เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Life of PoonPoon :)
ดราฟชีวิต
  • เรื่องของเรื่องคือวันนี้ได้นั่งค้นอะไรหลายอย่างในตู้ที่บ้าน ระหว่างที่ค้นว่ามีอะไรน่าเก็บไปอ่านบ้าง
    ก็เจอป้ายสมัยร่วมกิจกรรมตอนเรียนมหา'ลัย เยอะมาก (บนรูป cover เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น 555)
    แล้วก็เจอ "สมุดกระจก" ทั้งจากงานรับน้อง งานค่ายซึ่งก็ได้สูญหายจากความทรงจำไปตามกาลเวลา บางอันไม่ใช่สมุด เป็นแค่กระดาษใบหนึ่งเท่านั้น แต่เชื่อมั้ยว่า แค่กระดาษใบเดียวนั่นแหละ ทำให้เราอ่านแล้วยิ้ม ขำ แล้วก็หวนกลับไปนึกถึงคนที่เขียนข้อความนั้นให้เราและเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น จนอยากมาบันทึกไว้หน่อย เผื่อวันใดวันหนึ่งเปิดมาอ่าน :) 

    เราเริ่มเดินสายไปค่ายตั้งแต่ปี 1-4 ก็ไล่เลเวลไปตามชั้นปี ปี1 ก็เป็นน้องค่ายไป ปี2-3 เริ่มเป็นคนจัด พอปี4 ก็ถือว่าไปดูงานน้องๆ 555 นั่งอ่านจนครบก็พบว่า บางอย่างเราก็มองไม่เห็น จำไม่ได้ ทั้งที่เป็นเรื่องของเราเองแท้ๆ เช่น ตอนไปค่าย ก็มีคนเขียนให้ว่า "ขอให้แผลที่เท้าหายไวๆนะ" ถึงกับงง ตอนนั้นเป็นแผลอะไรด้วยเหรอ? ข้อความต่อมา "ปอกมะขามโปรมาก" หืม แบบ เราทำได้ด้วยเหรอ 555555 เรียนจบมายังไม่ถึง 2 ปี แต่เมมโมรี่เริ่มเสื่อมแล้วแน่ๆ 

    แล้วก็มาเจอสมุดโน้ตเล่มหนึ่ง ที่จับฉลากได้มาตอนเล่นเกมบัดดี้-บัดเดอร์ เปิดดู ก็เจอว่าเป็นสิ่งที่ตัวเราเองเขียนไว้ตอนปีสี่ เทอมสอง เขียนแพลนชีวิตในปี 58 (ปีที่เรียนจบ) ไว้คร่าวๆ และทำตามได้ 3/4 เลย
    นอกจากนัั้น ในหน้าต่อมายังเขียนอีกว่า "มองตัวเองเป็นคนยังไง?" มีแบ่ง category ซะด้วย -0-
    แล้วก็มีสรุปข้อดี-ข้อเสียของตัวเองจากการประเมินตนเองผ่านการถามเพื่อนที่สนิทกัน

    เปิดมาอีกหน้า หัวข้อสั้นๆ ง่ายๆ แต่ทุกวันนี้ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้แบบชัดเจน "อยากทำอะไร ?"
    แล้วตอนนั้นเขียนไว้ว่า
    1. อยากทำทนาย ทำงาน law firm 
    2. อยากทำงาน UN และเครือ หรือองค์กรอื่นๆ (ได้ใช้ภาษา)
    3. อยากมีร้านกาแฟเป็นของตัวเอง (ถ้าได้เป็นทนายก็จะมีสำนักงานทนายในห้องถัดมา)
    4. อยากทำงานที่อิสระ (ไม่มียูนิฟอร์ม, ไม่น่าเบื่อ ไม่ routine, เลือกงานได้ก็ดี ว่ารับ/ไม่รับ)
    5. อยากเรียนต่อโท (ยังไม่ฟิกว่าเป็นด้านกฎหมาย ไปค้นหาตัวเองอีกที)
    6. ไม่อยากเรียนเนติ - แต่ดูแล้วไม่พ้น
    7. อยากเรียนคอร์สภาษา หรือเข้าโครงการอาสาสมัคร ฯลฯ อะไรสั้นๆ ที่ได้ไปทดลองใช้ชีวิตที่อื่น
    8. อยากมีกล้อง ถ่ายรูป เดินทาง เก็บข้อมูลได้เรื่อยๆ

    เห้ย คือทำไมตอนนั้นรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรมากกว่าตอนนี้ซะอีก ?

