เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Copper and Barristapiyarak_s
Beer, Cigarette, Black Coffee and Bitter Chocolate (3) - Black Coffee
  • Beer : http://minimore.com/b/gvguD/1



    Black Coffee



    (1)


    จากนาทีที่ฉันบอกเขาว่ายินดีรับฟังทุกเรื่องราวที่เขาจะเล่าแม้ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเท่าใดก็ตาม จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ ฉันอยู่กับเขา แต่ระหว่างเรากลับยังไม่มีเรื่องราวใดๆ ที่ได้เล่าสู่กันฟัง


    “เราอยู่ด้วยกันทั้งคืนก็ได้...”


    ไม่รู้เลยว่าอะไรดลใจให้ฉันพูดไปอย่างนั้นและตัดสินใจทำอย่างที่ทำอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็เกิดขึ้นแล้วและย้อนเวลากลับไปไม่ได้อีก...


    ฉันเอนกายราบอยู่แทบเบาะหลังของรถอิงศีรษะกับประตูด้านหนึ่งที่ปิดอยู่ หัวใจเต้นรัวแรงจนแทบหายใจไม่ทัน ในขณะเจ้าของร่างชุ่มเหงื่อซึ่งเพิ่งถอดเสื้อแจ็คเก็ตและเชิ้ตที่สวมอยู่พ้นไปจากตัวค่อย ๆ โน้มตัวลงมาหา


    สัมผัสของเขาทำให้ฉันสะดุ้งเฮือก


    “เบาๆ หน่อย...”


    รู้สึกว่าเสียงของตัวเองสั่นพร่าและแผ่วเบาจนไม่แน่ใจว่าเขาจะได้ยินหรือไม่


    ในความเงียบที่อยู่รอบตัวเราและในเงามืดที่พรางเราสองคนไว้ไม่ให้ใครมองเห็น เสียงของฉันดูเหมือนจะดังพอที่เขาจะได้ยินและตอบรับอยู่ในลำคอ


    แม้จะรับรู้แต่เขาก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น... ฉันรับรู้ได้ถึงน้ำหนักจากที่กดลงมาแรงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกเสียวแปลบก็แล่นไล่ขึ้นมาตามขา ตามด้วยความรู้สึกเจ็บที่ฉันไม่อาจหาคำใดมาอธิบายได้และความรู้สึกเสียดแน่นที่ท้องซึ่งทำให้พูดอะไรแทบไม่ออก  


    “เจ็บ...”


    “ทนอีกหน่อย...”เขากระซิบ “เดี๋ยวก็จะดีขึ้น”


    ฉันพยักหน้ารับเชื่อว่าเขาพูดความจริง เพราะสิ่งที่เคยรับรู้และได้ยินมาตามประสบการณ์ของใครหลายคนเป็นอย่างนั้น


    ฉันขบริมฝีปากไม่ให้เผลอร้องออกมาจิกปลายนิ้วกับเบาะแน่น น้ำตาเริ่มปริ่มขอบตา... พยายามทน แต่ก็ทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ


    “หยุดก่อน...พอแล้ว...”


    คำอุทธรณ์ของฉันทำให้เขาต้องหยุดมือยืดตัวขึ้น ระบายลมหายใจยาวก่อนดึงชายเสื้อยืดที่สวมอยู่ขึ้นเช็ดเหงื่อที่หยดลงมาตามใบหน้าออก


    “หยุดแล้ว ตะคริวแกจะหายไหมล่ะ พอเจ็บก็เข็ดแล้วเลิก พอไปทำอีก เจ็บอีกก็เลิกอีก ไม่ถูกนะ ของแบบนี้ ต้องซ้ำหลาย ๆ รอบ เดี๋ยวก็หาย แกไม่เคยวิ่งยาว ๆ มาวิ่งเลยแบบนี้ตะคริวก็กินสิ”


    “ฉันไม่ใช่พวกบ้าพลังแบบแกนี่” ฉันทำหน้าบูด “ฉันมีเวลาวิ่งออกกำลังทุกวันเหมือนแกเมื่อไหร่ แค่ติดแหง็กอยู่บนถนนในกรุงเทพฯ ก็หมดพลังชีวิตแล้ว”


    “ก็ใครมันจะนึกว่าแกไม่ได้ออกกำลังมานาน เห็นแกบอกจะวิ่งเป็นเพื่อน เลยใส่ซะเต็มเหนี่ยวน่ะสิ” เขาว่า ส่งสายตาสั่งให้ฉันอยู่เฉย ๆ ก้มลงกดขาข้างที่เป็นตะคริวของฉันให้วางราบลงอีกครั้ง ใช้มือดันปลายเท้าของฉันให้เบนไปทางเข่าเท่าที่จะมากได้ 


