27 พฤษภาคม คือวันที่เราไปทำงานวันแรก
หลังจากที่คุยกับพี่เน็ทและพี่โจ้เรื่องการทำงานที่เราได้รับผิดชอบแล้ว
การทำงานในส่วนของ 2 sections แรก อย่างการทำหน้าที่เป็น content creator
และ media planner ก็เริ่มต้นขึ้นแบบไม่ทันให้เราได้ตั้งตัว ฮ่า
พี่โจ้กับพี่เน็ทอธิบายให้เราสองคนฟังคร่าว ๆ ทั้งสองหน้าที่นี้ต้องทำอะไรบ้าง
ก่อนจะมอบหมายโจทย์ในการทำงานให้เราสองคนอย่างรวดเร็ว และนัดประชุมอีกทีในวันพุธ
( เด็กสองคนกรี้ดในใจอีกรอบ )
หน้าที่ของ media planner และ content creator จะทำงานสอดคล้องกัน
คือวางแพลนการลงคอนเทนต์ในสื่อโซเชียลมีเดีย 3 ช่องทาง ( Twitter , Facebook และ Instagram)
ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน ว่าในหนึ่งเดือนนี้ เราจะมีแพลนทำอะไรบ้าง จะลงคอนเทนต์เกี่ยวกับอะไร
โจทย์ของเราสองคนคือ คิด Main Concept ของคอนเทนต์สำหรับเดือนมิถุนายน
และวางแพลนไว้ว่าจะทำยังไงให้ยอด followers แต่ละช่องทางเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
เราได้ไอเดียปิ๊งแว้บขึ้นมาว่าเดือนมิถุนายนเป็นเดือนของการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ
แถมยังมีวันสำคัญอย่าง Refugee Day อีกต่างหาก เลยคิดกันว่า ถ้าอย่างงั้นทำคอนเทนต์เกี่ยวกับสองประเด็นนี้น่าจะสนุกดี
ไป ๆ มา ๆ พอหาข้อมูล หา Reference ที่จะใช้ในการสร้างคอนเทนต์ไปประมาณหนึ่ง
กลายเป็นว่าไอเดียที่คิดว่าจะใช้ในการทำคอนเทนต์ตอนแรกก็เพิ่มขึ้นมาทีละอย่างสองอย่าง ฮ่า
จนอยู่ ๆ กลายเป็นแตกแขนงออกมาเป็น 2 คอนเซปต์หลักกับอีก 1 คอนเซปต์ย่อย
( แล้วก็มีย่อยลงไปอีกมากมาย )
ฟีดแบ็คครั้งแรกหลังจากเราเสนอสามคอนเซปต์ที่ว่าเรียบร้อยและลองวาง Schedule ประจำเดือนมิถุนาไว้คร่าว ๆ แล้ว ปรากฏว่า Media Plan ครั้งแรกของเรายังใช้ไม่ได้ เพราะว่าระยะเวลาของการปล่อยคอนเทนต์ในแต่ละคอนเซปต์ของเราใช้เวลาค่อนข้างนาน
พี่ ๆ บอกกับเราว่า คอนเทนต์ในทวิตเตอร์ต้องอาศัย Real Time เพื่อทำให้คอนเทนต์ยังอยู่ในกระแส และ 'จังหวะ' เป็นเรื่องสำคัญมาก
เพราฉะนั้น Schedule ที่เราวางไว้ตอนแรก เวลาที่ปล่อยงานจริง อาจจะไม่ได้ตรงตามตารางเวลาที่วางแผนไว้ตอนแรก แต่ไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้เลยนะ อาจจะยังใช้ได้อยู่ ให้เราทดไว้ในใจก่อน
หลังจากนั้นก็มีการปรับคอนเซปต์ที่เราคิดมาอีกรอบ เรานั่งคุยกันระหว่างประชุมจนได้ข้อสรุปว่า
จริง ๆ แล้วทุกคอนเซปต์ที่เราคิดมา มันมีคีย์เวิร์ดบางอย่างร่วมกันอยู่นะ เราก็เลยมาคิดกันต่อว่าสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่าง 2 คอนเซปต์ที่ว่ามันคืออะไร จนมาเคาะที่คำว่า 'Respect'
