เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
PAPAYAH's ARCHIVERocket man
LIVE REPORT : “Sit On The Poon” โฟล์กคอนเสิร์ตสุดฉีกใจกลางเมืองขอนแก่น
  • รื่อง : กฤษฎ์ พรหมใจรักษ์

    ถ่ายภาพ : กฤษฎ์ พรหมใจรักษ์ & เดอะ มู๋ บุตรแห่งสมพงษ์เก๋




    8 กันยายน 2020


    “Sit On The Poon” งานดนตรีที่ทางผู้จัดนิยามว่าเป็นคอนเสิร์ตที่รวมวงแนว ‘โฟล์กปลอม’ ที่จะพาทุกคนมาแคมปปิ้งกัน ‘ปลอมๆ’ ในคอนเซ็ปต์ ‘Fung/Fake/Folk’ ที่เกิดขึ้นโดยความร่วมมือ ร้านขายแผ่นเสียงและซีดีวงไทยทางเลือกแห่งขอนแก่น ‘Pleasebuythis records’ และเพจ ‘PAPAYAH’ พี่ใหญ่ของเรา (ซึ่งจะบอกว่าจับมือกันจัดคงไม่ถูกต้องนักเพราะเจ้าของแม่งก็เดียวกัน ถ้าจับมือคงต้องจับมือกับตัวเอง) บนลานจอดรถชั้น 7B ของห้างสรรพสินค้า Fairy Plaza’ จังหวัด ขอนแก่น ห้างในตำนานและศูนย์รวมวัยรุ่นในยุคหนึ่งของจังหวัด ซึ่งน่าจะเป็นครั้งแรกของขอนแก่นจริงๆ ที่พวกเราได้มีโอกาสขึ้นมาสังสรรค์และเสพดนตรี พร้อมไปกับชมวิวเมืองจากลานจอดรถของห้างที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายๆคน 






    พูดถึงบรรยากาศงานโดยรวม งานนี้เป็นงานคอนเสิร์ตที่เรียบง่ายแต่ดี และมีความพิเศษในตัวของมันเอง ภายในงานมีเวที 2 หันเข้าหากันจากคนละมุมโดยมีศิลปินหมุนเวียนเล่นสลับไปมา และมีการออกร้านขนาบข้างไปตลอดสองฝั่งของงาน ซึ่งผู้ออกร้านส่วนใหญ่ก็เป็นศิลปินหรือผู้อยู่คลุกคลีอยู่ในแวดวงดนตรีและศิลปะของจังหวัด อารมณ์เหมือนงานรวมญาติเบาๆ ส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกเหมือนมางานเทศกาลดนตรีหรือแคมปปิ้งมิวสิกขนาดย่อมๆ แต่แทนที่จะจัดในสวนหรือในป่า ดั๊นทะลึ่งมาจัดกับนอาคารจอดรถที่สามารถเห็นวิวเมืองและไฟถนนยามเย็น สำหรับคนท้องถิ่นที่มีโอกาสเป็นวัยรุ่นในยุคที่ขอนแก่นยังไม่มี เซ็นทรัล ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะต้องเคยขึ้นมาบนนี้และได้เห็นวิวจากลานจอดรถแห่งนี้กันบ้าง และการได้มีโอกาสมายืนดูวิวจากบนนี้ก็น่าจะมีคิดถึงความหลังกันบ้าง สำหรับผมการได้ยืนดูพระอาทิตย์ตกในเย็นวันนั้นมันเป็นอะไรที่พิเศษจริงๆ





