ตัวเขาเองบางครั้งก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย ดังนั้นถ้ามีใครสักคนที่ยังคงอยู่ข้างเขา ใครสักคนที่ยังไม่ทิ้งเขาไปไหน ใครสักคนที่พร้อมรับฟังเขาอย่างเปิดใจ โดยไม่ตัดสินเขา นั่นคงเป็นบุคคลแสนพิเศษที่ฟ้าประทานมาให้ล่ะมั้ง 


    เหมือนที่เธอคนนี้เข้าใจเขา

  • แวะฟังเพลงกัแวะฟังเพลงกันก่อนได้นะคะ
    แวะฟังเพลงกันนะคะ :-)

    คุยกับผู้เขียน : คนคนหนึ่งที่กำลังทุกข์จะต้องการอะไรไปมากกว่าการได้ระบายความโศกเศร้าในใจออกมา จริงไหมคะ ลองนั่งลงข้าง ๆ กัน ปล่อยให้คนที่เราเป็นห่วงเป็นใยได้พูดความคิด ความรู้สึกออกมา ส่วนตัวเราลองนั่งรับฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่ชี้แนะ ไม่สั่งสอน รอจนกว่าคน ๆ นั้นจะพร้อมหรือขอฟังความคิดเห็นของเรา แค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ 

    เรื่องนี้เราเขียนขึ้นโดยเปรียบเทียบว่าผู้ชายคนนี้มีบาดแผลค่ะ แต่ไม่ใช่บาดแผลทางกายที่มองเห็นได้ชัดเจน แต่เป็นบาดแผลทางจิตใจที่มองไม่เห็น แต่ตัวเขาเองรับรู้ได้ โดยบาดแผลนี้ทำให้คุณผู้ชายในเรื่องเกิดความรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ ไร้ค่า และขาดเป้าหมายในการดำเนินชีวิต เขาไม่รู้ว่าเขากำลังใช้ชีวิตเพื่ออะไร ประมาณว่าความหมายของชีวิตของเขากำลังหลุดหายไประหว่างทางค่ะ


    นอกจากนี้อาการอื่น ๆ ที่สอดแทรกอยู่ในเนื้อเรื่องคือ เขาเหนื่อยง่ายแม้จะไม่ได้ทำอะไร คิดฟุ้งซ่านอยู่บ่อย ๆ อยากนอนทั้งวัน ไม่อยากพบปะพูดคุยกับใคร ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นหนึ่งในอาการของผู้ที่ซึมเศร้าค่ะ

    เนื้อเรื่องยังบอกเกี่ยวกับชายคนนี้อย่างอ้อม ๆ อีกว่า "ยิ่งค่ำมืดดึกดื่นลงเพียงใดก็ยิ่งดำดิ่งลงเท่านั้น เวลากลางคืนที่เงียบงันนำพาความว้าเหว่ามาด้วย" สอดคล้องกับหลักการของร่างกายมนุษย์ที่ตอบสนองกับแสงอาทิตย์ ทำให้เวลากลางคืนเป็นช่วงเวลาของความอ่อนไหว และทำให้เกิดความคิดฟุ้งซ่านได้ง่ายด้วยค่ะ อ่านเพิ่มเติม


    นอกจากนี้ข้อความที่บอกว่า "คนข้างกายกลับก้มหน้างุดมองพื้นดินและจ่อมจมอยู่กับความคิดของตัวเองเพียงเท่านั้น" อาการก้มหน้ามองพื้นและจมอยู่กับความคิดของตัวเอง แสดงให้เห็นว่าชายคนนี้คิดกังวลอยู่กับเรื่องราวในอดีตหรืออนาคต ไม่ได้อยู่กับสภาวะปัจจุบันเหมือนที่ฝ่ายหญิงเป็น ในขณะที่เธอมองท้องฟ้า ดูดวงจันทร์ ดูดาว เขากลับนั่งดูเรื่องราวในหัวของตัวเอง 

