เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Alive : กำเนิดกลายพันธุ์NO.W
Alive : กำเนิดกลายพันธุ์ ตอนที่ 6
  • ……….

     

    ตอนที่ 6 : กลับสู่โกลาหล

     

    “แล้วทำไมพวกนายถึงไม่ไปกับกลุ่มล่ะ”  ผมถามแมตท์กับเรฟที่นั่งข้างหน้า

    “พวกเราคิดว่าเคลโอส่วนในน่าจะปลอดภัยกว่า ไม่ต้องไปตระเวนลำบากข้างนอกด้วยแต่พวกนั้นบอกว่าอยู่กลางวงล้อมซอมบี้มันไม่ปลอดภัย” แมตท์เล่าขณะเลี้ยวไปมาตามซากรถที่ถูกปล่อยทิ้งไว้บนถนน

     

                เมื่อครู่ที่ผ่านมาพวกเราเกือบเอาตัวกันไม่รอดเมื่อพวกเราเจอฝูงซอมบี้อยู่ข้างหน้าแต่ แมตท์ก็ตัดสินใจพุ่งเข้าชน ผมกับเรฟช่วยกันต่อกรกับซอมบี้ที่เกาะรถและพยายามจะเข้ามาทำให้ตอนนี้ทั้งรถไม่เหลือกระจกซักบาน

      

    “ทางข้างหน้ามันโล่งแปลกๆ นะแมตท์” เรฟที่นั่งข้างคนขับเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นถนนข้างหน้าโล่งจนผิดสังเกตไม่มีซอมบี้เดินอยู่ข้างทาง ไม่มีกระทั่งศพหรือซากรถด้วย ไม่มีเสียงปืนหรือเสียงคนกรีดร้องแต่อย่างใด 

    “คิดมากไปเองมั้ง นี่เราก็ใกล้จะถึงแล้วด้วย”  แมตท์ว่า

    “ใกล้ถึงแล้วหรอ”  ผมถาม

    “อีกไม่กี่กิโลเมตรเอง นั่นคงเป็นกำแพงที่นักข่าวบอก”  แมตท์พูด ผมจึงสังเกตเห็นเงามืดของกำแพงที่สูงตระหง่านห่างไม่กี่กิโลข้างหน้ามันสูงหลายสิบเมตร คงยากที่ซอมบี้จะปีนเข้าไปได้ แต่แปลกที่ทำไมสร้างของแบบนี้ได้เร็วเหลือเกิน

    “ ขอให้โล่งไปตลอดเถอะ ไม่ใช่ไปจ๊ะเอ๋เอาแยกข้างหน้าล่ะ”  เรฟว่า

    “จะพูดเป็นลางทำไมเนี่ย” แมตท์หันไปบ่นเพื่อนขณะแล่นรถไปตามถนนที่เงียบกริบ ข้างหน้าเป็นแยกซ้ายขวา แต่แล้วทุกคนก็เห็นเหมือนกันในทางซ้ายข้างหน้า

    “โอะ  โอว”  เรฟร้องขึ้น

    “ไม่จริงน่า”  ผมพึมพำ เห็นซอมบี้กลุ่มหนึ่งวิ่งไล่ชายคนหนึ่งอย่างหิวโหยพวกมันไล่เขาออกมาจากทางซ้าย ตอนนี้วิ่งไปตามทางเท้าแต่สุดท้ายก็ไม่รอด

    “เหมือนจะบังคับเลี้ยวนะ”  แมตท์พูดเมื่อเห็นภาพข้างหน้า เขาเบี่ยงรถมาเลนขวาเพื่อเตรียมตัวเลี้ยว ในสถานการณ์แบบนี้เขาไม่จำเป็นจะต้องพะวงเรื่องกฎหมายจะขับรถเร็วหรือผิดเลนยังไงก็ได้ไม่มีใครว่า

     

