เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
os,sf whatevergreenasavocado
6am
  • 6am thoughts

    thai AU

    jamren


                     “หน่า หม่าม้า เอี่ยมอยู่ได้ครับ”

                     (ถ้าเหนื่อยก็กลับบ้านเรานะลูก)

                     “โอ้ย สบายมากครับ”

                     (เฮ้อ หม่าม้าเป็นห่ว..)

                     “ม้าครับ เรือมาแล้ว เดี๋ยวเอี่ยมไปก่อนนะ ถ้าถึงที่ทำงานแล้วจะไลน์ไปครับ”

                     

                     ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักที่เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการโกหก จริงๆแล้วเรือยังไม่ได้มาสักหน่อย เพียงแต่ว่าถ้าไม่วางสายหม่าม้าก็ยังคงจะบ่นเป็นห่วงแล้วก็ขอร้องให้กลับบ้านอยู่แบบนั้น

                     ที่บ้านของเอี่ยมทำร้านขายวัสดุก่อสร้างครบวงจรอยู่ที่เชียงใหม่ แน่นอนว่ารายได้มันดี แต่มันไม่ใช่แนวทางของเอี่ยมเลย ทั้งการเช็คสต๊อค เข้าโกดัง ดูสเป๊คของ คุมคนงาน งงไปหมด

                     สุดท้ายก็ทนไม่ไหว หลังจากเรียนจบออกมาได้แค่สามเดือนก็เลยต้องขอออกมาทำงานตามสายที่เรียนมา ซึ่งก็ดูเหมือนจะดีกว่าเดิมในเรื่องของตัวงาน แต่สุขภาพจิตติดลบยิ่งกว่าที่ทั้งชีวิตเคยเป็น ทั้งมลพิษ ผู้คน อากาศ และเงินเดือนที่ไม่ได้สูงเท่าไหร่นักเพราะยังไม่ผ่านช่วงโปรเลยด้วยซ้ำ

                     

                     เอี่ยมอาศัยโดยสารเรือรับส่งของโรงแรมเพื่อไปต่อบีทีเอส มีทางอื่นสามารถพาไปได้เหมือนกันแต่เรื่องอะไรมนุษย์เงินเดือนต๊อกต๋อยจะยอมเสียเงินตรงส่วนนั้นกันล่ะ

                     กวาดสายตาดูรอบตัวแล้วก็นึกอิจฉานักท่องเที่ยวที่หอบลูกหอบหลานมาเที่ยวกันทั้งครอบครัว หรืออิจฉาแม้แต่อิจฉาคนที่ยังอยู่ในวัยเรียน ชีวิตการทำงานเนี่ย เหนื่อยจริงๆอย่างที่โดนขู่มาเลย

                     เรือขนาดกลางเทียบท่าตามตาราง เอี่ยมรอให้คนอื่นขึ้นก่อนแล้วตัวเองค่อยเดินรั้งท้าย ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปยื้อแย่งกันขึ้นเรือในเมื่อนี่มันเพิ่งหกโมงสิบห้าที่ต่อให้ตายยังไงก็คงมีที่มากพอให้คนตัวเล็กเท่านิ้วก้อยแบบเอี่ยมอยู่ดี

                     เอี่ยมไม่ชอบน้ำเลย มันทรมานจริงๆที่ต้องมาอยู่ในพื้นที่ที่ต้องนั่งเรือก่อนเพื่อไปขึ้นบีทีเอส

                     

                     เพลงที่ถูกเล่นผ่านหูฟังไม่ได้ทำให้อารมณ์ดีขึ้นเท่าไหร่ จริงๆเอี่ยมไม่ได้ตั้งใจฟังเลยด้วยซ้ำ เวลาห้านาทีนานเป็นชาติในความรู้สึก เมื่อไหร่จะได้ขึ้นบกสักที

                     

                     “พี่ครับ”

                     “...”

                     “พี่ .. พี่ครับ”

    แรงสะกิดที่แขนขวาทำให้เอี่ยมหันไปมอง แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้คลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมเพราะความกลัว

    “ครับ?”