    สำหรับไลน์อัพศิลปิน ตามคอนเซ็ปต์คืองานที่รวมวงดนตรีแนว ‘โฟล์กปลอม’ ซึ่งตามความเข้าใจของผู้เขียนเองคือวงดนตรีที่ใช้เครื่องดนตรีอคูสติกในการเล่าเรื่องแต่ก็มีดีกรีของแนวดนตรีอื่นๆผสมอยู่เยอะซึ่งเป็นโจทย์งานที่หน้าสนใจ แต่เอาเข้าจริงสุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้ปลอมขนาดนั้น และสำหรับผู้เขียนที่ไม่สันทัดดนตรีแนวนี้กลับค้นพบหลายๆศิลปินที่มาร่วมแสดงในงานคือเจ๋งเลยทีเดียว วันนี้มีวงที่มาร่วมแสดงทั้งสิ้น 7 กลุ่มศิลปิน จากภูมิลำเนาอันหลากหลายทั้ง เชียงใหม่ สุรินทร์พระนครศรีอยุธยา อุดรธานี และกรุงเทพมหานคร ที่มามอบความสุขให้นักฟังเพลงชาวขอนแก่นในค่ำคืนนี้ 



    เปิดงานด้วย ‘กระจกเงา’ วงโฟล์กจากกรุงเทพมหานคร ที่เกิดจากการรวมตัวของสมาชิกทีมงานบางส่วนผู้อยู่เบื้องหลังค่าย ‘Bird Sound’ หนึ่งค่ายเพลงทางเลือกหัวก้าวหน้าที่รวมศิลปินไว้โคตรหลากหลายแนว เพลงของวงกระจกเงาค่อนมีความเป็นผู้ใหญ่ เป็นดนตรีอคูสติกป๊อปที่ฟังง่าย ให้อารมณ์คล้ายๆ เพลงจากยุค เบเกอรี่ มิวสิค ครองเมือง เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวความรัก มิตรภาพ รักเพื่อน พี่น้อง เหมาะแก่การนั่งนำมาเล่นเวลาแคมปปิ้งรอบกองไฟ โชว์ของวงค่อนข้างเรียบ ไม่ได้หวือวาอะไร แต่ละเพลงอารมณ์คล้ายๆกัน แต่ก็ถือว่าเป็นวงที่ช่วยเซ็ทมู้ดของงานได้ดี  





    ‘t_047’ จาก กรุงเทพมหานคร อีกเช่นกัน หนึ่งในวงไฮไลท์ค่ำคืนนี้ที่ผู้คนในงานต่างกรูเข้าไปจับจองที่นั่งหน้าเวทีกันอย่างรวดเร็ว แม้พักหลังๆ วงจะมาเล่นที่ขอนแก่นค่อนข้างบ่อย แต่ก็ยังมีแฟนคลับที่เหนียวแน่นและรอคอยที่จะได้ดูพวกเขาเล่นสดอยู่เสมอ ด้วยบทเพลงที่เข้าถึงง่ายและร่วมสมัยจนผู้เขียนไม่สามารถแยกออกได้ว่าเพลงไหนของวงคือ ‘ฮิต’ เพราะดูท่าจะฮิตทุกเพลง ผู้ชมร้องตามและนั่งโยกเบาๆกันอย่างพร้อมเพรียง อาทิ ‘รอสายรุ้ง’, ‘Magic Hour’, ‘เพียงฤดู’ วงก็น่ารักเป็นกันเอง ยิงมุกเรียกเสียงฮากันตลอดเวลาประหนึ่งว่าเขาจ้างมาเล่นตลกแต่ก็มีความพิถีพิถันในการเฟอร์ฟอร์ม อีกทั้งยังเป็นโชว์ที่รวยเพื่อนและมากด้วยแขกรับเชิญ ไม่ว่าเป็น ‘โอ๊ค’ จากวง ‘Anatomy Rabbit’ ที่ขึ้นมาร่วมร้องและสร้างสีสันในเพลง ‘แค่บรรยากาศ’  ช่วงที่ประทับใจเป็นการส่วนตัวน่าจะเป็นช่วงที่วงเล่นเพลง ‘กลับดาว’ ผลงานของวง ‘Yerm’ ที่เหมือนทำให้งานทั้งงานหยุดนิ่งไปชั่วขณะเพื่อมาร่วมจอบกับวงในเพลงดังกล่าว  ทางวงเล่นไปประมาณ 6 เพลง ก่อนจะปิดโชว์ด้วยเพลง ‘หลังคา’ ที่ชวน ‘บาส’ จาก ‘Abandoned House’ และ ‘โอ๊ต’ จาก ‘กระจกเงา’ มาร่วมร้องด้วยกัน เป็นการปิดโชว์ที่น่าประทับใจและเต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ   