    หลังจากที่ชายคนนี้เล่าระบายความคิด ความรู้สึกของตนเอง และได้พูดคุยกับผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นและกลับมาอยู่กับปัจจุบันมากขึ้นซึ่งแสดงให้เห็นในประโยคว่า "เขาเหม่อมองดวงจันทร์สักพักจนมองเห็นรูปกระต่ายในนั้น แล้วจึงนั่งนับดวงดาวต่อ"
  • จุดประสงค์ของบทความนี้ คือ ต้องการเขียนถึงมุมมองบางอย่างของโรคซึมเศร้า เพื่อให้คนที่ไม่รู้จักโรคนี้รู้จักมากขึ้น และเขียนถึงผู้ที่ประสบกับอาการซึมเศร้าดังกล่าว ทั้งผู้ที่ประสบโดยตรงหรือคนรอบข้าง เราอยากปลอบโยนผู้ที่ประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ผ่านตัวอักษรและภาษาของเรา โดยเล่าเรื่องในรูปแบบบทสนทนาของคนสองคน 

    "เราเข้าใจและรับรู้ว่าช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้กับโรคนี้ยากลำบากมากขนาดไหน และอยากบอกให้รับรู้อีกเช่นเดียวกันว่าเมื่อผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาได้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นจะเป็นบทเรียนที่มีคุณค่ามาก เราเชื่อว่าเรื่องนี้มีเหตุผลที่เกิดขึ้นเหมือนกับอีกหลาย ๆ เรื่องบนโลกใบนี้ โรคนี้ทำให้เรารับรู้ว่าตนเองอ่อนแอได้ โรคนี้สอนให้เราไม่เข้มงวดหรือคาดหวังกับตนเองมากเกินไป โรคนี้บอกให้เราหาเวลาพักผ่อน อย่าเล่นโทรศัพท์นานเกินไป ขยับร่างกายบ่อย ๆ หาเวลาออกกำลังกายบ้าง ถ้าคิดฟุ้งซ่านก็พาตัวเองไปลงมือทำสิ่งต่าง ๆ หาประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่าลืมรักและเป็นห่วงตัวเอง"

    "ในช่วงที่เป็นโรคซึมเศร้า เราถามตัวเองอย่าจริงจังมากกว่าหนึ่งครั้งว่า เราจะอยู่ไปทำไม เราใช้ชีวิตไปเพื่ออะไร สายตาเราว่างเปล่า และเรามองว่าชีวิตเราก็ว่างเปล่าด้วย เราคิดว่าตัวเองอ่อนแอจังที่ป่วยเป็นโรคนี้ แต่เมื่อถึงวันนี้ วันที่เราเริ่มรู้และเข้าใจแล้วว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เราอยากจะบอกตัวเองในวันนั้นมาก ๆ ว่า แกไม่ได้อ่อนแอเลยเว้ย แกแค่เป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนรอบข้างมากคนหนึ่ง แกเป็นคนอ่อนไหวที่ยังไม่รู้จักวิธีปกป้องดูแลตัวเองให้เข้มแข็ง แกเก่งมาก ๆ แล้วนะ เราอยากจะกอดแกจังเลย ขอโทษที่ดูแลแกไม่ค่อยดีนะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราก็อยากจะทะนุถนอมหัวใจแกมากกว่านั้น" 


    เรารู้สึกขอบคุณทุก ๆ คนทุกครั้งที่คอยปลอบโยนให้กำลังใจเราเสมอ ดังนั้นเมื่อเราเคยได้รับ วันหนึ่งเมื่อมีโอกาสเราก็อยากจะเป็นคนที่มอบพลังงานแบบนั้นให้คนอื่นเหมือนกัน

    หวังว่าบทความนี้จะสามารถส่งต่อความรู้สึกที่ดี ๆ ได้นะคะ
    ขออวยพรให้คุณผู้อ่านทุกคนค่ะ


    มอบพลาสเตอร์ยา
  • ขอขอบคุณที่มาของข้อมูล
    วิชิตา คะแนนสิน.  (2563).  ยิ่งดึก ยิ่งอ่อนไหว เหตุผลที่คนมักเผยความในใจเวลากลางคืน.  สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2565, จาก https://becommon.co/life/deep-conversation-night/

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in