    “เปียกหมดแล้ว” คนด้านข้างชี้เข้าที่แขนด้านซ้ายของเอี่ยมประกอบ

    “เฮ้ย”

    “พี่เขยิบเข้ามาอีกหน่อยก็ได้ครับจะได้ไม่โดนน้ำ”

    “อ่อ ครับ”

                     เอี่ยมกระเถิบตัวเข้าไปจนพ้นรัศมีของน้ำที่กระเด็นเข้ามาจากนอกเรือ แต่นั่นก็ทำให้ลำตัวแนบชิดกับเด็กกางเกงน้ำเงินด้านข้างน่าดู

                     

                     ทำไมจะไปโรงเรียนต้องฉีดน้ำหอมด้วยนะ แก่แดดจริงๆ

               แล้วถุงเท้าข้อสั้นนั่นอีก ไม่ผิดกฎหรือยังไง

               ไว้ผมยาวขนาดนี้ก็ได้ด้วยเหรอ

               แล้วหน้าเนี่ย จะหล่อไปเผื่อใครกัน

               แอบทาบีบีไปโรงเรียนหรือไง ทำไมเนียนแบบนี้


    6am


                     เอี่ยมหอบร่างกระเซิงของตัวเองออกจากห้องเพื่อไปเจอกับเพื่อนที่สยาม เขาเพิ่งสระผมและไม่มีเวลาให้ได้เป่าผมเลยด้วยซ้ำ จริงๆแล้ววันเสาร์ควรเป็นเวลาที่ได้พักผ่อน ซักผ้า เก็บห้องแล้วใช้เวลาที่เหลือนอนเล่นโง่ๆไปจนหมดวัน

                     ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะเบี้ยวแล้วแท้ๆ แต่มิสคอลยี่สิบเจ็ดสายก็ทำให้ลุกขึ้นมาแต่งตัวอย่างเสียไม่ได้ เอี่ยมไม่สนใจหรอกว่าใครจะมองลุคการแต่งตัวแบบครูพละว่ายังไง ในเมื่อแต่งตัวเป็นทางการมาห้าวันต่ออาทิตย์แล้วก็ขอชิลบ้างแล้วกัน

                     

                     ถึงจะรู้ว่าตัวเองเป็นคนมึนๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะมึนถึงขั้นใส่รองเท้าแตะคีบออกมา เอี่ยมรู้สึกตัวตอนที่มองผ่านกระจกของร้านกาแฟที่ตั้งใจว่าจะเข้าไปซื้อ แต่ก็ต้องผละออกมาจากประตูแล้ววิ่งกลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบเสียก่อน

                     เอี่ยมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองตกอยู่ในสายตาของเด็กมอปลายที่ลงมานั่งอานหนังสืออยู่ที่ร้านกาแฟใต้คอนโดตั้งแต่เดินเลี้ยวมาจากหัวมุม

                     แจมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าต้องกระพริบตา คนตัวเล็กกับถุงผ้าเหี่ยวๆต่างจากคนที่เจอในวันธรรมดาเหมือนคนละคน พี่แต่งตัวเรียบร้อยปรากฏตัวที่ท่าเรือทุกหกโมงเช้าพร้อมกับคิ้วที่หมวดมุ่นเหมือนคนมีเรื่องให้คิดตลอดเวลากลายเป็นคนผมเปียกเด๋อด๋าที่ลากแตะห้องน้ำออกมาด้านนอกในวันนี้

                     นั่งมองพี่ตัวเล็กที่เดินไปจนพ้นสายตาแล้วถึงกลับมาสนใจเนื้อหาที่จะออกสอบ แต่ด้วยการคาดเดาว่าพี่จะกลับมาอีกครั้งทำให้แจมต้องเงยหน้าขึ้นเช็คทุกสองนาทีจนไม่เป็นอันทำอะไร

                     “มึงเป็นบ้าเหรอ ยิ้มไร” ซันที่นั่งฝั่งตรงข้ามทักขึ้น

                     “เสือก”

                     “เอ๊าไอ่ห่า มาสอนกูก่อน ไบโอกูไม่ได้เลยเนี่ย”

                     “เดี๋ยว”

                     “ไรวะ”

                     มาแล้ว พี่กลับมาอีกครั้งพร้อมกับรองเท้าผ้าใบ ในมือถือหมวกแก๊ปสีเหลืองแกว่งไปมา แต่ครั้งนี้เดินคนละฝั่งถนน คงไม่แวะเข้ามาในร้านแล้ว

                     “ใครอะ”

                     “มึงถามมากจังวะ” แจมพูดติดขำ

                     “กูเพื่อนมึงนะเนี่ย”

                     “เออ”

                     “ใคร”

                     “แปปดิ” แจมมองพี่ตัวเล็กเดินไปจนสุดสายตา ลอบยิ้มน้อยๆ แล้วถึงกลับมาสนใจตัวเสือกที่นั่งด้วยกัน

                     “ตอบกู เร็วๆ อยากรู้เนี่ย ไม่งั้นกินข้าวไม่อร่อย”

