เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
once rememberedployapha.j
Seattle #2 | เสี้ยวความทรงจำที่ขาดหาย




  • ตอนนั้น...จำได้ว่า...







    ...








    ขอสารภาพตามความจริงว่าเรานั่งจ้องหน้าจอว่างเปล่ามาสิบกว่านาที
    ก่อนที่จะสลับไปดูรูปภาพเก่าในโฟลเดอร์สลับไปมา











    เราจำไม่ได้ว่าหลังจากที่เขาพาเราเดินขึ้นเขาไปดูวิวเมืองทั้งเมืองแล้วเราไปไหนกันต่อ
    ความทรงจำมันเลือนลางเสียจนรู้สึกว่า








    นี่ถ้าวันนี้ไม่ได้เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเขียนบันทึกเรื่องราวเอาไว้
    หรือไม่มีภาพถ่ายเป็นเครื่องยืนยัน เรื่องราวในบ่ายวันนั้นก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย








    มันน่าเศร้าที่วันหนึ่งเราอาจจะลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปจนหมดก็ได้

















  • จากภาพถ่าย...




    บ่ายวันนั้นเขาพาเราไปเดินเล่นริมทะเล
    มีทุ่งดอกไม้สีม่วงน่ารัก และรางรถไฟ




    เราถ่ายรูปตลกๆกันเยอะแยะ ทำท่าอ้าปากเหมือนจะกินเรือลำเล็กลำน้อยเข้าไป
    ตอนนั้นคงจะตลกกันเองน่าดูเลยล่ะ








































    เอาล่ะ เจอภาพนี้ก็รู้แล้วว่าตรงนี้เราอยู่ที่ไหนในซีแอตเทิล






















    เราจำไม่ได้ว่าคุยอะไรกันบ้าง

    มันเป็นการเดินทอดน่องยามบ่ายไปเรื่อยๆ
    จำได้คร่าวๆว่าแถวนี้มีรูปปั้นและงานศิลปะเยอะมาก
    แต่ก็ลืมแล้วว่างานต่างๆเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร








































    ทุกวันนี้เราก็ยังคงใช้ถุงผ้าใบนี้อยู่















  • จากนั้นความทรงจำในหัวก็เป็นภาพตัดมาที่เรานั่งอยู่ตรงโขดหินริมทะเล
    มีน้องหมาว่ายน้ำป๋อมแป๋มว่ายน้ำเก็บกิ่งไม้มาคืนให้เจ้าของ




    จำได้รางๆว่าเรานั่งกันตรงนี้นานหน่อยแหละ














    ในไอจีมีรูปที่เรายืนอยู่บนโขดหินเหล่านี้ด้วยแหละ
    ไม่รู้ว่าเขาแอบถ่าย(แบบที่ชอบทำเป็นประจำ)หรือเราปีนขึ้นไปยืนโพสต์ท่ากันแน่

































    เออ อันนี้จำได้ว่าเรานั่งขำเจ้าคอร์กี้ตัวนี้กุ๊กกิ๊กกันสองคน
    คือเจ้านายเขาโยนกิ่งไม้ลงน้ำ แล้วคอร์กี้น้อยก็วิ่งดุ๊กดิ๊กลงไปจะเก็บ
    แต่พอเอาเท้าแตะน้ำก็วิ่งกลับเพราะน้ำมันเย็น


    มันมองเจ้านายแบบ จะให้ลงไปจริงๆหยอ เอาจริงหยออออ
    แล้วสุดท้ายก็ตุ้มมมม กระโดดลงน้ำ


    ไปๆมาๆสนุกจ้า เล่นน้ำเลยจ้า
























  • จากนั้นเขาก็พาเราเข้าไปในเมืองอีกครั้ง ไปเดินดูแลนด์มาร์กสำคัญๆต่างๆ
    ที่ก็ถ่ายรูปมาแต่ก็จำไม่ได้ว่าที่นี่คือที่ไหน ขอข้ามไปเลยก็แล้วกัน







    ภาพตัดมาที่ตลาด Farmer Market ยามเย็นที่คนน้อยแถมร้านค้าปิดเกือบหมด
    จะมาทำไมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน


    เอาเป็นว่าได้มาถ่ายรูปกับแลนด์มาร์กที่เราอี๋มากๆ นั่นคือ Gum Wall
    ที่เขาเอาหมากฝรั่งมาแปะๆๆๆๆๆๆๆๆติดกำแพงไว้อะ




    โคตรอี๋ แต่ก็เคี้ยวหมากฝรั่งและเอาไปแปะเป็นที่ระลึกไว้แล้วเหมือนกัน
    ไหนๆก็มาแล้วไง เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
    มาซีแอตเทิลก็ต้องเคี้ยวหมากฝรั่งเอาไปแปะที่กำแพงไง











    ภาพตรง Gum Wall มันมืดมาก ไม่ได้ถ่ายเอาไว้
    ประกอบกับอี๋เองในใจที่จะถ่ายรูปกำแพงที่เต็มไปด้วยหมากฝรั่งเหนียวๆ
    เลยมีแต่รูปเขาที่ยืนยิ้มแฉ่งด้วยความภาคภูมิใจ



    เออ จำได้ว่าเขาแอบแกล้งจะผลักเราใส่กำแพงด้วย
    เดชะบุญที่ไม่ได้ตั้งใจผลักแรงและเขาก็ช่วยคว้าไว้ กะให้ตกใจเฉยๆ





    ซึ่งก็ตกใจจริงๆและในใจตอนนั้นคงคิดว่า


    ถ้าตัวกูไปแปะกำแพงนะมึงตายยยยยยยยยย!





