เราได้การบ้านกลับไปทำในวันนั้น การบ้านของเราคือการคิดโพสต์ที่จะใช้ลงสำหรับลงคอนเทนต์ตั้งแต่วันที่ 1-3 มิถุนาตาม Schedule ที่เราวางไว้ตอนแรก โดยยึดโยงคอนเซปต์ทั้งหมดให้เชื่อมโยงกับคำว่า respect และมาประชุมอีกครั้งในวันศุกร์
( เรากับเนยเอามือกุมหัวพร้อมกัน )
เพราะนั่นหมายถึงเราต้องคิด wording ที่จะใช้ลงในโซเชียลมีเดียทั้งหมด รวมถึงการทำกราฟฟิกประกอบคอนเทนต์ แถมมีโจทย์ใหม่ที่ต้องคิดและทำให้ไอเดียแข็งแรงขึ้นอีกมากมาย
เท่ากับว่าเราสองคนมีเวลาจัดการกับ concept ทุกอย่างให้ประเด็นที่ต้องการจะสื่อชัดเจนขึ้น ลิสต์หนังสือทั้งหมดที่ต้องใช้ ร่างกราฟฟิกที่จะใช้โดยคร่าว ๆ และคิดคอนเซปต์สำรองรวมทั้งสิ้น 1 วันถ้วน
สัปดาห์สุดท้ายในเดือนพฤษภาคมของเรากับเนยเลยสนุกมากเป็นพิเศษ
หลังจากสนุกสนานกันมาทั้งเดือน
( ตัวอย่างความสนุกของเราสองคน )
หลังจากที่เราใช้เวลากลับไปแก้โจทย์ที่ได้รับมาเรียบร้อยแล้ว การประชุมงานครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และครั้งที่สี่ของการฝึกงานก็เกิดขึ้น สุดท้ายก็เลยกำหนดเวลาที่เราวางไว้ใน Media Plan ไปหลายวัน
( หัวใจห่อเหี่ยวไปแล้วเรียบร้อย )
จนเราเพิ่งมารู้หลังจากการประชุมครั้งที่สี่ว่า นี่คือหนึ่งในสิ่งที่พี่ ๆ กำลังสอนเราสองคนอยู่
ฟีดแบ็คที่ได้กลับมาจากการประชุมครั้งนั้นคือ คอนเซปต์ที่เราคิดมายังดึงดูดความสนใจของคนได้ไม่มากพอ บวกกับการใช้ไอเดียที่ค่อนข้างจะซับซ้อน ต้องเอาไปคิดหลายต่อ และมีหลายคอนเซปต์ย่อยมากเกินไป จนอาจจะทำให้สิ่งที่เราต้องการจะสื่อจริง ๆ ไปไม่ถึงคนที่เห็น
รวมไปถึงเรื่องกราฟฟิกด้วย ตอนแรกเราได้ไอเดียว่า เราจะใช้กราฟฟิกพวกนี้แทนสติกเกอร์เพื่อเอาไปแปะที่หน้าปกของหนังสือที่พูดถึงประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ เลยออกมาเป็น 1st draft โดยคร่าว ๆ อย่างที่เห็น แต่การใช้สัญลักษณ์ของเรายังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ไอเดียนี้เลยต้องทดเก็บไว้ในใจก่อนอีกรอบ
พี่ ๆ บอกกับเราว่าเวลาทำงาน ให้เราพยายามคิดแบบ Single Mind การคิดคอนเซปต์ในแต่ละครั้ง ควรคิดเป็นไอเดียที่เข้าใจง่ายในครั้งเดียว เราอาจจะไม่ต้องพูดกว้าง แต่จำเป็นต้องพูดให้ลึก เรื่องของการใส่รายละเอียด จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
และเวลาทำอะไร ให้มองมุมกลับทุกครั้ง
ทั้งในฐานะที่เราเป็นคนผลิต และในฐานะที่เราเป็นคนเห็น