                     “กูก็ไม่รู้”

                     “เอ๊า”

                     “นี่ก็เอ๊าบ่อยจริง”

                     “ก็มันน่าเอ๊ามั้ยอะ กูงง”

                     “ก็กูไม่รู้จัก พี่เค้าอยู่แถวนี้มั้ง กูเจอบ่อยๆตอนไปโรงเรียน”

                     “อ่อ”

                     “ไรมึง”

                     “สาเหตุที่ช่วงนี้ไอ้แจมสายเสมอไปโรงเรียนเช้า”

                     “ไอ้เหี้ย”


    6am


                     เรื่องราวความซวยก็คือเอี่ยมออกไปจากตรงนี้ไม่ได้ บัตรแรบบิทที่คิดว่าสอดไว้ในกระเป๋าผ้าไม่ได้อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ มันน่าหงุดหงิดจนอยากจะเขกหัวตัวเองแรงๆสักที เมื่อเช้าเพิ่งเติมไป50เที่ยวแท้ๆ เหมือนทำเงินเป็นพันหายไปต่อหน้าต่อตาเลย

                     “พี่ครับ” เสียงคุ้นๆจนเอี่ยมต้องหันไปมอง

                     “หือ”

                     “อันนี้ของพี่หรือเปล่าครับ”

                     ซองใส่บัตรสีเบจถูกชูขึ้นด้านหน้าพร้อมกับแรงสั่นน้อยๆจากการหอบหายใจของคนที่วิ่งตามมา

                     “เฮ้ย ใช่แล้ว ขอบคุณนะ”

                     “แฮ่ก... ไม่เป็นไรครับ”

                     “นี่วิ่งมาเลยเหรอ”

                     “อ่อ นิดหน่อยครับ กลัวตามพี่ไม่ทัน”

                     “ขอบคุณนะ มากๆเลย เกือบซื้อใหม่แล้วเนี่ย”

                     “ไม่เป็นไรเลยพี่”

                     เอี่ยมแตะบัตรและเดินออกมาพร้อมกับเด็กที่แอบนินทาอยู่ในใจบ่อยๆว่าหล่อเกินไป

                     “กำลังจะกลับบ้านเหรอครับ”

                     “หืม”

                     “ผมจำพี่ได้ เห็นพี่ทุกวันเลย”

                     เอี่ยมไม่ได้คาดหวังอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

                     “อ้อ ใช่ กำลังจะกลับ”

                     “อ่อ ครับ”

                     “แล้วนี่กำลังจะกลับเหมือนกันเหรอ”

                     “อ่า”

                     “เราก็จำน้องได้”

                     “จริงเหรอครับ ดีใจจัง” เด็กมอปลายในเสื้อยืดกางเกงยีนส์ดูแปลกตาหันมายิ้มให้เอี่ยมเต็มแก้ม วันนี้ดูดียิ่งกว่าในชุดนักเรียนอีก ทำไมดูโตขนาดนี้ในขณะที่เอี่ยมยังดูเป็นเด็กเมื่อวานซืนอยู่เลย

                     “ต้องดีใจเลยเหรอ”

                     “ก็พี่ดูเหมือนไม่สนใจใครเท่าไหร่ เอ่อ ผมไม่ได้ว่านะ แต่พี่แบบดูเคร่งเครียดตลอดเวลาเลย”

                     “ฮ่าๆ เหรอ”

                     แจมรับรู้ได้ถึงการสูบฉีดเลือดที่แรงเกินพิกัด จากปกติที่ทำหน้าเครียดก็น่ารักมากอยู่แล้วแท้ๆ พอหัวเราะก็เหมือนจะสามารถเปลี่ยนให้กลางคืนกลายเป็นกลางวันได้เลย มันสว่างสดใสแบบนั้นเลย

                     “จริงๆแล้วเราไม่ใช่คนเครียดนะ”

                     “อ่อ ครับ”

                     “แต่เรากลัวจมน้ำอะ”

                     “ห้ะ”

                     “ก็มันมีเรื่องฝังใจไง แล้วต้องนั่งเรือทุกวันมันก็กังวล”

                     “ฮ่าๆ พี่ ทั้งหมดคือกลัวน้ำ”

                     “เออ หัวเราะทำไม มันน่ากลัวนะเว้ย”

                     “งั้นทำไมพี่ไม่นั่งรถเมล์แทนอะครับ”

                     “ตั้งเก้าบาท”

                     “งก”

                     “แล้วมันจะทำไมเจ้ากางเกงน้ำเงิน”