    “ดีขึ้นหรือยัง... เจ็บก็บอกมาเลย ไม่ต้องกลั้นไว้หรอก แกทำเสียงแบบตะกี้ เดี๋ยวยามผ่านมาได้ยินเข้าเกิดเข้าใจผิด ฉันจะเสียหาย”


    “ไม่ต้องห่วงฉันจะรับผิดชอบแกเอง” ฉันบอก ตั้งท่าจะยิ้มยวน แต่กลับต้องขมวดคิ้วเพราะรับรู้ถึงแรงมือของเขาที่ผลักปลายเท้าข้างที่เป็นตะคริวเข้ามาอีกรอบ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่า กล้ามเนื้อขาที่เกร็งค่อยผ่อนคลายลงไปมาก


    “แกเป็นผู้ชายแท้ ๆ พูดเป็นนางเอกนิยายน้ำเน่าไปได้ ฉันต่างหากล่ะ ที่จะเสียหาย อยู่ดี ๆ ก็มีผู้ชายมาอุ้มเข้าไปในรถ”


    “ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ” เขาบ่นอุบ “ถ้าแกบอกแต่แรกว่า จะคลานขึ้นรถเป็นผีซาดาโกะแต่แรก ฉันจะไม่ห้ามแกเลย ตอนนี้ ฉันยังปวดหลังไม่หายเลย”


    ใจหนึ่งก็อยากย้อน แต่อีกใจบอกให้ฉันสงบปากสงบคำเอาไว้... มีบางอย่างในประโยคแรกที่พูดคล้ายไม่จริงจังนักบอกว่า เขาเริ่มคิดถึงเรื่องเดิมที่ทำให้เขาแทบไม่เหลือกำลังใจในการทำงานต่อขึ้นมาอีก


    ปัญหาของเขาทำให้ปัญหาของฉันกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยชนิดที่เทียบกันไม่ได้...


    “โทษทีนะที่ทำให้แกเดือดร้อน”


    “แกไม่ได้ทำให้ฉันเดือดร้อนเลย... ฉันเองก็ผิดที่ทำให้แกตกใจจนวิ่งตาม” เขาบอก ก้มลงนวดขาข้างที่เป็นตะคริวของฉันต่อ “ฉันแค่อยากระบายเรื่องที่ไม่รู้จะตะโกนออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง ก็เลยต้องระบายด้วยวิธีนั้นนั่นแหละ”


    “ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่ฉันหมายความว่า แกช่วยฉันแก้ปัญหา แต่ฉันไม่เห็นจะช่วยแกได้เลย”


    เขาเงยหน้าขึ้นมองฉันแล้วยิ้มให้ “ทำไมแกจะไม่ช่วย...”


    ก่อนหน้านี้ตลอดเวลาที่เราสองคนนั่งมาด้วยกันในรถ เขาไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว แต่แววตาที่ฉันเห็นสะท้อนจากกระจกมองหลังนั้นบ่งบอกว่ามีเรื่องราวที่เขากดเก็บไว้ในใจมากมาย จนไม่รู้ว่าควรเริ่มจากเรื่องใดก่อน


    จนกระทั่งมาถึงจุดหมายเขาแอบจอดรถไว้ในมุมหนึ่งของเงาไม้ข้างสนามรักบี้หน้ามหาวิทยาลัย แล้วออกวิ่งไปตามทางวิ่งรอบสนาม สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ฉันไม่มีเวลาคิดเป็นอย่างอื่น นอกจากวิ่ง ตามเขาไป ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว คือ ฉันกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา จนไม่อยากปล่อยให้เขาคลาดสายตาไปเท่านั้นเอง

    ผลที่ตามมาจากการกระทำที่เกิดจากความลืมตัวก็คือคนที่ไม่ชินกับการออกกำลังกายอย่างฉัน หน้ามืด เสียดท้อง และเป็นตะคริว จนเขาต้องหันกลับมาประคองฉันกลับไปที่รถ อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้


    ตั้งแต่พบหน้ากันเขาเป็นฝ่ายช่วยเหลือและดูแลฉันมาตลอด ทั้งที่ตัวเองทุกข์ยิ่งกว่าเสียอีก


    “แกละเมอหรือไงฉันไม่ได้ทำอะไรให้แกเลย ไม่รู้ปัญหาของแกเลย แกจะบอกว่าฉันช่วยแกได้ยังไง”


    “แค่แกบอกว่าแกเชื่อฉัน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แกจะไม่ทิ้งฉัน นั่นก็ช่วยได้มากแล้ว” เขาสบตาฉัน เน้นคำแต่ละคำเหมือนอยากให้ฉันได้ยินและจดจำทุกคำที่เขาพูดเอาไว้


    “แกรู้หรือเปล่า การที่ได้รู้ว่ามีใครคนหนึ่งอยู่ข้างเราในช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่า ไม่เหลือใคร มันทำให้คำว่า ‘วันพรุ่งนี้’ มีความหมายมากกว่าแค่เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงที่อยากให้มันผ่านพ้นไปไว ๆ หรือไม่ก็ไม่ต้องตื่นขึ้นมาเจอกับมันอีกเลย”


    ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้ฉันใจหาย ยันตัวลุกขึ้นนั่ง “แกรู้ตัวไหมว่าแกพูดอะไรออกมา”


    “รู้... ดูทำหน้าเข้า ฉันไม่ได้อยากตายหรอก แก” เขาหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก “แค่รู้สึกไม่อยากตื่นขึ้นไปเจอปัญหาที่ตัวเองก็คาดไม่ได้ว่ามันคืออะไร อยากนอนโง่ ๆ อยู่กับบ้าน หนีความจริงแค่นั้นเอง”


    “ฉันไม่เคยคิดเลยว่า คนแบบแกจะกลัวคำว่าวันพรุ่งนี้”


    “วันแรกที่สวมเครื่องแบบแล้วออกไปทำงาน ฉันเคยกลัวว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้ แต่พอทำงาน แล้วต้องเจอกับอะไรหลายอย่าง ฉันอดกลัวสิ่งที่จะมาพร้อมกับวันพรุ่งนี้ไม่ได้...”


    “แต่เราก็ไม่มีวันที่จะหนีวันพรุ่งนี้ไปได้...”


    เขานิ่งเงียบ หลุบตาลงมองสองมือที่ยังนวดขาให้ฉันอยู่ด้วยจังหวะสม่ำเสมอ “ใช่...ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเผชิญหน้ากับมัน”


    “ไม่มีใครช่วยแกได้เลยจริง ๆ เหรอ” ฉันถามออกไปทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก รู้เพียงแต่เรื่องที่เขามีปัญหากับเพื่อนร่วมงานและลูกน้อง


    เขาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ตอนนี้ ฉันไม่หวังอะไรแล้ว แก นอกจากถ้าไม่เหลือคนที่คิดจะช่วย ก็ขออย่ามีใครมาเหยียบซ้ำอีกก็พอ”


    “แกเล่าให้ฉันฟังได้ไหมเผื่อฉันจะช่วยแกแก้ปัญหาได้บ้าง”


    “ขอบใจ” เขาฝืนยิ้ม “แกช่วยไม่ได้หรอก... ปัญหานี้ไม่มีใครช่วยได้สักคน”  


    “มันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ"


    “ยิ่งกว่าเลวร้าย... มันเป็นหายนะชัด ๆ” เขาแค่นหัวเราะ “ฉันถูกตั้งกรรมการสอบวินัยเพราะมีคนไปร้องเรียนว่า ฉันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ยอมรับเรื่องที่ผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์”


    เขาหยุดมือของตัวเองไว้ ก่อนจะเผลอลงน้ำหนักกับขาของฉันกำหมัดแน่นด้วยความขุ่นเคือง 


    “ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวนะ แกมันเล่นงานฉันด้วยวิธีนี้มาหลายหนแล้ว ทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ค้างอยู่ในคณะกรรมการจะไปไหนก็ไปไม่ได้ ไม่ได้รับการพิจารณาให้เลื่อนยศ ทำอะไรก็ผิดในสายตาคนอื่นไปหมด ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำนายไม่ฟังฉัน มันก็จบเห่... ไอ้เรื่องเฮงซวยแบบนี้มันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” 


    ความอัดอั้นตันใจที่เขาระบายออกมาทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาบรรเทาความคับแค้นของเพื่อนให้เบาบางลงได้... แต่อะไรก็ไม่น่าเจ็บใจเท่ากับรู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนมีปัญหา แต่ฉันกลับไม่มีทางช่วยเหลืออะไรเขาได้เลย


    ไม่จำเป็นต้องถามว่า จะมีใครช่วยอธิบายแทนเขาได้ไหม ในเมื่อก่อนหน้านั้น เขาเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าคนที่เคยคิดว่าเป็นเพื่อนร่วมงานก็หักหลัง ทำร้ายด้วยการแทงข้างหลัง และยังทำให้เขาไม่เหลือใครที่พึ่งพาได้ แม้กระทั่งลูกน้องที่ควรจะรู้นิสัยและการทำงานของคนเป็นนายดีที่สุด


    แต่อะไรก็คงไม่ร้ายกาจเท่าการที่ผู้บังคับบัญชาเลือกเชื่อคำพูดของคนที่ยอมก้มหัวให้ทุกเรื่องแทนที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงและความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


    “ฉันถามได้ไหมว่า ทำไมแกไม่รับแจ้งความ”


    “แกจะรับแจ้งความในข้อหาที่เป็นการปรักปรำคนอื่นให้ต้องรับผิดเกินความเป็นจริงได้ลงคอเหรอ” เขาย้อนถาม “อะไรที่ทำได้ฉันก็บอกว่าได้ อะไรที่ทำไม่ได้ ฉันก็บอกตรง ๆ ว่าทำไม่ได้... ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า คนที่มาแจ้งความมันต้องการอะไร”  


