เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
When Eros falls in loveVanilla * twilight
First act

  • Eros

     

     

    อีรอสเกลียดเวลาที่คนอื่นจ้องมองเขา

                เขารู้และรู้ดีว่าตนเองดูพิลึกไม่หยอกที่ใส่เสื้อแขนยาวสีดำสนิท มิหนำซ้ำยังตลบฮู้ดขึ้นมาคลุมเรือนผมสีบลอนด์จาง ในวันที่ทุกคนใช้เวลาท่ามกลางแสงแดดอ่อนละมุนของวันกลางฤดูร้อนที่คนปกติทั่วไปโหยหาในเมืองที่บรรยากาศสุดแสนจะอึมครึม และให้ความรู้สึกหนาวเยือกตลอดเวลา -- ถ้าเขาใส่หน้ากากหรือปิดหน้าปิดตาอีกสักนิด ใครสักคนคงมือลั่นกดโทรศัพท์แจ้งตำรวจ แล้วบอกว่ามีคนน่าสงสัยกำลังพยายามปล้นเครื่องจากร้านกาแฟใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน

                พนักงานสาวที่กลัดป้ายชื่อ ‘เชอร์ริล’ ไว้บนอกยังคงยิ้มเป็นมิตร แต่อีรอสคิดว่าเจ้าหล่อนคงกำลังพยายามสุดชีวิตในการรักษาภาพลักษณ์ของร้าน พอกับกลิ่นหอมกรุ่นอ่อน ๆ สร้างบรรยากาศน่าสบายที่คงมาจากสเปรย์กลิ่นกาแฟสังเคราะห์ที่กำลังทำหน้าที่ของมัน หลังจากเธอพยายามชวนเขาพูดคุยสัพเพเหระตามหน้าที่ เช่นว่าเมื่อเช้าเขากินอะไรมาหรือยัง แล้วโดนทำหน้าไม่รับแขกใส่

                “คุณลูกค้าชื่ออะไรคะ” สองนาทีกว่าแล้วที่ปากกามาร์กเกอร์คาอยู่ในมือของพนักงานสาวจนหมึกคงระเหยแห้ง นานพอกับเวลาที่รอยยิ้มยังคงค้างไว้เพื่อปกปิดความสงสัยใคร่รู้จนมิด

                “อี…” ชายหนุ่มว่า ริมฝีปากขยับเหมือนจะพูดอะไรอีกพยางค์แต่ก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เขาเอ่ยซ้ำ ย้ำอีกหนด้วยน้ำเสียงขลุกขลักเพราะคิ้วของเชอร์ริลเลิกขึ้นด้วยความสงสัย “แค่อี”

                ให้ไอ้ชื่อตามปกรณัมปรัมปรานั่นหลุดออกมาจากปากเขา คงได้โดนหัวเราะเยาะ เขาไม่ใช่พวกแฟนคลับหนังสือที่นึกสนุก บอกพนักงานร้านกาแฟให้เขียนลงไปว่า ‘แคตนิส เอเวอร์ดีน’ แล้วตะโกนกลับปนหัวเราะว่า ‘ฉันอาสา! ฉันอาสาจะเป็นบรรณาการเอง!’  โพสต์มุกที่ใช้กันเกร่อลงทวิตเตอร์ -- จากนั้นก็นั่งดูยอดรีทวิตที่เด้งขึ้นวินาทีต่อวินาที

     

    ตลกร้ายที่ชื่อเทพแห่งความรักของชาวกรีกโบราณคือชื่อจริงของเขาในคริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบ และเขาไม่ได้อาสาจะอ้าแขนรับชื่อนั้นแม้แต่นิดเดียว  

                “โอเคค่ะ” ท่าทางเธอดูเบิกบานที่ได้ตวัดเขียนตัวอักษรบนแก้วกระดาษเสียที แต่แววโล่งอกเล็กน้อยนั่นแสดงให้เห็นว่าคงเพราะจะได้ไปเสียพ้น ๆ จากลูกค้าคนประหลาดเสียมากกว่า “แล้ว…”