                     “เปล่าครับ แต่จริงๆก็ดี ไม่งั้นแจมก็คงไม่ได้เจอพี่”

                     “แจม? ชื่อแจมเหรอ”

                     “ครับ”

                     “ชื่อเหมือนผู้หญิงเลย”

                     “ผมก็ว่างั้น”

                     “เราชื่อเอี่ยม” จริงๆแจมก็รู้อยู่แล้วจากการแอบฟังพี่เอี่ยมคุยโทรศัพท์

                     “ผมสิบเจ็ด”

                     “เฮ้อ ..​ยี่สิบสาม”

                     “ความรู้สึกของคนอายุขึ้นเลขสองมันเป็นยังไงบ้างพี่”

                     “งั้นๆแหละ ไม่เห็นรู้สึกโตขึ้นเลย”

                     เดินคุยกันมาเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็ถึงท่าเรือแล้ว ความรู้สึกเหมือนไวกว่าเดินคนเดียวเป็นเท่าตัว

                     “เรือเสียครับ วันนี้ไม่มีแล้ว”

                     “แป่ว”

                     “ตลอดเลย” เอี่ยมดูหัวเสียกว่าคนเด็กกว่าที่ดูงงๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

                     “นั่งวินมั้ยพี่ แจมนั่งประจำ”

                     “แพง รถเมล์เหอะ”

                     “ไม่เคยนั่งเลย..”

                     “จริงปะเนี่ย เดี๋ยวพาขึ้น ปะ”

                     

                     คนตัวเล็กกว่าเดินนำไปจนถึงป้ายรถเมล์หน้าสถานี รถเมล์คันเก่าจอดจอดเทียบป้ายพร้อมกับเสียงเบรกเปียกที่เสียดสีกับล้อดังเอี๊ยดที่ทำให้คนฟังแสบหู

                     “ปะ ขึ้น”

                     ก็ถือว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่พอจะมีที่นั่งให้พักแข้งพักขากันบ้างจากที่ต้องเดินอ้อมไปอ้อมมาจากสถานีรถไฟฟ้า

                     “แจมกินข้าวยังอะ”

                     “ยังเลยครับ ว่าจะไปอุ่นข้าวกล่องกินที่ห้อง”

                     “อยู่คนเดียวเหรอ” ถึงแบบนั้นแล้วเอี่ยมก็ไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไปอยู่ดี

                     “ครับ บ้านอยู่ชลบุรี”

                     “อ้อ” เอี่ยมพยักหน้าเป็นเชิงจะบอกว่าเข้าใจแล้ว

                     “...” ส่วนแจมก็พยักหน้าเลียนแบบเอี่ยมไปแบบนั้นเอง

                     “แจมพักที่ไหนอะ จริงๆป้ายหน้าก็ห้องเราแล้ว”

                     “อยู่โซนคอนโดของโรงแรมนั้นแหละครับ”

                     “โห..”

                     “เฮ้ย แต่แจมไม่ใช่ลูกคุณหนูนะ”

                     “ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”

                     “ก็ชอบมีคนพูด”

                     “อ่ะๆ เราไม่พูด ถึงแล้วเนี่ย ลงได้แล้ว”

                     “แล้วพี่ไม่ลงเหรอครับ”

                     “หิวอะ ว่าจะเลยไปหาอะไรกิน”

                     “อ้าว งั้นแจมไปกับพี่”

                     ดีจังนะ ถึงไม่ได้เอ่ยปากชวน สุดท้ายน้องก็ไปด้วยกันอยู่ดี


    6am


                     ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องราวจะมาจบที่เยาวราช จากตอนแรกที่เอี่ยมตั้งใจจะกินแค่อาหารจานเดียวแล้วกลับแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ากินของหวานของคาวของหวานสลับกันมาสี่ห้าร้านแล้ว

                     แรกๆเอี่ยมก็เป็นคนเลี้ยงข้าวแจมอยู่หรอก ถือว่าเป็นการขอบคุณที่เก็บบัตรแรบบิทมาให้ แต่แจมกินเยอะมากเหมือนกับว่าสิ่งที่กินเข้าท้องไปแล้วถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ที่อื่นแล้วท้องก็กลับไปว่างเหมือนเดิม

                     “แจม ถามจริง ทั้งวันนี้ได้กินข้าวไปบ้างหรือยัง”

                     “ก็กินปกตินะพี่”         

                     “ไม่ปกติอะ แน่ๆ”