สุดท้ายไอเดียและการใช้สัญลักษณ์ที่ส่งแมสเสจไปหาคนที่มองเห็นได้มากที่สุด พี่ ๆ ในทีมกับเราลงความเห็นกันว่าน่าจะเป็นสัญลักษณ์รูปพลาสเตอร์ยาที่มีคำว่า selfcare เขียนกำกับอยู่ เราเลยได้ไอเดียกันกลับมาว่า ถ้าอย่างงั้น เราลองทำคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับการชวนคนให้หันกลับมารักและดูแลตัวเองกันดีหรือเปล่านะ
คอนเซปต์ไอเดียของพวกเราในตอนนั้นเลยกลายเป็นประโยคที่ว่า 'เพราะว่ารักเราเลยแคร์ และเพราะว่าเราแคร์ เราก็เลยเคารพซึ่งกันและกัน' ( love - care - respect ) ตรงนี้ทั้งทีมเห็นตรงกันว่า เฮ้ย ถ้างั้นนั่นหมายความว่าความรักคือพื้นฐานของทุกอย่างเลยนี่นา
พอเคาะไอเดียนี้ได้ เราก็ต้องมานั่งคิด wording ที่จะใช้ในการพูดถึงคอนเซปต์นี้กันอีกรอบ เราหยิบเอาคำว่า Love is Key ที่เคยใช้ในตอนแรกมาเสนออีกครั้ง ก่อนที่ทุกคนจะช่วยกันปรับจนสรุปสุดท้ายเป็นคำว่า Lovecure แทน เพราะเป็นคำที่สั้น จำง่ายและให้ความหมายได้ชัดเจนกว่า รวมไปถึงสามารถเอามาเล่นกับทุกประเด็นที่เคยคิดกันไว้ได้ทั้งหมดเลย
กลุ่มเป้าหมายของเราก็เลยเริ่มชัดเจนมากขึ้นว่า เราต้องการส่งแมสเสจเกี่ยวกับ lovecure ไปหาคนที่กำลังรู้สึกเจ็บปวดให้กลับมารักตัวเอง และเสนอทางเลือกว่า บางทีหนังสือก็อาจจะช่วยเยียวยาอาการเจ็บปวดทางใจเหล่านั้นได้นะ
เราเลยมาคิดต่อว่า ถ้าอย่างงั้นเราจะทำยังไงให้โพสของเราน่าสนใจดี
และนี่คือ 1st draft ของกราฟฟิกอันที่สองของเรา
เราสรุปกันว่าภาพสัญลักษณ์พลาสเตอร์ยาจะยังมีอยู่ แต่จะปรับเปลี่ยนเล็กน้อยให้มีมือของคนเข้ามาทำท่าทางแปะพลาสเตอร์แทน แล้วจะคิดแคมเปญชักชวนให้คนในทวิตเตอร์มาร่วมเล่นกิจกรรม Lovecure ที่เราคิดกันขึ้นมา
ด้วยการใช้วิธีให้คนในทวิตเตอร์บอกอาการเจ็บปวดทางใจหรืออาการใจสลายของพวกเขามา แล้วทางเราจะช่วยหาหนังสือที่ช่วยเยียวยารักษาไปให้ เพื่อเป็นการลองเชิงดูว่า คอนเซปต์ที่เราสองคนคิดไว้จะได้รับผลตอบรับเป็นไปในทางไหนบ้าง
แต่ระหว่างที่เราเตรียมปล่อยคอนเทนต์แรกออกไป หลังจากที่กลับไปคิดกันอยู่นานหลายวัน
ปรากฏว่าสัปดาห์นั้นกระแสในทวิตเตอร์เต็มไปด้วยเรื่องของการเมือง ไม่ว่าจะเป็นกระแสเรื่องหนังสือ Animal Farm การเลือกตั้ง หรือการเข้าประชุมต่าง ๆ ทำให้การปล่อยคอนเทนต์ของเราจำเป็นต้องเลื่อนออกไปหนึ่งวัน
เราสองคนนั่งหัวเราะกันพักนึง
และเข้าใจกันในตอนนั้นทันทีเลยว่า 'จังหวะ' เป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ นั่นแหละ ฮ่า
จนกระทั่งได้ออกมาเป็นโพสแรกในวันที่ 6 มิถุนายน แบบนี้
เราได้รับฟีดแบ็คที่เหนือความคาดหมายมากในคืนนั้น
เพราะมีคนเข้ามาร่วมเล่นกิจกรรมในแคมเปญนี้ค่อนข้างมาก จนถึงขั้นว่าเข้าไปตอบกันไม่หมด
