เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Cineflixswiftism
Once Upon a Time in Hollywood (2019) - กาลครั้งหนึ่ง...

  • ออกตัวก่อนเลยว่าเป็นแฟนหนัง Quentin Tarantino ครับ ไล่เก็บมาครบแทบทุกเรื่อง (ยกเว้น Jackie Brown ที่ยังไม่มีโอกาสว่างดูสักที) โดยเฉพาะ Pulp Fiction นี่ขึ้นหิ้งสำหรับผมไปแล้ว หยิบมาดูซ้ำได้เรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็ชอบเลยแหละ มีแค่ Death Proof ที่รู้สึกว่าไม่ค่อยตรงจริตผมเท่าไร (แต่ยังไงก็ต้องซูฮกฉากไล่ล่าช่วงท้าย เด็ดขาดจริงๆ)

    ฉะนั้น การที่ Once Upon a Time in Hollywood มาเข้าโรงใกล้ๆบ้าน มีหรือที่ผมจะพลาดรอบแรก เสียชื่อแฟนคลับหมดกันพอดี จริงๆอยากรีบดูด้วยเพราะผมอยู่ต่างจังหวัด กลัวว่ารอบจะหดหายไปภายในไม่กี่วัน เพราะมันก็ไม่ใช่หนังกระแสหลักเท่าไร แม้จะเป็นช่วงใกล้สอบของมหาลัย แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าไหนๆมันมาเข้าทั้งที ไปดูสักนิดจะเป็นไรไป ยอมอ่านช้ากว่าเพื่อนสักวันละกัน (แต่ปกติมึงก็ไม่อ่านอยู่แล้วนะ)

    เรื่องนี้น่าจะเขียนสั้นพอสมควรครับ ตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนแบบสปอยล์ไปด้วยเลย แต่ใจนึงก็รู้สึกว่ายากจัง ก็เลยจะเขียนแบบธรรมดานี่แหละครับ ไม่มีสปอยล์ สั้นๆ (เพราะเอาแค่สองย่อหน้าข้างบนแม่งก็กินเนื้อที่ไปเยอะแล้ว คนอ่านเขาขี้เกียจอ่านโว้ย) 

    (source: IMDb)
    ชอบมากกกกกกกก ขนาดว่าคาดหวังไว้ประมาณนึงแล้ว ตัวหนังจริงๆกลับทะยานเกิน expectations ทั้งหลายของผมไปไกลหลายขุมเลย ความยาว 161 นาทีแทบไม่เป็นปัญหาเลย หนังสนุกตามสไตล์เควนตินเลยครับ

    โทนหนังเป็น comedy-drama จัดๆ ซึ่งต่างจากที่เฮียแกเคยทำมาทั้งหมด บางคนเข้าไปดูแล้วอาจจะรู้สึกแปลกๆไม่มากก็น้อยว่านี่มันหนังเควนตินจริงๆเหรอ ดูผิดเรื่องรึเปล่าเนี่ย ตอนแรกผมก็รู้สึกแบบนั้น แต่เมื่อดูไปเรื่อยๆมันจะเริ่มออกกลิ่นสไตล์ดั้งเดิมของแกละ ฉะนั้น วางใจได้ครับ นี่ยังเป็นหนังเควนตินแบบที่คุณเคยดู แต่อาจต้องปรับจิตปรับใจเล็กน้อย เพราะมันไม่ได้เป็นหนัง genre-bending หรือบิดเบือนประวัติศาสตร์จ๋าๆเหมือนที่แกเคยทำใน Inglourious Basterds

    แอบตะลึงเล็กน้อยที่จังหวะหนังมันนิ่งมาก พอดูๆไปแล้วถึงเริ่มอ๋อ เหมือนแกพยายามจะทำหนังให้มันดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความสุขุมนุ่มลึก อ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาความเป็นตัวเองไว้ได้อย่างครบถ้วน เป็นการมิกซ์กันที่ลงตัวนะผมว่า

    สิ่งนึงที่ประทับใจในหนังเควนตินก็คือ เฮียแกสร้างตัวละครให้ดูสัมผัสได้ มีมิติ น่าเอาใจช่วย อย่างในเรื่องนี้ก็เช่นกัน Leonardo DiCaprio เท่มากกับบท ริค ดาลตัน แต่คนที่ผมประทับใจมากๆเลยก็คือ Brad Pitt ในบท คลิฟฟ์ บูธ คือดูเป็นเพื่อนที่แคร์กันมากๆ ซื่อสัตย์สุดๆ แอบเสียดาย Margot Robbie คนสวยของผมเล็กน้อย บทไม่เยอะเหมือนที่คิด แต่ก็ยังน่ารักและสวยในทุกๆซีนที่ออกมา รักนะคร้าบ <3