    “ถ้าฉันบอกให้แกยอมถอยสักก้าวยอมทำตามที่มันขอ แล้วค่อยหาทางแก้ทีหลัง มันจะแจ้งความก็ปล่อยให้มันแจ้งไป เดี๋ยวอัยการก็ยกคำร้องถ้าไปถึงศาล ศาลก็ยกฟ้องเองล่ะ”


    คำถามนั้น ทำให้เขาจ้องหน้าฉันนิ่ง แต่แล้วริมฝีปากที่เม้มแน่นก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม “ถ้าฉันไม่รู้จักนิสัยแกฉันคงเลิกคบกับแกเพราะคำแนะนำนี้...”


    “ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” ฉันยิ้มให้เขาอย่างรู้กัน “แล้วถ้าฉันถามว่า ทำไมแกถึงเลือกทางที่จะพาตัวเองไปตายแทนที่จะถีบให้คนอื่นไปตายแทนแก หรือปัดปัญหาไปให้พ้น ๆ ตัวไปก่อนล่ะ แกจะตอบว่ายังไง”


    “คนที่ฆ่าคนที่ไม่มีความผิดได้ก็เหมือนเป็นคนไม่มีหัวใจ คนไม่มีหัวใจก็ไม่ได้ต่างจากคนที่ตายไปแล้วนั่นละ ถ้าจะเลือกตายก็ขอตายแบบคนมีเลือดมีเนื้อดีกว่า พูดแล้วก็ฟังดูพระเอกชิบหายเลย แต่ฉันก็คิดแบบนั้นจริง ๆ” เขาว่า “ถ้าให้ฉันต้องเลือกระหว่างทำตามเสียงของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจ แล้วได้รับผลร้ายตอบแทนทำยังไงก็ไม่มีวันเจริญเหมือนคนอื่นเขา กับยอมขายวิญญาณเพื่อผลประโยชน์กับความก้าวหน้าในชีวิตที่มั่นใจว่าต้องได้แน่นอน... แกคงรู้ว่าคำตอบของฉันคืออะไร”


    “แล้วก็คงเป็นคำตอบที่ทำให้ฉันยังไม่เลิกคบแกด้วย” ฉันบอก


    ไม่มีคำตอบจากคนที่ยืนอยู่นอกรถ ทว่าประกายตาที่กำลังยิ้มอยู่ แม้ปากจะไม่ขยับ ก็ทำให้ฉันโล่งใจว่าบางสิ่งที่กดดันเขาอยู่ได้ถูกผ่อนออกไปบ้างแล้ว


    “แกยังเจ็บขาอยู่หรือเปล่า” มือของเขาแตะลงที่ปลายเท้าของฉันเบา ๆ


    “ไม่แล้วละ” ฉันบอก เลื่อนตัวออกมาจากรถ ใส่ถุงเท้ากับรองเท้ากลับไปเหมือนเดิม แล้วลุกขึ้นยืนตรงหน้าเขา เอื้อมมือออกไปข้างหน้าเหมือนจะสัมผัสเหนืออกข้างซ้ายของเขา แต่หยุดมือรักษาระยะห่างจากเขาเอาไว้ 


    “แล้วแกล่ะ ยังเจ็บอยู่ไหม”


    “ตอบตามความจริง คือ มาก... เจ็บมานาน แล้วก็ไม่คิดว่าจะหายง่าย ๆ” เขาก้มลงมองมือข้างนั้นของฉันยกมือของเขาขึ้นมาจับมือข้างนั้น แล้วกุมไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง “แต่แกทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น...”


    ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา ค่อย ๆ ดึงมือออกไปจากมือของเขา “เพราะฉะนั้น ถ้าแกมีอะไรไม่สบายใจ ก็อย่าลืมว่าแกมีฉันคอยรับฟังปัญหาของแก... คืนนี้ แกมีอะไรอยู่ในใจก็พูดออกมาให้หมดเถอะมากแค่ไหน ฉันก็จะฟัง แต่...”


    “หือ...” เขาเลิกคิ้ว


    “แต่ก่อนจะฟังแกเล่าเรื่องทั้งหมด... แกหาที่ให้ฉันเข้าห้องน้ำก่อนได้มั้ย…”


    เขาหัวเราะก๊ากออกมาอย่างไม่เกรงใจ ส่วนฉันได้ยิ้มแหย ๆ ก่อนเปิดประตูรถแล้วผลักเขาเข้าไปนั่งประจำที่นั่งคนขับ แล้วรีบพาตัวเองขึ้นรถ


    “เลิกหัวเราะได้แล้ว ออกไปเดี๋ยวนี้เลย” ขณะสตาร์ทรถ เขายังคงหัวเราะไม่หยุดจนฉันนึกหมั่นไส้ “พอได้แล้ว ฉันอายจะแย่แล้วนะ แก”