มีตั้งแต่อาการใจสลายแบบเบสิค ไปจนถึงอาการเจ็บปวดทางใจขั้นแอดวานซ์
เราสองคนเข้าไปแนะนำหนังสือไปมากกว่ายี่สิบเล่ม ตามแต่อาการของแต่ละคน
คืนนั้นเป็นคืนที่เรารู้สึกสนุกมาก และได้รับความช่วยเหลือจากพี่ ๆ อย่างเต็มที่
ทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
แต่ยังมีสิ่งที่เราสองคนต้องทำรออยู่อีกมากมาย
เราเล่นกิจกรรม lovecure ในทวิตเตอร์ต่อเรื่อย ๆ พร้อมกับการวางแผนและคิดโพสต่อไปด้วยว่า
จะทำยังไงถึงจะเลี้ยงกระแสนี้ไว้ต่อได้ เพราะเรายังเหลือประเด็นที่จะพูดอีกหลายอย่าง
หน้าที่ของเราหลังจากนั้นคือการรวบรวมอาการใจสลายของทุกคนมาสรุปประเด็นว่า อาการเหล่านั้น เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไรมากที่สุด แล้วทำการหาลิสต์หนังสือต่อว่า มีเล่มไหนบ้างที่จะสามารถเยียวยาอาการที่ว่ามาได้ทั้งหมด
รวมถึงคิดเผื่อด้วยว่า ถ้าจะลองเอากิจกรรม lovecure
ย้ายไปเล่นในโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มอื่นอย่างเฟสบุ้คและอินสตาแกรมจะต้องทำยังไงบ้าง
( เรากับเนยจับมือกันกรี้ดอีกรอบ )
สิ่งที่เราสองคนต้องทำทั้งหมดเลยแบ่งออกเป็น 3 sessions ใหญ่ ๆ
หนึ่งคือการเปิดด้วยโพสแรก
สองคือการสรุปประเด็นจากการเล่นกิจกรรม
และสามคือการเจาะรายละเอียดของหนังสือแต่ละเล่มในลิสต์
ในส่วนของ session แรก
เราปล่อยให้กิจกรรม lovecure โลดแล่นในทวิตเตอร์ต่ออีกประมาณสามถึงสี่วัน
จนกระแสเริ่มเบาบางลงกว่าวันแรก
ก่อนจะเริ่มทำงานใน session ที่สอง
เราสรุปประเด็นออกมาได้ว่า สาเหตุของอาการใจสลายของคนที่เข้ามาร่วมกิจกรรม
มีอยู่ด้วยกันหลัก ๆ 7 อาการด้วยกัน และลองหาหนังสือที่สามารถเยียวยาอาการเหล่านั้น
หมวดละ 3 เล่ม จนได้เป็นโพสที่สองในวันที่ 14 มิถุนายน
และเริ่มงานในส่วนของ session ที่สาม อย่างการถ่ายรูปหนังสือเล่มจริงเพื่อใช้ประกอบโพสที่พูดถึงรายละเอียดของหนังสือแต่ละเล่มในสามแพลตฟอร์มของโซเชียลมีเดีย
session ที่สามเป็นขั้นตอนการทำงานที่ข้นตอนนึงที่ค่อนข้างจะสนุกสนาน เราสองคนได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกถ่ายรูปหนังสือยังไงให้ดูน่าอ่าน หรือการเลือกประเด็นไหนในหนังสือขึ้นมาพูดถึงเพื่อทำให้คนรู้สึกสนใจ รวมไปถึงการนั่งอยู่ในกองหนังสือยี่สิบกว่าเล่มตลอดทั้งอาทิตย์
นี่คือหนึ่งในตัวอย่างโพสของพวกเรา
และการรับผิดชอบงานในส่วนของแคมเปญครึ่งเดือนแรกของเดือนมิถุนายนก็จบลงด้วยดี
เราค่อนข้างจะสนุกกับสามสัปดาห์ที่ผ่านมามาก ๆ ( ถึงแม้จะมีการกรี้ดกันออกมาหลายครั้งหลายครา )