    แต่ในระยะเวลา 1 ปี 7 เดือนที่เรียนจบมา (นับตั้งแต่มิ.ย. 58 เพราะสอบปลายภาคเสร็จ พ.ค. 58)
    ก็ทำให้เราเพิ่งตอบตัวเองได้ว่า เรารู้สึกอิ่มกับการทำงานในสายเอกชน-ธุรกิจ- law firm ขึ้นมาดื้อๆ 
    ด้วยเหตุผลเบื้องหลังหลายๆ อย่าง ทำให้เราบอกตัวเองว่าจะไม่ "พยายามเป็นคนอื่น" อีกแล้ว
    แต่ทนายก็ยังเป็นอาชีพที่เราอยากได้ใบอนุญาตไว้ แค่เปลี่ยนสายจากทนายธุรกิจ เป็นทนายช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชน แรงงาน อะไรแบบนี้แหละมั้ง เท่าที่มองจาก field ที่เราสนใจนะ 

    น่าแปลกที่เราไม่ได้เห็นสมุดนี้เลยตั้งแต่เรียนจบ เพราะเราเอามาเก็บไว้ที่บ้าน (ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่หอ)
    แต่เรากลับเดินหน้าทำหลายอย่างตามทอปิคเหล่านี้ เหมือนไล่ทำ checklist อะไรแบบนั้น 555

    ข้อ 2-4 ก็ยังเป็นสิ่งที่เราสนใจอยู่ แต่ข้อ 4 สำหรับตอนนี้ยังคงเสี่ยงเกินไป เคยเป็นฟรีแลนซ์ระยะสั้น ช่วงที่ตกงานเป็นเดือน ยังหางานประจำไม่ได้และเงินเก็บเกลี้ยง 
    แต่บอกเลยว่าการทำฟรีแลนซ์ทำให้เรากล้าขึ้น เพราะใช้ชีวิตอยู่แบบ day by day โดยการรับคีย์ข้อมูลวันละ 300-400 บาทให้เอ็นจีโอที่หนึ่งก็ทำมาแล้ว พร้อมรับเป็นสตาฟในงานอีเวนท์ แล้วก็ขอแบบทดสอบรับแปล subtitle ในซีรีส์หรือรายการภาษาอังกฤษก็มา time management เป็นสิ่งสำคัญมาก การจัด priority ตามความด่วน ตามเดดไลน์ของงาน แถมเมมโมรี่ การบรีฟงาน สกิลทุกอย่างต้องมา 
    พบว่าชีวิตตื่นเต้นดีในช่วงนั้น แต่ยังไม่กลับไปทำนะ 55+

    ข้อ 5 กำลังจะทำจ้า สมัครสอบป.โท นิติ มธ.ไปแล้ว รอสอบ ;)

    ข้อ 6 สอบเนติ เอ้อ ไม่รู้หลุดพ้นมาได้ไง โชคดีที่ที่บ้านเราไม่ได้บังคับสอบด้วยแหละ รอดไป เพราะไม่รู้จะสอบไปทำไมจริงๆ ไม่ได้อยากทำศาลเลย ซึ่งรุ่นพี่หรือผู้ใหญ่หลายคนก็จะถามว่า "เรียนนิติมาทำไมงั้น?" เหอๆ ยอมรับว่าช่วงแรกที่คนถามเยอะๆ ก็มีเฟล ดราม่า ตั้งคำถามกับตัวเอง แต่หลังๆมา รู้สึกเฉยๆ และบอกตัวเองว่า "เราไม่ใช่คนที่ทำตามกระแสหลัก บางครั้งก็ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจเราเนอะ" คือเราไม่ได้ทำตามสเตปกระแสหลักของเด็กนิติ ที่จบมาแล้วอ่านหนังสือไว้ สอบ สอบ และสอบ เก็บทุกอย่าง เรียนต่อโท แล้วค่อยมาหางานทำทีเดียวอะไรแบบนี้ เพราะที่บ้านเรามีภาระ + เราคิดว่ามันเสียเวลา เพราะว่าไม่รู้จะเอามาทำไมเนี่ยแหละ :)