    (source: IMDb)
    ผมมองว่าหนังเป็นเหมือนจดหมายรักถึงยุค 60 มีการคารวะและหยิบยืม element ของหนังคาวบอยยุคนั้นมาใช้ บิดให้มันผสมกันอย่างลงตัวกับความเป็นหนังที่เล่าถึงการไต่เต้าสู่ความสำเร็จของสองคู่หูตกอับที่พยายามหาทางจัดการชีวิตให้ลงตัวในฮอลลีวูดในช่วงที่กำลังจะหมดยุคของหนังและซีรีส์คาวบอยแล้ว ก็คือมันเป็นทั้งหนังคาวบอย (เล็กๆ) + หนังที่เล่าถึงการทำงานในกองถ่าย + หนัง rise and fall (เล็กๆ) ทั้งหมดนี้ออกมาดีมาก ไม่ถึงกับกลมกล่อม แต่ก็อยู่ในระดับที่ลงตัว พอดีๆ

    ส่วนที่ว่าหนังเอาประเด็นครอบครัวแมนสันมาใช้เยอะมั้ย อันนี้ผมไม่อยากพูดถึงเลย อยากให้ไปดูกันเอง พูดได้แค่ว่ามันเกินคาดมากๆ สำหรับผมนะ

    ดูจบแล้วรู้สึกไม่อยากให้เฮียเลิกทำหนังเลยอะ เรายังอยากฟังไดละล็อกลื่นๆกวนตีนๆ ยังอยากเห็นตัวละครตายกันแบบไม่คิดไม่ฝัน ยังอยากเห็นหลายๆอย่างที่แกยังไม่ได้ถ่ายทอดออกมา น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ก็หวังว่าจะมีเซอร์ไพรส์นะครับ 55555

    แฟนๆเควนตินครับ ห้ามพลาดเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด มันก็ยังเป็นหนังกลิ่นอายเฮียแกนั่นแหละ เพียงแค่มันจะไม่เหมือนที่แกทำมาแค่นั้น และผมคิดว่าองค์สามน่าจะเป็นตัวตัดสินว่าคุณจะเกลียดหรือรักหนังเรื่องนี้ได้เลยแหละ

    ส่วนใครที่ไม่ได้ติดตามหรือเคยดูหนังของเฮียแกมาก่อนเลย อันนี้ผมแนะนำไม่ได้จริงๆ เอาเป็นว่าถ้าอยากลองหนังที่คุยกันเยอะๆ แต่บทสนทนามันช่างยียวนและสนุกสนานชวนฟัง หรือหนังที่คุณไม่สามารถคาดเดาอะไรในเรื่องได้เลย ลองดูได้ครับ ถ้าเกิดว่าชอบก็ขอเชิญชวนเข้าสู่โลกของเควนตินด้วยกันได้เลยครับ :-)

    (source: IMDb)

    ปล. : ยังให้เป็นรอง Parasite อยู่ครับสำหรับตำแหน่งหนังแห่งปี ลุ้นว่า Star Wars IX จะมาชิงไปได้หรือเปล่า 5555555

    ปล. 2 : ไหนบอกจะเขียนสั้นวะ ทำไมยาวจังเนี่ย ขออภัยผู้อ่านทุกคนด้วยครับ ;_;

    ปล. 3 (มีสปอยล์ ขอคลุมดำนะครับ) : องค์สามเจ๋งมากกกกกกก ว่าแล้วว่าเควนตินแกจะทำหนังที่ไม่มีเลือดสาดเยอะๆเลยได้ยังไง โหดเลือดสาดสมชื่อ จุดนี้หนังจัดหนักมาก บิดประวัติศาสตร์กันงี้เลย สะใจโคดๆ เชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่ชอบ แต่ผมขออนุญาตรักพาร์ทนี้เลยครับ


    Score: 9/10

    Directed & Written by: Quentin Tarantino
    Genre: Comedy, Drama
    Runtime: 161 mins

    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ ^^
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in