    ‘The Luis’ โฟล์ก-ดูโอ้ จาก พระนครศรีอยุธยา ที่โดดเด่นด้วยการนำเครื่องดนตรีไทยอย่าง ระนาดเอก ขลุ่ย และกลองแขก มาเล่นร่วมกับเครื่องดนตรีตระวันตกแท้ๆเช่นกีต้าร์โปร่งได้อย่างไม่เคอะเขิน และการเลือกใช้ภาษาและถ้อยคำสไตล์ที่เราพบมักเห็นในกาพย์ กลอน ทำนองเสนาะ ที่คุณสมัยประถม-มัธยมบังคับให้เราท่องไปสอบเอาคะแนนกัน เรียกได้ว่าบทเพลงของวง ‘The Luis’ ถ่ายทอดรากของความเป็นคนกรุงเก่าของสมาชิกวงค่อนข้างดี บทเพลงและโชว์ของวงให้ความรู้สึกว่าเหมือนฟังเพลงประกอบละครพีเรียดช่อง 3 อย่าง ‘บุพเพสันนิวาส’ เรียกได้ว่า หวานหยาดเยิ้มสไตล์ออเจ้ากันเลยทีเดียวเชียว ส่วนตัวค่อนข้างประทับใจในแง่ความลงตัวของผสมผสานวัฒนธรรม เพลงเด่นๆในโชว์นี้ขอยกให้เพลง ‘เจ้าจอมขวัญ’ และ ‘หวังสม’ ใครชอบซาวน์ของเครื่องดนตรีไทยแนะนำให้ไปลองฟังกันครับ



    ‘ธาดา’ จาก เชียงใหม่ และ ‘Porc A Boy’ จาก อุดรธานี ขอเล่าร่วมกันเพราะมู้ดโทนของทั้งสองวงค่อนข้างใกล้เคียงกัน เป็นวงสแตนดาดโฟล์คทั่วไป กีต้าร์โปร่ง 2 ช่วยกันร้อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดหรือไม่ดีแต่อย่างใด เราเข้าใจเลยว่าสิ่งที่คนมองหาในงานดนตรีประเภทนี้ไม่ใช่ความ ‘ล้ำ’ หรือ ‘ว้าว’ ทางดนตรี แต่คือ ‘เนื้อหา’ และ ‘คอนเทนท์’ ที่ศิลปินเลือกจะเล่า เพลงของ ‘ธาดา’ จะมีความหม่นกว่าหน่อย ส่วน ‘Porc A Boy ตัวเพลงค่อนข้างจะมีองค์ประกอบของเพลงร๊อกพอสมควรน่าจะมาจากพื้นฐานของสมาชิกวงที่เป็นคนร๊อกกันมาก่อนชวนให้นึกถึงศิลปินที่ผู้เขียนชอบอย่าง ‘Nevershoutnever’ รวมถึงการหยิบภาษาอีสานมาแซมๆในเพลงเป็นสีสันแบบไม่เคอะเขิน ไฮไลท์ของโชว์ช่วงนี้เห็นจะเป็นการขึ้นมาแจมของศิลปินเจ้าถิ่นอย่าง ‘หูตีบ’ ฟอร์นของวงอัลเทเนทีฟร๊อก ‘ลูกเสือสำรอง’ ที่ขึ้นมาแรพในเพลง ‘รักติดชัตเตอร์’ ของในโชว์ของวง ‘ธาดา’ ที่เรียกเสียงกริ๊ดและเสียงจากผู้ที่มาชมในงานได้อย่างดีทีเดียว