    ข้อ 7 อันนี้เหมือนจะ complete แล้วตอนไปทำงานเอ็นจีโอที่สิงห์บุรี สัญญาระยะสั้น 4 เดือนโดยประมาณ ทำให้เราโตขึ้นในหลายแง่มุม และกล้าฉีกคำว่า "เด็กนิติ" ไปทำ Site Logistic Assistant 
    #เด็กนิติสายอินดี้ 555 ขอบคุณหน่วยสันติภาพสหรัฐอเมริกา ที่ให้โอกาสนี้ด้วยค่ะ ^^ 

    ข้อ 8 ทำได้แล้วจ้า เก็บเงินซื้อ DSLR ตั้งแต่มี.ค. 59 มิชชั่นคอมพลีท ไม่ต้องยืมกล้องน้องแบงค์แล้ว ฮ่าๆ

    เปิดไปท้ายเล่ม เจอ "10 สิ่งที่จะทำก่อนตาย", "10 อย่างที่ชอบเสพ" และ "10 อย่างที่ชอบทำ"
    นั่งอ่านแล้วตลกดี มี Bungee Jump อยู่ในลิสต์แรกเสียด้วย แต่แบคแพคคนเดียวทำแล้ว จะทำทุกปีด้วย

    ก็มานั่งคิดๆ ดูว่า ช่วงเวลาที่เราได้นั่งสำรวจตัวเอง ประเมินตัวเองนี่มันก็ดีนะ มันทำให้เรา "ดราฟ" ชีวิต เราได้คร่าวๆ ในระดับนึงเลย ส่วนจะทำตามนี้มั้ยก็เป็นอีกเรื่อง ซึ่งเราก็ทำแบบไม่รู้ตัว 555

    สิ่งที่สะเทือนใจที่สุดก็คือ จากข้อ 4 เพราะงานปัจจุบันเราตอนนี้ มีทั้งยูนิฟอร์ม, เป็นงาน routine ไงล่ะ ครบสูตรตามสิ่งที่ยี้เลยนะ 55555 แต่เงินเดือนมันดีไง และภาระก็ยังมี #ทุนนิยมนี่มันทุนนิยมจริงๆ

    อย่างว่าแหละ งานที่ดีอาจไม่ใช่งานที่เราฝันไว้ แต่ก็ยังช่วยให้เราพยุงความฝันตัวเองต่อไปได้ ดูแลตัวเองและครอบครัวได้ (จำไม่ได้ว่าอ่านเจอจากที่ไหน -/|\-) แต่ก็สมัครงาน NGO ไป 4 ที่ได้แล้วล่ะ รอผล 

    ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขียนนี้จะช่วยอะไรใครได้มั้ย แต่ก็ขอสนับสนุนให้ทุกคนตามหาตัวเองนะ ไม่ว่าจะเจอหรือไม่
    ไม่ว่าจะได้ทำสิ่งนั้นหรือไม่ เราเป็นกำลังใจให้ตรงนี้ เราเข้าใจดี การทวนกระแสหลัก การไม่ไหลตามกระแสสังคมก็เหมือนปลาว่ายทวนน้ำ (นึกภาพเร็ว 555) อาจจะเหนื่อยหน่อย อาจจะต้องตอบคำถามคนรอบข้างและสังคมเยอะหน่อย แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นบางอย่างที่คุ้มค่านะ #เจนวายนี่มันเจนวายจริงๆ 

    ส่งพลังให้ผ่านโน้ตนี้ก็แล้วกัน สู้ๆนะ ^o^ 

    เจอกันในการบันทึกชีวิตครั้งต่อไปค่ะ ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบ สู้ต่อไปทาเคชิ :DD 



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in