                     “พี่อะแหละ กินน้อย ตัวก็เลยกระจิ๋วเดียวแบบนี้ไง”

                     “คำศัพท์อะไรของแก”

                     “เนี่ย ก็พี่เอี่ยมตัวเท่านี้เอง” แจมเอานิ้วโป้งแตะเข้าที่ข้อพับแรกของนิ้วก้อยของมือข้างเดียวกันเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพ

                     “เวอร์”

                     “จริงพี่เอี่ยม จบร้านนี้ไปกินบัวลอยกัน แจมเลี้ยง”

                     “แจมก็เลี้ยงหมดเนี่ย ให้เราออกบ้าง”

                     “ก็พี่เอี่ยมกินเท่าแจมดม ที่เหลือแจมก็เป็นคนกินอยู่ดี”

                     “แต่เราแก่กว่า”

                     “แก่กว่าไม่ใช่ข้ออ้างที่จะมาเอาเปรียบคนอื่นนะ”

                     “แย่งจ่ายคือเอาเปรียบเหรอ”

                     “ใช่”

                     “งง”

                     “ตามจริงแล้วแจมต้องเป็นฝ่ายดูแลพี่เอี่ยม..อุ้บ”

                     “อะไรอะ”

                     “เปล่า”

                     “จะพูดไร”

                     “เปล่า”

                     “แจม”

                     “ขอใช้สิทธิไม่พูดตอนนี้”


    6am


                     เอี่ยมรู้สึกสนิทใจกับเด็กที่หลับพิงผนังรถเมล์อย่างประหลาด อาจจะเพราะคุ้นเคยหน้าตากันอยู่แล้วถึงแม้ว่าจะไม่เคยคุยกันก็ตาม แถมน้องเป็นคนง่ายๆ พี่เอี่ยมว่าไงแจมก็ว่างั้น แวะที่นั่นก่อนก็ได้แจมรอได้ น้องไม่อิดออดอะไรเลยซักครั้ง และเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากซึ่งตรงข้ามกับเอี่ยมโดยสิ้นเชิง อย่างเช่นก่อนหน้านี้ที่ติดฝนอยู่ที่เยาวราช เอี่ยมก่นด่าฟ้าฝนเป็นสิบรอบในใจ ในขณะที่แจมแค่ยิ้มแล้วก็บอกว่าดีจัง อย่างน้อยอากาศในวันพรุ่งนี้ก็จะไม่ร้อนเท่าวันนี้ จากที่เคยชื่นชมแค่หน้าตาก็กลายเป็นว่าทั้งหมดที่ประกอบรวมเป็นเด็กคนนี้คือสิ่งที่น่าประทับใจ

                     “แจม..แจม ถึงแล้ว”

                     “ครับ” คนเด็กกว่าปรือตาขึ้นเล็กน้อย

                     “ถึงแล้ว ลงเร็ว”

                     “อ้อ ครับ”

                     

                     ลงจากรถเมล์ที่จอดตรงฝั่งหน้าคอนโดของแจม แต่ถึงแบบนั้นแจมก็ยังยืนยันที่จะข้ามถนนคนไปส่งคนแก่กว่าที่หอตัวเองอยู่ดี

                     “โทษทีนะ พากลับดึกเลย”

                     “ไม่เห็นเป็นไรเลย ปกติแจมก็กลับดึก”

                     “หืม เหรอ เห็นเมื่อกี้หลับปุ๋ยเลย นึกว่าเป็นเด็กอนามัย”

                     “วันนี้มีติวแต่เช้าเหอะ เลยน็อคนิดหน่อย ปกติแจมแข็งแรงนะ”

                     “แล้วง่วงมันเกี่ยวกับแข็งแรงตรงไหน”

                     “เออนั่นดิ แจมก็ไม่รู้อ่ะ ฮ่าๆ”

                     “ไปๆ ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว”

                     “พี่ก็ฝันดีนะครับ”

                     “อื้อ”

                     “พี่! คือ..”

                     “ว่าไง”

                     “แจมควรขอไลน์ หรือเบอร์หรืออะไรพี่ไว้มั้ย”

                     “...”

                     “แบบว่า..”

