เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าข้างบอwaterplease
บ้านหลังที่ห้า
  •           สองสามวันมานี้ที่ฝึกงานไม่ค่อยให้ทำอะไรสักเท่าไหร่ ก็เลยนั่งว่างๆเหม่อมองหน้าต่างที่อยู่ซ้ายมือของโต๊ะเด็กฝึกงานไปเรื่อยๆ ซึ่งวิวทาวเฮาส์ที่เห็นก็น่าสนใจแค่บางวันเท่านั้น เพราะวันดีคืนดีอยู่ๆบ้านหลังนึงก็มีใครไม่รู้มามุงแล้วอีกสักพักก็กลายเป็นตำรวจกระโดดเข้าไป (วันนั้นฉันนี่มองกระจกทั้งวันจนพี่ที่ทำงานสงสัย ฉันเลยเรียกพี่เขามามุงดูด้วยกันเสียเลย เนียนๆอย่างเป็นธรรมชาติ!) บางวันก็จะมีบุรุษไปรษณีย์วิ่งเข้ามาโยนของแล้วก็จากไป แต่ที่ฉันสงสัยมากที่สุดก็คือ

     บ้านหลังที่ห้า บ้านที่ไม่เคยปิดไฟเลย


             คนอ่านอาจจะคิดว่าฉันน่ะขี้เสือก 

             แต่ฉันจะเรียกมันว่าเป็นความช่างสังเกตของฉันเเทนแล้วกัน ดูดีกว่าเยอะ 
             จริงๆไม่เคยอยากรู้เรื่องของคนอื่นมากมายเท่าอยากรู้เรื่องของบ้านหลังนี้เลย แน่นอนตอนที่ฉันกำลังเขียนอยู่ฉันก็หันหน้าไปมองไฟของบ้านหลังที่ห้า เขาก็ยังไม่ปิดไฟ ใช่ ฉันเขียนบทความนี้ตอนฉันอยู่ในที่ทำงาน  ใช่ พี่ที่ทำงานไม่รู้เพราะฉันน่ะเนียนมาก

             จากที่ฉันสังเกตมาตลอด(เเค่ตอนว่างงานนะ)ฉันพบว่าบ้านหลังนี้นั้น
    1. ไม่ปิดไฟ
    2. ไม่มีคนเดินเข้าออก (นับตั้งแต่ตอนที่ฉันเข้าทำงานคือเก้าโมงเช้าถึงหกโมงเย็น(เวลาเริ่มเข้างานเเล้วแต่อารมของฉัน!!!))
    3. ไม่มีรถยนต์จอดหน้าบ้าน


             เพราะฉันเรียนสายวิทย์คณิตฉันจึงขอตั้งสมมติฐานดังต่อไปนี้

    1. บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่
             อันนี้เบสิคสุด คือบ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่ก็เลยเปิดไฟทิ้งไว้(?) แบบไม่กลัวไฟช๊อต ไม่กลัวไฟไหม้ ไม่กลัวไฟฟ้าลัดวงจร เพราะกลัวโจรเข้าบ้านเพราะไม่มีคนอยู่ อันนี้ฉันอยากปัดตกมากเพราะถ้าฉันเป็นโจรฉันคงมาดูลาดเลาก่อนว่าอิบ้านหลังนี้มันมีคนอยู่มั้ย เปิดไฟจริงหรือเปิดไฟเก๊ และถ้าฉันรู้ว่าเปิดไฟเก๊ฉันคงปล้นทันทีเพราะมีบ้านที่ไหนเปิดไฟทิ้งไว้ได้เป็นเดือนๆวะ น่าจะรวยมาก


    2. บ้านหลังนี้เป็นคนกลัวความมืด
             เบสิคพอๆกับข้อแรก แต่ก็พาลให้สงสัยไปอีกว่าแล้วในบ้านนี่เปิดไฟทั้งหลังเลยมั้ย ต้องเสียค่าหลอดไฟเท่าไหร่ และแน่นอนฉันซื้อข้อนี้มากกว่าข้อแรกเพราะมันดูสมเหตุสมผลกว่า 