เราได้ทำอะไรหลายอย่าง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพี่ ๆ ทุกคนเปิดโอกาสให้เราได้ลองเสนอไอเดีย
เวลาประชุมงาน เลยกลายเป็นช่วงเวลาที่เราชอบมากที่สุด ไม่ใช่แค่เพราะเราได้พูดในสิ่งที่เราอยากทำ
แต่ยังรวมไปถึงการได้ฟังแนวคิดและไอเดียจากทุกคนด้วย
ทุกอย่างเลยกลายเป็นเรื่องสนุกสำหรับเราไปโดยปริยาย
พี่ ๆ บอกเราสองคนตลอดว่า, ไม่ว่าจะทำคอนเทนต์อะไรก็ตาม พยายามอย่ายกตนว่าตัวเองเป็นผู้รู้ในด้านนั้น ๆ แล้ว ให้พูดออกไปในฐานะที่เราเป็นนักอ่านเหมือนกับทุกคน
เพราะแบบนั้น การรับผิดชอบงานในส่วนของ content creator ที่นี่
หน้าที่ของเราเลยไม่ได้หยุดอยู่ที่การออกไอเดียจะนำเสนอให้น่าสนใจยังไงแค่อย่างเดียว
แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการมองลึกลงไปถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราโพสไปแล้วต่างหาก
ทุกครั้งที่ประชุม ทุกคนจะช่วยกันคอยตรวจสอบดูอยู่เสมอว่าข้อความที่เขียนมีความ offensive มากน้อยแค่ไหน ถ้าพูดออกไปจะทำให้คนอ่านรู้สึกแย่หรือเปล่า ประเด็นไหนที่เราควรหลีกเลี่ยง หรือบางครั้งก็นั่งพูดคุยกันต่อถึงสิ่งที่แต่ละคนเห็นในอีกมุมมองหนึ่ง ทำให้เรามีไอเดียใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอเวลาประชุมกัน
ช่วงแรกเรายังต้องปรับตัวค่อนข้างมาก ( และคิดว่าเรายังต้องปรับกันเรื่อย ๆ ต่อไป )
เหตุผลหนึ่งเพราะยังไม่คุ้นชินกับการคิด content ในแบบที่ต้องอาศัย Real-time Margeting เป็นหลัก
ทำให้ต้องใช้เวลาจูนกันอยู่นาน ก่อนหน้านี้เราเคยเขียนงานมาบ้าง แต่ก็เป็นงานที่ค่อนข้างเป็นทางการ
เราเลยติดการใช้ภาษาในอีกรูปแบบนึง ซึ่งบางครั้งอาจจะใช้ไม่ได้ในการนำมาเขียน content ลงโซเชียลมีเดีย
เราในสัปดาห์แรก ๆ เลยมีแต่คำว่าตาโต คือมีเรื่องให้เราปรับตัวจนตาโตทุกวัน
จนถึงตอนนี้ก็ยังมีหลายครั้งที่ content ต่าง ๆ ของเรายังติดการใช้รูปแบบการคิดและภาษาแบบเดิมอยู่บ้าง และยังมีอะไรต้องกลับมาแก้อีกหลายต่อหลายครั้ง ฮ่า รวมถึงมีหลายไอเดียที่ทดไว้ในใจ
แต่นั่นก็ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า การจะผลิตคอนเทนต์อะไรสักอย่างออกมา มันใช้เวลาไม่น้อยเลย
และในบางครั้ง ไอเดียที่เราใช้เวลาคิดมาตลอดทั้งเดือนหรือทั้งสัปดาห์ ก็สามารถพับเก็บลงไปได้ง่าย ๆ เหมือนกัน ถ้ากระแสในตอนนั้นยังไม่เหมาะสม
Starter kit ของการฝึกงานชุดแรกที่เราได้รับจากที่นี่เลยหนีไม่พ้นเรื่องของ :
การอ่านหนังสือให้เยอะ สังเกตให้บ่อย และคิดให้ง่ายขึ้น
หวังว่าหลังจากนี้จะมีแต่เรื่องสนุก และสนุกมากขึ้นไปอีก เย้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in