                     “ไม่ต้องหรอก ยังไงวันธรรมดาก็คงเจอกันทุกเช้าอยู่ดี”


    6am


                     “ไงเด็ก”

                     “ไงครับผู้ใหญ่”

                     แจมกับเอี่ยมทักกันด้วยประโยคสั้นๆแล้วต่างคนก็ต่างกลับเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเอง เอี่ยมฟังเพลง และแจมนั่งทำโจทย์เตรียมสอบเข้ามหาลัย มันเป็นแบบนี้เสมอ

                     “วันนี้มีกีฬาสีเหรอ” เอี่ยมเห็นว่าแจมใส่ชุดกีฬาที่ดูแปลกตา แถมยังเหน็บปลอกแขนไว้ที่กางเกง

                     “จตุรมิตรเลยนะวันนี้”

                     “หืม แล้วแจมทำหน้าที่อะไร”

                     “อู้”

                     “ตลก”

                     “จริงๆ แจมก็ไม่รู้ว่าสรุปตัวเองทำหน้าที่อะไร สวัสดิการมั้ง เพื่อนลงให้”

                     “เท่ดี ที่แปรอักษรอะ เคยดูในข่าว”

                     “มามั้ย แจมมีบัตร”

                     “บ้า เราจะไปได้ไง ต้องทำงาน”

                     “อ่อ แต่พี่เอาบัตรไปเหอะครับ เอาไปขายหรืออะไรก็ได้ ถ้าไม่ใช่พี่แจมก็ไม่รู้จะให้ใครเหมือนกัน”


    6am


                     ไม่ว่าจะเป็นโชคดีหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เคลียร์งานเสร็จก่อนเวลา เอี่ยมส่งเอกสารกองสุดท้ายให้พี่จอยแล้วมานั่งเปื่อยๆอยู่กับที่อย่างคนไม่มีอะไรทำ เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องรอตอกบัตรออกอยู่ดี

                     “น้องเอี่ยมทำอะไร”

                     “ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษเลยครับ พี่จอยมีอะไรหรือเปล่า”

                     “งานเสร็จหมดแล้วเหรอ”

                     “เรียบร้อยครับ”

                     “จริงๆจะไปเดินเล่นที่ห้างใกล้ๆก่อนก็ได้นะ แล้วค่อยมาแสกนนิ้วออก”

                     “เอ่อ.. แล้วพี่จอยว่างมั้ยครับ”

                     “เอากองนี้ไปส่งชั้นบนแล้วก็ว่างแล้ว น้องเอี่ยมมีอะไรรึเปล่า”

                     “พี่จอยอยากไปดูน้องตั้นมั้ยครับ พอดีเอี่ยมได้บัตรมา” เอี่ยมพูดถึงหลานชายของพี่จอยที่เรียนอยู่ชายล้วนเหมือนเจ้าแจม

                     สุดท้ายทั้งสองคนก็มานั่งอยู่บนแสตนสำหรับผู้ชมจนได้ เด็กผู้ชายเดินขวักไขว่จนเวียนหัวไปหมด

                     

                     เอี่ยมทิ้งให้พี่จอยนั่งอยู่กับน้องตั้น ส่วนตัวเองก็ลงไปซื้อน้ำด้านล่าง การหาตำแหน่งร้านน้ำให้เจอไม่ยากเท่าการฝ่าฝูงชนไปให้ถึงที่หมาย

                     

                     แจมไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาด หรือเป็นคนหน้าคล้าย หรือนั่นใช่พี่เอี่ยมจริงๆ แต่ขาสองข้างก็รีบเดินตามมาจนตอนนี้อยู่ห่างกับเอี่ยมแค่เอื้อมมือเดียว

                     “พี่เอี่ยม” แจมทดสอบด้วยการเรียกเบาๆ

                     “ห้ะ อ้าว แจม”

                     “ไหนบอกว่าไม่มา”

                     “ว่างพอดี เลยมาส่งพี่ที่ทำงานดูหลาน”

                     “อ๋อ..”

                     “ซื้อน้ำหรอ”

                     “อื้อ”

                     “ไปเอาของโรงเรียนแจมก็ได้ เหลือเพียบเลย”

                     “เฮ้ย ไม่เอา”

                     “เอาเหอะ ยังไงก็เป็นส่วนของแจมอยู่ดี”

                     แจมจับข้อมืออีกฝ่ายแล้วออกแรงดึงเล็กน้อยให้พอทันกัน ในอากาศร้อนแบบนี้ก็มีแต่คนมารุมตรงร้านน้ำจนแทบไม่มีที่เดิน

                     “เมื่อกี้พี่เอี่ยมแบนเป็นปลาหมึกโดนหนีบ”

                     “คนเยอะมาก น่าหงุดหงิด”

                     “เนี่ย คนแก่ขี้หงุดหงิด ตามสูตรเลย”

                     “ยังไม่แก่!”