    ลำดับต่อไป ‘Abandoned House’ จาก พระนครศรีอยุธยา เป็นศิลปินที่ผู้เขียนขอยกให้เป็นไฮไลท์ของงานวันนี้เลย ส่วนตัวไม่เคยฟังงานของวงมาก่อนแต่เห็นชื่อของวงตามโปสเตอร์คอนเสิร์ตและบนเฟสบุ๊กฟีดพอสมควร ซึ่งพอได้มาดูเล่นสดเป็นครั้งแรกแล้วอยากเคกหัวตัวเองแรงๆ สักทีว่ามึงไปอยู่ไหนมา ทำไมไม่เคยกดฟัง พวกเขาคือวงโมเดิร์นโฟล์คภาคภาษาไทยที่มีความเป็นสากล โดดเด่นการเรียบเรียงประสาน ยิ่งเสริมเข้าไปภาคริธึ่มที่แข็งแรงที่มีกลองชุดเล็กคอยคุมจังหวะ และ กีต้าร์ไฟฟ้าอีกหนึ่งตัวเพื่อความพุ่งในท่อนโซโล่ โชว์ของวงให้อารมณ์และความสุนทรีย์เทียบชั้นได้กับวงนอกหลายวงได้สบายๆ ชวนนึกถึงวงอย่าง ‘The Head and The Heart’, ‘The Avett Brothers’ หรือศิลปินเดี่ยวอย่าง Jose Gonzales’ กันเลย ยกนิ้วให้เลย ขอฝากตัวเป็นแฟนเพลงกันเลยทีเดียว




    และปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วยไอ้หนุ่มหัวหยิกจากเมืองสุรินทร์ ผู้ที่ผมกับเพื่อนชอบแซวแกว่าเป็น บ๊อบ ดีแลน แห่งอีสาน ‘SITTA’ มากันแบบเต็มวง ที่กว่าจะได้ขึ้นเล่นก็เกือบจะเที่ยงคืนเข้าไปแล้วเนื่องจากค่อนข้างเลทและเป็นวันธรรมดา ทำให้ผู้ชมในงานทยอยกลับกันไปค่อนข้างเยอะแล้ว แต่ก็ยังมีแฟนเพลงตัวจริงของหนุ่ม สิทธิา กลุ่มใหญ่ที่ยังคงปักหลักไม่ไปไหน ที่ผมใช้คำว่าแฟนตัวจริงเพราะเท่าที่สังเกตรีเอคชั่นของผู้ชมกลุ่มนี้คือพวกเขามาเพื่อซัพพอร์ตศิลปินที่เขารักกันจริงๆ ร้องกันได้ทุกเพลง หนุ่มสั่งให้ทำอะไรก็ให้ความร่วมกับโชว์โดยพร้อมเพียงโดยไม่มีขัดเขินใดๆ น่าดีใจแทนศิลปินจริงๆ ที่มีแฟนเพลงที่อุทิศตนขนาดนี้ ในฐานะเพื่อนและคนที่เคยร่วมออกทัวร์กันแบบ D.I.Y กันมาก่อน ผมรู้สึกยินดีจริงๆที่ได้เห็นความสำเร็จของ ‘SITTA’ ในวันนี้ การได้เห็นผู้ชมในงานร้องตามในสิ่งที่เขาแต่งแบบคำต่อคำเป็นความรู้สึกที่เยี่ยมยอดจริงๆ


    ถ้าไม่นับเรื่องงานเลทผมถือว่างาน “Sit On The Poon” เป็นงานที่เจ๋งเลยทีเดียวทั้งไลน์อัพและความคิดสร้างสรรค์ที่กล้าฉีกขนบการจัดคอนเสิร์ตจากรูปแบบเดิมๆ การที่ขอนแก่นและภาคอีสานมีงานในรูปแบบนี้ได้มันแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าและความเป็นไปได้อีกมากมายที่ภูมิภาคนี้จะมีจะเป็นได้ ขอเป็นกำลังใจให้ทีมผู้จัดและศิลปินทุกท่านมา ณ โอกาส นี้   




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in