                เมื่อแมตท์กำลังจะหักเลี้ยวขวา ทั้งหมดก็ได้ค้นพบกับความจริงที่โหดร้ายแยกทางซ้ายตลอดทั้งช่วงถนนเต็มไปด้วยเหล่าซอมบี้และกลุ่มผู้รอดชีวิตเสียงปืนดังสนั่นราวกับเกิดสงครามกลางเมือง เสียงร้องแสดงความเจ็บปวด ดังก้องสะเทือนจิตใจคนที่ได้ยิน

     

                ผมหันกลับไปมองผ่านหน้าต่างหลังยังต้องสลดใจกับภาพที่เห็นคงไม่มีใครทำใจให้สงบได้เมื่อเห็นเพื่อนมนุษย์โดนรุมทึ้งต่อหน้าต่อตา  

    “ดีนะทางขวาไม่เป็นไปด้วย”  เรฟว่า

    “ฉันว่ามันแปลกๆนะ ที่พวกซอมบี้และคนมากมาย ไปรวมกันที่ถนนเส้นนั้น ถ้าจำไม่ผิดถนนช่วงนั้นมัน...”  แมตท์ทำท่าครุ่นคิด

    “ขายอาวุธ”  ผมนึกขึ้นได้

    “ ใช่ ! มันมีร้านขายอาวุธ พวกอุปกรณ์เดินป่า เรียกว่าตลอดสองข้างทางของถนนช่วงนั้นเต็มไปด้วยร้านค้าของพวกนี้แน่นเอียดไปหมดเลยล่ะซึ่งตอนนี้มันก็จำเป็นมากซะด้วยที่ควรจะมีติดตัว”  แมตท์พูด

    “ไม่น่าล่ะ พวกมันคงตามเสียงปืนและเสียงความวุ่นวายของผู้คนที่แย่งกันไปมา  จนในที่สุดก็กลายเป็นลานละเลงเลือดสินะ”  เรฟอธิบายเป็นฉากๆ 

     

                ภาพความโหดร้ายเริ่มเล็กลงไปตามระยะทางที่ห่างออกไปเรื่อยๆแต่เสียงของความทุกข์ทรมานยังคงดังไล่หลังตามมาไม่ขาด ถึงแม้จะห่างออกมาไกลพอสมควรก็ตามผมหันกลับมามองสองข้างทางที่ว่างเปล่า ตึกราที่เงียบสงัด แต่แล้วสายตาผมก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กคนหนึ่ง   นั่งนิ่งอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ ริมถนน ใบหน้าที่คุ้นตานั้นนั่งอยู่หลังกระจกร้าน 

    “แมกส์ ! ”  ผมตะโกนออกมาไม่รู้ตัว

    “มีอะไรรึเปล่าเจค?”  แมตท์ถามขึ้นเมื่ออยู่ๆ ผมก็ตะโกนขึ้นมา

    “ฉันต้องลงแล้ว” ผมว่า สายตามองตามแมกส์ไปเมื่อรถยังไม่หยุด

    “ตอนนี้เนี่ยนะ”  เรฟถามพร้อมสีหน้าฉงน

    “ฉันต้องไปช่วยเพื่อน เมื่อกี้ฉันเห็นอยู่ในร้านอาหาร” ผมหันมาบอกในสิ่งที่เห็น

    “สายไปแล้วมั้ง”  เรฟพูด

    “ช่วยจอดรถที” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “…..”

    “โอเคๆ ”  แมตท์ค่อยๆชะลอความเร็วลงก่อนจะจอด  “นายไปนานมั้ย?” เขาถาม

    “พวกนายไม่ต้องรอฉันหรอก  แค่นี้พวกนายก็มาส่งฉันไกลพอแล้ว”  ทั้งคู่เงียบกริบเมื่อได้ยินผมพูดแต่แล้วแมตท์ก็เอ่ยขึ้น

    “ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายคิดอะไรอยู่เจค”  แมตท์พูด  “แต่หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก” แมตท์ว่าพลางปลดล็อคประตูหลังให้