    3. บ้านหลังนี้กลับบ้านตอนเย็น
             คิดง่ายๆคือเป็นพวกบ้างาน ทำงานตั้งแต่เช้ากลับบ้านเย็น ฉันบุญไม่ถึงเองเลยไม่เคยเห็นเจ้าของบ้านแก ขอท่ดค่ะที่หนูไม่ตั้งใจทำงานมากพอ หกโมงปุ้ปหนูเด้งตัวทันที วันหลังหนูจะอยู่ยันพี่เจ้าของบ้านกลับมาเลยนะคะ อยู่จนบอปิดไปเลยค่ะ


    4. บ้านหลังนี้เป็นสายลับ

             อันนี้คือการคิดแบบเพ้อเจ้อขั้นที่หนึ่ง ถ้าร้านตัดสูทธรรมดากลายเป็นร้านสายลับได้ แล้วทำไมบ้านธรรมดาถึงจะเปลี่ยนเป็นบ้านสายลับไม่ได้ละ?? บางทีการเปิดไฟทิ้งไว้อาจจะเป็นรหัสลับบางอย่างที่จะสื่อให้สายลับคนอื่นๆรู้ก็ได้ การตบไฟตามจังหวะอาจจะทำให้ประตูเปลี่ยนกลไกไปเป็นห้องลับ เปิดออกมากลายเป็นห้องที่มีอาวุธมากมาย อืม สงสัยฉันดูKINGMANมากเกินไป


    5. บ้านหลังนี้มีมนุษย์ต่างดาว
             ฉันเคยดูสารคดีมาเรื่องอะไรสักอย่างเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวว่าด้วยเรื่องสิ่งประหลาดต่างๆที่ไม่มีที่มาที่ไปบนโลกเรา(ex stonehenge)มันคือจุดcheckpointของมนุษย์ต่างดาว ที่แบบใช้check in การเยี่ยมเยียนจุดต่างๆบนโลก ไม่แน่บางทีบนหน้าsocial mediaของมนุษย์ต่างดาวอาจจะcheck in เเถวที่ทำงานฉันอยู่ก็ได้!!


    6.บ้านหลังนี้เป็นลัทธิอะไรสักอย่าง
             ฉันเดาว่าคงเป็นลิทธิที่ต้องการที่จะทำให้โลกนี้ล่มสลายไปเร็วๆไม่ก็ลัทธิเกลียดการไฟฟ้าต้องการใช้ไฟฟ้าให้หมดโลก อยากให้โลกดับมืดและล่มสลายเหมือนกับหนังเรื่องcity of ember 


    บางทีฉันก็คิดนะ ว่ามหาลัยส่งฉันมาฝึกงาน ไม่ใช่มานั่งคิดสมมติฐานเพ้อเจ้อบ้าบออะไรแบบนี้

    • จบแค่ตรงนี้เพราะว่าพี่ที่นั่งหันหลังให้ฉันขยับตัวบ่อยเหลือเกิน พี่คะหนูใจไม่ดีนะ
    • ฉันเขียนบทความนี้นานมากเพราะหาคำเเทนตัวเองไม่ได้ จะใช้ดิฉันก็กลัวจะเเก่ไปฉันเพิ่งจะอายุ21เองนะ จะใช้หนูก็เเปลกๆเพราะไม่เคยใช้หนูนอกจากกับคนที่เเก่กว่าและตอนนี้ฉันก็เปลี่ยนมาเรียกเเทนตัวเองด้วยชื่อเล่นของฉันเเทนแล้ว อยากจะตัดใจใช้ผมไปเลยง่ายๆก็กลัวจะเจ้าฮะไปหน่อย และเรื่องนี้ทำให้ฉันได้เห็นว่านักเขียนผู้หญิงส่วนใหญ่จะเเทนตัวเองว่าเรา ซึ่งแน่นอนฉันไม่ชอบมันเหมือนกับฉันจะเล่าเรื่องความรักยังไงไม่รู้ mood&toneมันไม่ได้!! เพราะงั้นฉันเลยใช้ฉันเนี่ยเเหละ ถ้าอ่านในใจก็อยากให้อ่านว่า ชั้น!! แบบมีเครื่องหมายตกใจด้วยนะจะขอบคุณมากๆเลย
    • คือเขียนตอนนี้นานมาก เพราะอะไร เพราะบอสเดินผ่าน

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in