                     “ถ้าไม่แก่ก็ต้องไม่หงุดหงิด ไหนพี่เอี่ยมยิ้ม” แจมยิ้มหน้าแป๊ะมาให้ดูเป็นตัวอย่างจนเอี่ยมหลุดหัวเราะออกมา

                     “เหลือเกินจริงๆ”

                     “พี่อารมณ์ดีแจมก็ดีใจนะ”

                     “ไปเหอะ มีคนรอกินน้ำ”

                     “พี่ทำไมหน้าแดง”

                     “แกเองก็เหมือนกัน”

                     “แจมร้อน”

                     “งั้นเราก็ร้อน”


    6am


                     เอี่ยมโดนลากไปนั่งที่ฝั่งโรงเรียนของแจมโดยมีข้ออ้างว่าจะได้เห็นใกล้ๆ แต่พูดก็พูดเถอะ เอี่ยมว่าที่เดิมที่เคยนั่งเห็นการแปรอักษรชัดกว่าด้วยซ้ำ

                     “ไม่แข่งบอลเหรอ”

                     “ถ้าแจมลงก็ไม่หนุกดิ”

                     “ทำไมอะ”

                     “เพราะแจมเก่ง”

                     “เฮ้อ”

                     “แจม!”

                     “ไร!”

                     “มานี่แป๊ปดิ๊”

    แจมหันไปตอบรับเพื่อนที่เรียกแล้วหันมาบอกคนด้านข้าง

                     “พี่เอี่ยมเดี๋ยวแจมมานะ”

                     “อื้อ”

                     “ใครมาคุยด้วยห้ามคุยเลย หรือไม่งั้นก็บอกว่ามากับแจม”

                     “ทำไมอะ”

                     “พี่เอี่ยมอยากให้แจมพูดจริงๆเหรอ”

                     “ไม่ละ ไปเหอะ”

                     “ห้ามนะ”

                     “อือ สัญญา”


    6am


                     ลมที่พัดวูบอยู่ด้านหลังทำให้เอี่ยมต้องหันไปมอง แจมยืนซ้อนหลังเอี่ยมโดยในมือมีผ้าขนหนูผืนเล็กที่ใช้บังแดดให้คนตัวเล็กกว่า

                     “มุดขึ้นมาทำไม ร้อนนะ”

                     “แล้วแจมไม่ร้อนหรือไง”

                     “...”

                     “มาหลบด้วยกันก็ได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย”

                     แจมย้ายมานั่งด้านของเอี่ยม ใช้ทั้งสองมือกางผ้าขนหนูให้เป็นร่มของทั้งสองคน ดูเผินๆแล้วก็คงเหมือนกับว่าแจมกำลังโอบเอี่ยมอยู่

                     

                     “เมื่อยป่าวเนี่ย”

                     “ทนได้”

                     “ก็แปลว่าเมื่อย มาแบ่งกัน” เอี่ยมแย่งชายผ้าฝั่งตัวเองมาถือไว้

                     “...”

                     “ไรอะ”

                     “เมื่อยไง พักแขน” แจมหมายถึง พักแขนไว้ที่บ่าของอีกคน

    ครั้งนี้เป็นโอบที่โอบจริงๆแล้ว

                     “ร้อนเนอะ”

                     “นั่นดิ”


    6am


                     “ไงผู้ใหญ่”

                     “ไงเด็ก”

                     “ทำไมวันนี้ช้า”

                     ปกติแล้วเอี่ยมจะไปถึงท่าเรือตอนหกโมงตรง เพื่อรอเวลาเรือออกจากท่าในตอนหกโมงสิบห้า เป็นการเผื่อเวลาหากว่าเรือขัดข้องจะได้เปลี่ยนวิธีการเดินทางทัน

                     “เพราะว่าทำกับข้าว”

                     “แล้วปกติไม่ทำเหรอ”

                     “ม่าย ปกติซื้อกินที่สถานี”

                     “กินของไม่ดีระวังไตพัง”

                     “บอกตัวเองเหอะ กินแต่ข้าวเวฟ”

                     “แป่ว”

                     “อ่ะ ข้าวผัดโง่ๆ ทำมาเผื่อ” กล่องข้าวสีใสธรรมดาๆถูกยื่นไปตรงหน้า

                     “ของแจมเหรอ”

                     “อือ”

                     “ขอบคุณครับ”


    6am


                     “ไงเด็ก”

                     “ไ.. ฮ้าวว” แทนที่จะได้รับคำพูดเหมือนทุกวัน เอี่ยมกลับถูกหาวใส่หน้าแทน

                     “นอนดึกเหรอ”