    ฉันโวยใส่เขา แต่เมื่อหันไปหาแล้วเห็นเขายกมือขึ้นปาดน้ำตา ฉันก็เริ่มไม่แน่ใจนักว่ามันมาจากการหัวเราะหรือร้องไห้กันแน่  


    ฉันเรียกชื่อเขาเบา ๆ วางมือลงบนมือของเขาที่วางอยู่บนพวงมาลัยรถ


    “ฉันไม่เป็นไร... แค่ขำมากไปหน่อย” เขาตอบกลับมาด้วยเสียงที่ไม่ดังไปกว่ากัน แต่ยังไม่ยอมหันมามองหน้าฉัน


    ท่าทีนั้นทำให้ฉันไม่อยากเชื่อคำพูดของเขา แต่ในความไม่เชื่อ ฉันเชื่อว่าเขามีเหตุผลของเขา และในบางครั้ง คนเราก็ย่อมจะมีความลับและสิ่งที่ไม่พร้อมจะบอกให้ใครรู้เป็นธรรมดา นั่นทำให้ฉันบอกตัวเองให้เชื่อในสิ่งที่เขาเอ่ย


    “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว...”


    ============================

     


    (2)


    “ขอบคุณนะคะ ที่ให้ใช้ห้องน้ำ” ฉันบอกกับเจ้าของห้องน้ำในห้องแถวเล็กๆ ที่ฉันขออาศัยใช้ และบอกกับตัวเองในใจว่า จะไม่ดื่มเบียร์เข้าไปเยอะขนาดนี้อีกเด็ดขาด ฉันนึกเกรงใจแกอยู่ไม่น้อย และนึกแปลกใจไปพร้อมกันที่เพื่อนรู้ว่า มีสถานที่ที่สามารถเข้ามาขอใช้ห้องน้ำได้เปิดอยู่จนถึงบัดนี้


    “ไม่เป็นไร” 


    คำตอบของเจ้าของบ้านห้วน สั้น แต่ไม่ปรากฏอารมณ์ไม่พอใจที่มีคนมารบกวนตอนค่อนรุ่งอยู่ในนั้น แต่ความประหยัดถ้อยคำและสำเนียงภาษาไทยที่ไม่ชัดนัก ก็ทำให้ฉันเลิกคิดที่ถามหาเพื่อนของฉันที่แวบหายไปกับชายวัยกลางคนหน้าตาบ่งบอกว่ามีเชื้อสายจีนที่ง่วนอยู่กับการหยิบถุงใส่ขนมปังกะโหลก ถุงแล้วถุงเล่าใส่ตะกร้าจนเต็ม แล้วส่งให้หญิงสูงวัยร่างผอมบางคู่ชีวิตของแกที่พูดน้อยเสียยิ่งกว่า


    ฝ่ายภรรยาเดินออกไปที่โต๊ะด้านนอกแล้วลงมือเฉือนขนมปังจากก้อนลงเป็นแผ่น แล้วทอนลงเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเตรียมบรรจุถุงส่วนฝ่ายสามีหันไปเปิดถุงกระสอบอีกใบหนึ่งในครัว แล้วเทสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมา


    เมล็ดกาแฟที่ยังไม่ได้ผ่านการคั่ว หล่นกระทบกะละมังสเตนเลสกราวใหญ่ จากนั้นก็ถูกถ่ายเทออกจากภาชนะหนึ่งไปสู่ถังทรงกลมที่มีช่องเปิดสำหรับใส่เมล็ดกาแฟที่ตั้งรออยู่เหนือเตาถ่าน แล้วจะถูกเขย่าไปมาภายในนั้นด้วยแรงคนที่จับด้ามของถังคั่วกาแฟจนกระทั่งเมล็ดกาแฟจะได้ที่ ซึ่งกว่าจะได้เมล็ดกาแฟที่พร้อมสำหรับการนำมาชงนั้น กินเวลานานนับชั่วโมงและต้องอาศัยความอดทนเป็นอย่างยิ่ง


    “กาแฟที่แกขายให้บริษัทเหมือนของอาโกเขาไหม”


    เสียงของคนที่เข้ามาอยู่ข้างหลังโดนที่ฉันไม่รู้ตัว ทำให้ฉันสะดุ้ง ในขณะที่เขาก้าวมาหาแล้วยื่นถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งให้ 


    “เราแบ่งกันคนละตัวอย่าแย่งฉันกินหมดล่ะ” 


    ฉันเปิดถุงอย่างงง ๆ และพบว่ามีซาลาเปาไส้ครีมรูปกระต่ายอยู่ในนั้นส่วนเขาเดินเลยเข้าไปยื่นซาลาเปาอีกถุงหนึ่งให้ชายเจ้าของบ้าน