    “พวกนายสองคนก็โชคดีล่ะ ไว้ไปเจอกันข้างใน”  ผมกล่าว  เปิดประตู แต่ยังไม่ทันจะก้าวออกจากรถเรฟก็เรียกซะก่อน

    “เดี๋ยว !  เอานี่ไปด้วย พวกเราไม่จำเป็นต้องใช้มันหรอก” เรฟโยนกระเป๋าที่เด็กผู้หญิงสวมฮู้ดให้มาระหว่างทางพวกเราเปิดดูและพบว่ามันมีปืนพกพร้อมกระสุนสำรองหนึ่งแม็ก น้ำเปล่ายาแก้ปวด ผ้าพันแผล มีแต่ของจำเป็นทั้งนั้น

    “ขอบคุณ”  ผมกล่าว กระแทกประตูรถปิด

    “ไว้เจอกันเจค”  แมตท์กล่าวลา ก่อนแล่นรถออกไป

     

                ผมยืนนิ่งมองรถของทั้งสองแล่นห่างออกไปสักพักก่อนหันกลับและวิ่งตรงไปยังร้านอาหารที่ผมเห็นแมกส์นั่งอยู่ด้านในที่ผมสงสัยที่สุดก็คือทำไมเหลือแมกส์แค่คนเดียว คนอื่นหายไปไหนหมด การนั่งหน้ากระจกแบบนั้นมันไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ด้วย

     

                ผมต้องวิ่งย้อนกลับไปราวสิบเมตรไม่เห็นแมกส์แล้ว ผมรีบผลักประตูร้านเข้าไป หวังว่าคงไม่ได้มาช้าไป ผมรีบกวาดสายตาหาทั่วร้านเจอเพียงโต๊ะที่เรียงต่อกันเป็นแนวยาว ทุกโต๊ะจัดชิดติดกระจกร้านมีเบาะเก้าอี้นั่งสองฝั่ง ตรงกลางเป็นทางเดินยาว ถัดมามีเก้าอี้หมุนติดพื้นเรียงอยู่หน้าเคาน์เตอร์มีประตูเข้าหลังครัว มันเป็นร้านเล็กๆ มีเพียงไม่กี่ที่นั่ง ตัวร้านเป็นแนวยาวไปตามถนน

     

                ในครัวก็ไม่พบใครเช่นกัน มีเพียงอุปกรณ์ทำอาหารมากมายที่ยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยผมมองหาทางขึ้นชั้นสองแต่ที่นี่มีเพียงชั้นเดียว

    “ หรือว่าคิดไปเอง บางทีมันอาจเป็นเงาสะท้อนก็ได้...”  ผมเริ่มสงสัยว่าตัวเองอาจตาฝาดก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นงั้นจริงผมเพิ่งจะพลาดรถเที่ยวเดียวถึงศูนย์อพยพไป

     

    ผมอยู่ในความเงียบงันสักพักก่อนได้ยินเสียงประตูตู้เปิดออกช้าๆพร้อมกับเสียงคนพูดขึ้นว่า  “นั่นนายหรอเจค?”  เสียงแมกส์นั่นเอง  และผมก็เห็นเจ้าหนุ่มน้อยในที่สุด เขาหลบอยู่ในตู้ใต้อ่างล้างจาน  แมกส์ลุกขึ้นปัดเสื้อผ้าที่เลอะฝุ่น เขาวิ่งเขามาสวมกอดผมอย่างแรง

     

    “ผมคิดว่าคุณตายไปแล้วซะอีก” แมกส์กอดผม น้ำเสียงสะอื้น ถึงแม้แมกส์กับผมจะไม่ค่อยได้เล่นด้วยกันเท่าไหร่แต่ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกคนล้วนช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาตลอด มันคงกลายเป็นความผูกพันถึงแม้จะเพิ่งอยู่ด้วยกันไม่นานก็ตาม

    “ฉันดวงดีน่ะ”  ผมตอบ ลูบหัวเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน เขาสูงประมาณเอวของผม

    “ว่าแต่ทุกคนไปไหนกันหมดแล้วล่ะ? ” ผมถาม แมกส์ผละออกไปสองสามก้าวก่อนพูดทั้งๆ ที่ยังปาดคราบน้ำตาอยู่