  • เออ ตรงตลาดนี้มีร้าน Starbucks สาขาแรกของโลก ด้วยแหละ
    ก็เข้าไปด้อมๆมองๆแต่ก็ไม่ซื้ออะไร (อ้าว)


    ถ่ายรูปไว้เฉยๆว่ามาถึงแล้วนะจ๊ะ เย้เฮ





















    และนี่คือภาพสุดท้ายของวัน
    เราไปยืนดูพระอาทิตย์ตกที่หลังคาของตึกแถวๆนั้นแหละ










    เดินมาอะไรยังไงก็ไม่รู้ล่ะ จำไม่ได้
    รู้แต่ว่าโมเม้นต์ magic hour ตอนนี้มันโคตรดี

















    และเหตุการณ์ต่อจากนี้เราจำได้โคตรแม่นเลย
    คิดว่าจะจำไปตลอดชีพจนกว่าชีวิตจะหาไม่!



    เรื่องของเรื่องคืองี้เว้ย...


    จากโมเม้นต์พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอันสุดแสนจะโรแมนติกของเราสอง
    เราก็กลับที่พักตรง China Town
    เลี้ยวเข้าร้านอาหารจีนข้างๆโฮสเทล
    โซ้ยข้าวตอนสามทุ่มแบบที่ยังรู้สึกว่าตอนนี้เพิ่งหกโมงเอง




    อาหารมาเสิร์ฟปุ๊บยังไม่ทันจะได้กินอยู่ๆก็มีเสียงเคาะกระจก
    เราหันไปก็เห็นโฮมเลสผิวสีตาแดงก่ำยืนจ้องอยู่




    เขาบอกว่าไม่ต้องสนใจ กินไป ไม่ต้องไปมอง ไม่ต้องโต้ตอบอะไร
    แต่สีหน้าเขาก็เครียดเหมือนกัน



    พอเราก้มจะลงกินข้าวต่อ แม่งเคาะอีกแล้ว เคาะดังขึ้นด้วย



    เราเงยหน้าขึ้นไปถามว่าเอาไงดี เช็คบิลแล้วออกจากร้านเลยมั๊ย
    แล้วถ้าออกไปเราจะโดนอะไรรึเปล่า ตอนนี้ชักเริ่มกลัวแล้วไง




    โฮมเลสนั่นก็เคาะกระจกอีก แรงขึ้น ถี่ขึ้นจนคนในร้านเริ่มหันมามอง
    เราเริ่มมองหาเจ้าของร้านที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการเช็คบิล
    (จริงๆแม่งแกล้งวุ่น รู้ทันหรอกน่า)




    และก่อนที่เราจะเรียกเจ้าของร้าน โฮมเลสแม่งผลักประตูเข้ามาเลยเว้ย
    เดินมาที่โต๊ะแล้วยืนจ้องหน้า ไม่พูดอะไรด้วย แล้วอยู่ๆแม่งกระชากแขนเฉ๊ย







    ไอ้เชี่ยยยยย โฮมเลสที่แอลเอยังไม่เคยคุกคามชีวิตกูขนาดนี้เลยมึ๊งงงงงงงงงง
    ใจเย๊นนนนนนนนนน ใครบอกดาวน์ทาวน์แอลเออันตรายนี่เถียงสุดใจเลย
    ซีแอตเทิลที่ติดอันดับเมืองปลอดภัยแม่งเป็นงี้อะ โอ้ยยยยยย





    ตอนนั้นคือเราจิตหลุดไปแล้ว กลัวมาก
    เขาลุกพรวดขึ้นมายืนประจันหน้าเลย ตะโกนแบบ Don't touch her!
    เจ้าของเลยหันมาตะโกนว่าให้ออกไปจากร้านนะ




    แต่เจ้าของก็เอเชียนเหมือนกันไงก็น่าจะกลัวๆ ยังคงยืนอยู่หลังเคาเตอร์ไม่มาช่วยกู๊




    พี่โฮมเลสก็ปล่อยแขน บอกว่า Give me food!
    ไอ้พวกเราก็ No! ให้เรากินเสร็จแล้วค่อยว่ากัน
    โฮมเลสเลยนั่งแม่งโต๊ะข้างๆนี่แหละแล้วหันมาจ้อง จ้อง จ้อง จ้อง จ้อง จ้องงงงงงงงงงงงงงงงง




    เออออออ กูไม่กงไม่กินมันแล้ว เช็คบิลแล้วออกจากร้านเลย
    จังหวะที่ออกคือเราหันกลับมองแล้วเห็นว่าเขาปรี่เข้าไปโซ้ยบะหมี่ของเราแบบหิวกระหาย



    มันมีแว้บนึงที่รู้สึกสงสารว่าเขาคงหิวมาก
    แต่ก็รู้สึกกลัวมากกว่าอยู่ดีนั่นแหละ คือถ้ามาขอดีๆก็ให้แล้วโว้ย
    พูดกันดีๆก็ได้ อย่าใช้ความรุนแรงเลย กลัวแล้ว ฮือออออออ






    สรุปคือคืนนั้นก็นั่งกันอยู่บนเตียง
    เปิดเสบียงขนมปังปลากระป๋องที่พกมากินประทังชีพนั่นแล
    ไม่กล้าออกไปไหนแล้ว ฮือออออออออ











Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in