    “ผมซื้อมาฝาก เอาให้น้าเขาด้วยนะ” 


    คนที่ง่วนกับการคั่วกาแฟหน้าเตาถ่ายเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้จนตาหยี “ได้ ขอบใจนะ จ่า”

    คำเรียกแบบลดยศทีละหลายขั้นนั้นทำให้ฉันอดขำไม่ได้ ส่วนคนถูกเรียกก็ได้แต่ส่ายหน้าบ่นพึมพำด้วยสำเนียงทีเล่นทีจริง ไม่ถือสาอะไร “มาทีไรโดนเรียกจ่าอยู่เรื่อย มิน่าล่ะถึงไม่ได้ขึ้นเป็นผู้กองกับเขาสักที”

    ภาพของความสัมพันธ์ ระหว่างเขากับอีกฝ่ายดูเหมือนจะชัดเจนขึ้นว่า น่าจะเป็นคนที่เคยช่วยเหลือผูกพันกันมามากกว่าจะเป็นญาติร่วมสายเลือด เพราะรูปร่างหน้าตาของคนทั้งสองไม่มีส่วนไหนเลยที่บ่งบอกว่าเป็นญาติกับคนที่พาฉันมาที่นี่ และขอเข้ามาใช้สถานที่แห่งนี้อย่างคนคุ้นเคยเลยสักนิด


    “เหมือนหรือเปล่า” 


    “อะไรเหมือน”

    “เหม่อหรือคิดอะไรอยู่ละสิ ถึงไม่ได้ยินคำถาม” เขาหยิบเอาซาลาเปากระต่ายในถุงไปจากฉันตัวหนึ่ง ภาพผู้ชายหน้าดุ ผิวเข้มที่ถือซาลาเปารูปกระต่ายสีขาวตัวอวบกลมดูไม่เข้ากันเลย “ฉันถามแกว่า กาแฟของอาโกเหมือนกาแฟที่แกเป็นนายหน้าขายอยู่มั้ย”


    “ไม่เหมือนหรอก คนละพันธุ์กัน” ฉันบอก ทบทวนความจำจากสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ที่ผ่านมา สีของเมล็ดกาแฟที่เห็นออกสีน้ำตาลมากกว่าสีเขียว กลิ่นกาแฟคั่วที่สัมผัสกับประสาทไม่หอมมากนัก “เมล็ดกาแฟที่ใช้ทำกาแฟสดแล้วส่งร้านกาแฟที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ เป็นพันธุ์อาราบิก้า ส่วนที่อาโกคั่วอยู่เป็นพันธุ์โรบัสต้า”


    “สองพันธุ์นี้ต่างกันยังไง” เขาถามต่อถือวิสาสะลากเอาม้านั่งพลาสติกในบ้านมาให้ฉันตัวหนึ่ง ส่วนเขาหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัว


    “อาราบิก้าคาเฟอีนน้อยกว่า หอมกว่า ขมแป๊บเดียว ก็จะรู้สึกได้ถึงรสเปรี้ยวอ่อน ๆ แล้วจบด้วยรสหวานติดลิ้น ใช้ทำพวกกาแฟสดอย่างที่เรากินกันเป็นล่ำเป็นสันอยู่ทุกวันนี้ ส่วนโรบัสต้า มีคาเฟอีนมากกว่าอาราบิก้าสองเท่า ไม่ค่อยหอม รสชาติเข้มกว่า ขมกว่า เปรี้ยวกว่า ส่วนใหญ่เอาไว้ทำกาแฟสำเร็จรูปหรือกาแฟโบราณ เพราะมันถูกกว่าอาราบิก้าเกือบสองเท่า” ฉันตอบ “แกจะลองภูมิฉันว่ารู้เรื่องกาแฟจริงไหมหรือไง”


    “เปล๊า” เขาทำเสียงสูง มองของกินในมือเหมือนขออโหสิ แล้วจัดการสำเร็จโทษซาลาเปากระต่ายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนปัดเศษขนมออกจากมือ แล้วล้วงลงไปในกระเป๋าแจ็คเก็ต


    “อย่าสูบนะ”


    “จะบ้าเหรอ แกเห็นฉันเป็นอะไร อยู่ในบ้านคนอื่นฉันไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า” เขาทำหน้าคล้ายจะเคือง ๆ อยู่บ้าง ก่อนส่งของที่หยิบออกมาจากกระเป๋าแจ็คเก็ตให้ฉันรับไว้ “เอ้า นี่... เคาน์เตอร์เพน ทาขาแกซะ”


    “ขอโทษที แก... ฉันไม่ได้ตั้งใจ” 


    ฉันรู้ตัวว่าทำพลาดไปที่เพียงแค่เห็นเขาสูบบุหรี่หนเดียวก็มองเขาในแง่ร้ายและเข้าใจได้ทันทีว่า ความรู้สึกของเขาที่ถูกผู้บังคัญชามองว่าผิดไปหมดทุกครั้งเป็นอย่างไร