                     “ยังไม่ได้นอนเลย”

                     “มัวแต่ทำอะไรล่ะนั่น”

                     “ทำโจทย์ สนุกไปหน่อย”

                     “โห มันมีจริงๆเหรอคนแบบนี้”

                     “ไฟลนก้นแล้ว เลยต้องรีบเคลียด่าน”

                     “สู้ๆนะ เข้าใจ”

                     “พี่เอี่ยมเข้าใจใช่ไหมว่าแจมไม่ได้นอน”

                     “อื้อ”

                     “งั้นแจมขอนอนนะ”

           นอนแบบซบเข้าที่ไหล่ผอมของเอี่ยมแบบนี้ไง


    6am


           “ไงครับผู้ใหญ่”

           “อื้อ”

           “พี่เอี่ยมเป็นอะไร”

           “เครียดอะ”

                     “ทำไม ใครทำไร”

                     “กลัวไม่ผ่านโปร”

                     “แบบ ทดลองงานอะไรแบบนั้นเหรอ แจมไม่ค่อยรู้”

                     “อื้อ ถ้าไม่ผ่านก็ตกงาน กลับบ้านเลย”

                     “เห้ย ไม่ได้ดิ”

                     “แล้วจะให้อยู่ทำอะไรเล่า”

                     “ไม่ใช่ คือพี่เอี่ยมผ่านโปรแน่นอน เชื่อแจม”

                     “เฮ้อ ไม่รู้อะ”

                     “พี่เอี่ยมเครียดเหรอ”

                     “อือ”

                     “เย็นนี้ก็ยังจะเครียดเหรอ”

                     “ก็จนกว่าจะรู้ผลมั้ง”

                     “แจมไม่ชอบแบบนี้เลย เพราะแจมเองก็ไม่มีปัญญาช่วยด้วย” แจมขมวดคิ้วมุ่นราวกับว่าคิดมากตามคนด้านข้าง

                     “ฮ่าๆ เครียดอะไรอะเรา”

                     “ก็พี่เอี่ยมเครียด”

                     “โถ่เอ้ยไอ้เด็ก” เอี่ยมลูบหัวคนเป็นน้องเบาๆ “ทำไมน่ารักงี้”

                     “เพราะว่า... ไม่บอก”

                     “อ้าว”

                     “แล้วทำไมพี่เอี่ยมน่ารัก”

                     “ไม่บอก”

                     “เนอะ ไม่บอกหรอก”


    6am


                     “ไงเด็ก”

                     “พี่เอี่ยม”

                     “ว่าไง”

                     “แจมติดมหาลัยแล้วนะ” คนเด็กกว่าพูดพร้อมกับแววตาที่เป็นประกายของความดีใจ

                     “เฮ้ย จริงดิ ดีใจด้วย”

                     “แต่แจมดีใจแค่แปดสิบเปอร์เซ็นต์”

                     “เอ้า ทำไมงั้น ไม่ใช่คณะที่ชอบเหรอ”

                     “เปล่า”

                     “อ้าว แล้วทำไมอะ”

                     “พี่เค้าสปอยมาว่ารับน้องมันเลิกดึก ถ้าเป็นงั้นแจมก็จะไม่ได้กลับมานอนนี่ทุกวัน”

                     “อ้อ”

                     “แต่ว่าแจมไม่อยากให้ช่วงเวลานี้มันหายไปเลย”

                     “...”

                     “พี่เอี่ยมจะให้เบอร์แจมได้รึยัง”

                     “...”

                     “ถ้าวันไหนแจมมานั่งตรงนี้ด้วยไม่ได้ แจมจะได้โทรมาอยู่เป็นเพื่อน”

                     “...”

                     “หกโมงเช้าเป็นเวลาของแจมนะ ห้ามแบ่งให้ใครด้วย”

                     “...”

                     “ส่วนเวลาของทั้งหมดแจมอะ เป็นของพี่เอี่ยมหมดเลย”

                     “ไม่คิดบ้างเหรอว่าแกก็เป็นทุกเวลาของเราเหมือนกัน”

                     “...”

                     “คิดเรื่องแจมก็หมดไปทั้งวันแล่ว”


    --------------------------------------------------------------

    สานฝันตัวเองที่แท้จริง

    ทนไม่ได้ และจะไม่ทน

    #หกโมงเช้าjr

    (ถ้าเกิดว่าบังเอิญมาอ่านแล้วรูทีนคุ้นๆ 

    ก็ใช่แล้ว เรื่องของมึงนั่นแหละ หุหุ) 




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in