    “บิลจอดรถ พวกเรานอนกันที่นี่ พอตอนเช้า บิลก็บอกว่าต้องไปหาอาวุธก่อนจะพากันไปบิลเลือกที่จะเดินเท้าไปเพราะมันอยู่แยกข้างหน้านี้เอง”

    “แล้วทำไมถึงเหลือแค่เธอคนเดียวล่ะ” ผมถาม

    “บิลกับวอลเทอร์ได้อาวุธมาเยอะแยะ พอออกมานอกร้าน มีโจรเต็มไปทั่ว ทุกอย่างวุ่นวายไปหมดผู้คนเริ่มแตกตื่น แล้วพวกซอมบี้ก็บุกมาอีก ผมพลัดหลงกับทุกคน เลยวิ่งมาที่นี่”  แมกส์อธิบาย ทำท่าจะร้องไห้อีกครั้งยังไงเขาก็ยังเป็นเด็ก พลัดหลงกับผู้ใหญ่นั่นคงไม่ใช่เรื่องที่ชอบนัก แล้วพลัดหลงในสถานการณ์แบบนี้ใช่ว่าจะได้เจอกันอีกง่ายๆซะเมื่อไหร่

    “นายทำดีแล้วแมกส์ ยังไงทุกคนก็ต้องกลับมาที่นี่ใช่มั้ยล่ะ? เพราะบิลจอดรถไว้หน้าร้าน”

    “อื้อ ผมถึงวิ่งกลับมาไง”  

    “ฉันถึงบอกว่านายเก่งไงล่ะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ลูกผู้ชายเขาไม่ร้องไห้กันหรอกนะ”ผมปลอบ ใช้มือยีหัวเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดูราวกับเป็นน้องตัวเอง

     

    “เอาล่ะฉันมีสองทางเลือก…”  ผมพูดขึ้น ในใจผมอยากจะไปตามหาทุกคน ถึงแม้ว่ามันจะอันตรายก็เถอะ แต่จะให้นั่งรอคนที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกรึเปล่าไม่รู้สู้ไปเห็นกับตาเลยไม่ดีกว่ารึไง จะได้ไม่ต้องมารอให้เสียเวลา แต่ผมไม่อยากจะพาเจ้าตัวเล็กนี่ไปด้วย  

    “ผมไปด้วย ! ”   แมกส์พูดขึ้น หน้าตาจริงจัง

    “นายทำเหมือนรู้ว่าฉันจะพูดอะไรงั้นแหละ”  

    “ผมรู้ว่าคุณจะทิ้งผมไว้ที่นี่แล้วไปตามทุกคนใช่มั้ยล่ะ? ”  เจ้าหนูนี่มันอ่านใจคนได้รึไงกันผมคิด

    “มันอันตรายเกินไป ฉันว่าเธอน่าจะรออยู่นี่แหละ”  ผมพยายามพูดกล่อม

    “ผมไม่ทำตัวเกะกะหรอกน่า”  แมกส์ตอบ ผมเริ่มจะลืมไปแล้วว่าเจ้านี่ค่อนข้างหัวรั้น ถ้าผมไม่พาไปดีไม่ดี แมกส์อาจจะแอบตามผมไปก็ได้ ดูท่ายังไงก็ต้องพาไปสิน่า

    “….”

    “ไปก็ไป แต่ต้องฟังที่ฉันบอกด้วยล่ะ”   

    “ครับผม ! ”  แมกส์ยืนตรงทำท่าตะเบ๊ะเหมือนนายทหารเขาดูอารมณ์ดีขึ้นมาดื้อๆ นี่คงเป็นความสามารถพิเศษของพวกเด็กๆ รึเปล่าไม่รู้ สามารถอารมณ์ดีได้ทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะร้ายแรงแค่ไหน

    “งั้นเราไปตามทุกคนกลับมากันเถอะ”  

     

    ……….

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in