    เขาโบกมือไปมาแทนคำตอบว่า ไม่ได้โกรธอะไร

    “ที่ถามตะกี้ ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมคนกินอาราบิก้ากันมากกว่าโรบัสต้า” เขาถามโดยไม่ละสายตาไปจากชายเจ้าของบ้านที่ยังคั่วเมล็ดกาแฟอยู่ไม่หยุดมือ นาน ๆ สักหนจึงจะเอาเหล็กตะขอเกี่ยวฝาถัง เปิดดูว่า ของที่อยู่ภายในได้ที่แล้วหรือยัง


    “อาราบิก้าขมน้อยกว่า ดื่มง่ายกว่า หอมกว่าเหมาะสำหรับการชงเป็นกาแฟร้อน ถ้าจะกินเป็นกาแฟเย็นจริง ๆ ต้องชงเป็นดับเบิลช็อต คือ ชงเป็นสองเท่าของกาแฟร้อน เพื่อให้ได้ความเข้มข้นมากพอที่จะเติมส่วนผสมอย่างอื่นลงไปอีก” ฉันอธิบาย พร้อมหยิบซาลาเปาที่เขาซื้อมาฝากออกมาจากถุง 


    “ส่วนโรบัสต้าขมกว่า เข้มกว่า บางคนไม่เคยกิน มากินโรบัสต้าก็ถือว่าเจอของแรง กินแล้วมึนหัว ยอมแพ้ไปเลยแต่ถ้าพูดกันตามส่วนประกอบของเคมีในกาแฟ โรบัสต้าเหมาะกับการชงเป็นกาแฟเย็นมากกว่าแต่คนชงบางคนใส่น้ำเพิ่มปริมาณไม่ให้น้อยไป กาแฟเลยออกจืด ๆ ไม่เข้มเหมือนกาแฟสด”


    “ถ้าอย่างงั้น ฉันก็กินผิดมาตลอดสิเนี่ย” เขาว่า


    คำปรารภของเขาทำให้ฉันชะงักมือที่แกะกระดาษออกจากก้นซาลาเปา “แกหมายความว่าไง”

    “กาแฟดำไหม จ่า”

    เสียงร้องถามจากมุมบ้านเป็นคำตอบให้แทน สายตาแกส่งมาถึงฉันด้วย แต่ไม่กล้าเอ่ยปากถาม เพราะความไม่คุ้นเคยกัน


    “โกโก้ร้อนก็แล้วกันค่ะ” ฉันไม่ปฏิเสธเช่นกัน และหันไปบอกคนที่ลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วเรียกให้ภรรยามาคอยดูถังคั่วกาแฟแทน “ไม่ต้องหวานมากนะคะ โก”

    แกไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มรับจนตาหยี แล้วเดินกะโผลกกะเผลกไปยังเตาที่ต้มน้ำและเตรียมอุปกรณ์สำหรับขายกาแฟเอาไว้ด้วยท่าทีกระตือรือร้นที่จะให้บริการเต็มที่

    เมื่อแกหันหลังให้ ฉันก็เกือบอุทานออกมา และหันไปมองคนข้าง ๆด้วยความตกใจ ฉันเพิ่งเห็นว่าผิวเนื้อบนขาข้างที่ขยับไม่ถนัดของชายขายกาแฟคนนั้นยุบหายไปก้อนใหญ่ ทิ้งไว้แต่รอยแผลเป็นที่มองแล้วต้องเบือนหน้าหนีด้วยความหวาดเสียว


    “ลูกชายแกไปกู้เงินนอกระบบมาแล้วไม่จ่าย พวกเจ้าหนี้ตามมาทวงหนี้จากแกแทน แกสู้ยิบตา ไอ้พวกชั่วนั่นคว้าจอบมาฟันขาแกจนเนื้อหลุดทั้งปั้นอย่างที่เห็นนั่นแหละ... เมื่อก่อนแกไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก แต่เจอเรื่องร้ายเข้า บางที สติสตังแกก็ไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไหร่ พอย้ายมาอยู่กับญาติที่นี่ก็ค่อยยังชั่วขึ้นเยอะ ไม่ผวาเหมือนตอนที่เกิดเรื่องใหม่ ๆ”


    เขาเล่าความเป็นมาของบาดแผลนั้นให้ฟังราวกับว่ารู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาด้วยตาตัวเอง


    “แสดงว่าที่แกพาฉันมาที่นี่ก็เพราะแกรู้จักอาโกดีอยู่แล้วสินะ”


    “เป็นลูกค้าขาประจำแล้วก็เป็นเจ้าของสำนวนคดีทำร้ายร่างกายของบ้านนี้น่ะ” เขาว่ายิ้ม ๆ “คดีจบแล้ว เผอิญรู้ว่าแกย้ายหนีจากแถวบ้านพักฉันมาอยู่นี่ เลยแวะมาเที่ยวหาบ้าง”


    “เผื่อได้กินกาแฟฟรี...” ฉันแหย่ 


    “เคยกินฟรีที่ไหน มาทีไรก็จ่ายเขาทุกทีแหละน่า จะไถใครก็ต้องเลือกดูคนหน่อย”

    ฉันทำเสียงหือในลำคอเหมือนสะดุดหูกับประโยคสุดท้าย แกล้งค้อนเหมือนไม่พอใจกับพฤติกรรมที่ว่า ในขณะที่เขายักไหล่แทนคำพูดว่า ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราก็ยิ้มขันกันเอง


    “ตอนไปเยี่ยมโกที่โรงพยาบาล... จริง ๆ ก็จะไปถามปากคำแกนั่นแหละ ฉันไม่รู้จะซื้ออะไรไปเยี่ยมแกดีเห็นในเซเว่นมีแต่ซาลาเปากระต่าย เลยซื้อไอ้นี่ไปฝากแบบสิ้นคิด ไม่นึกว่าแกจะชอบ”


    เขาเล่าต่ออย่างอารมณ์ดี สีหน้าของเขาทำให้ฉันจินตนาการออกว่า ยามที่ผู้เสียหายยินดีรับและตอบสนองน้ำใจของเขาด้วยดีเขามีความสุขแค่ไหน 


    “โกชงกาแฟอร่อยมากเหรอ แกถึงได้ตามมากินถึงนี่” 


    “ไม่เลย ขมจะตายชัก จิบเข้าไปคำแรกก็แทบจะบ้วนทิ้งด้วยซ้ำ...”


    ฉันเบิกตาโต ส่วนเขาพยักหน้าหนักแน่นว่าสิ่งที่กล่าวเป็นความจริง


    “แล้วแกกินเข้าไปได้ยังไง” 


    เขาหัวเราะ “ฉันก็เคยถามโกอย่างที่แกถามฉันนี่แหละ...รู้ไหม โกว่ายังไง” 


    ฉันส่ายหน้า 


    “โกถามฉันกลับว่า กาแฟดำมันมีรสอะไร” เขาเฉลย“ พอฉันตอบโกว่าขม แกก็บอกฉันกลับมาว่า ลื้อรู้อยู่แล้วว่ากาแฟดำมันขม ถ้ารู้ว่าขมแล้วลื้อรู้ว่าตัวเองกินไม่ได้ลื้อจะสั่งทำไม ถ้าลื้อสั่งแล้ว ลื้อก็ต้องกิน แล้วก็ต้องหาทางทำให้มันดีพอที่ลื้อจะกินได้เอาเอง”


    เล่าจบ เขาก็หันมายิ้มให้ฉัน “กาแฟดำของโกไม่อร่อยเลย แต่มันทำให้ตาสว่าง…”


    “เรื่องบางอย่าง ถ้าหันหลังไม่ได้ ก็ต้องหาทางทำให้มันดีขึ้นให้ได้ แล้วถ้าทำให้ดีขึ้นไม่ได้ ก็อาจจำเป็นต้องกระเดือกลงไปทั้ง ๆ อย่างงั้น ถึงมันจะขมจนแทบรับไม่ได้ แต่กินเข้าไปแล้ว มันก็ไม่ทำให้ตายง่าย ๆ หรอก”


    ระหว่างที่พูดแววตาคู่นั้นของเขาที่ส่งมายังฉันมีประกายบางอย่างที่ฉันไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน


    “ฉันยอมรับกับแกก็ได้ว่า ฉันเหนื่อยกับการทำตัวเข้มแข็ง ไม่กล้าแสดงความอ่อนแอของตัวเองให้ใครเห็น เพราะกลัวว่าจะถูกทำร้ายมากไปกว่านี้ เหมือนต้องทนดื่มกาแฟขม ๆ แล้วยังต้องแกล้งทำหน้าเฉยว่า ดื่มได้ ไม่เป็นไร...” เขาบอก “แกเป็นคนแรกที่ฉันกล้าที่จะบอกว่าฉันเหนื่อย ฉันทนไม่ไหวได้อย่างไม่ต้องระแวงอะไร ถึงการบอกแกว่า กาแฟที่กินมันไม่อร่อย ไม่ทำให้กาแฟหวานขึ้นมาได้ แต่อย่างน้อย ฉันก็ยังดีใจว่ามีคนเข้าใจว่า สิ่งที่ฉันทนอยู่กับมันมาจนทุกวันนี้มีรสชาติยังไง...”


    “แล้วถ้าฉันทำให้กาแฟดำขม ๆ ของแกหวานขึ้นได้... แกจะว่ายังไง”



    To be continued.... (ตอนหน้า ตอนจบแล้วค่ะ)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in