                อีรอสยกมือห้าม ชี้มือเป็นเชิงบอกพนักงานสาวว่าทั้งสี่แก้วนั่นให้เขียนด้วยชื่อเดียวกัน เขาเอื้อมมือไปรับใบเสร็จ จากนั้นขยับตัวไปยืนรอด้วยความเร็วเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะทันพูดขอบคุณตามมารยาทเสียอีก

                ด้วยความรอบคอบถ้วนถี่ อีรอสเลือกช่วงเวลาที่คนจะเข้าร้านกาแฟน้อยที่สุด ดังนั้นเอสเพรสโซสี่แก้วจึงถูกตระเตรียมใส่ถาดรองแก้วด้วยเวลาไม่นาน เสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งที่ห้อยกับประตูร้านฟังแล้วระรื่นหูเมื่อทุกสิ่งได้ดั่งใจอยาก

    การออกมาข้างนอกทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยถึงปานกลาง ราวกับถูกบีบอยู่ในตู้เสื้อผ้าที่ไม่มีวันจะพาเขาหนีพ้นไปยังอาณาจักรนาเนียร์ เขาเงยหน้ามองก้อนเมฆ แสงแดดจ้าทำให้เขาต้องหยีตามองท้องฟ้ากว้างสีฟ้าสด เขาเหม่อไปชั่วขณะ ตาพร่าเพราะจ้องมองมันนานเกินไป

     

    เมื่อเทียบกันระหว่างสิ่งที่กำลังจ้องมองกับตัวเองแล้ว อีรอสรู้สึกเหมือนเป็นเสมือนดอกแดนดิ-ไลออนเล็กจิ๋วในทุ่งหญ้าสีเขียวที่มีพื้นที่ให้มากมาย แต่ไม่เคยรู้สึกถึงอิสระเลย

     

     

    He felt his heart pierced by one of his own arrows.

     

     

    เสียงโทรทัศน์ดังลั่นกลบเสียงพวงกุญแจห้องกระทบถาดไม้ อีรอสได้แต่ทำเสียงเฮอะในลำคอ ย่ำฝีเท้าปึงปังไปทางต้นเสียง ตอนนี้เขาไม่มีเพื่อนบ้านให้กังวลเรื่องทำเสียงดัง เพราะห้องที่เช่าเป็นที่อยู่นั้นเป็นห้องใต้หลังคา และครอบครัวไอว์ฟที่อยู่ข้างล่างไปพักร้อนตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว อีรอสจ้องใบหน้าผู้มาเยือน ก่อนคว้ารีโมตที่วางทิ้งไว้บนโซฟามากดปิด ความเงียบทิ้งตัวปกคลุมห้องเหมือนม่านที่ถูกชักลงมา

     

    “ทำความสะอาดบ้างนะ” เสียงใสกังวานปนเสียงเคี้ยวหยับ ๆ อย่างไม่รักษากิริยาทำให้ริมฝีปากของอีรอสบิดเป็นรอยยิ้มกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ยอมให้แขนทั้งสองข้างนั่นโอบตัวโดยที่เจ้าของอ้อมกอดมีพิซซ่าอยู่ในมือข้างหนึ่ง เขาเอียงศีรษะหลบเพื่อให้มั่นใจว่าเปปเปอร์โรนี่จะไม่หลุดมาแปะอยู่บนหัว “ทีวีนายนี่ฝุ่นเกาะเหนียวหนึบเลย”

     

    “ฉ...ฉันเกลียดเธอ” อีรอสว่า ขัดใจที่คำจากปากช่างฟังตะกุกตะกัก

     

    ฮาร์โมเนียกลืนพิซซ่าคำสุดท้ายลงคอ โยนสมุดกับปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างหน้าโซฟามาให้  ก่อนสองพี่น้องฝาแฝดจะนั่งลงข้างกัน ฝ่ายพี่สาวชะโงกไปมองข้อความบนกระดาษ ก่อนหัวเราะกับข้อเขียนแสนเราะร้าย

     

    ‘ฉันเกลียดมันพอกับที่เธอชอบเปปเปอร์โรนี่ เธอก็รู้ว่าฉันไม่เคยแตะมัน และกำลังรอให้มันผุพังแบบไม่หิ้วไปซ่อมต่อให้อยู่ในระยะประกัน’

     

    ดวงตาสีฟ้าเฉดเดียวกันของคนพี่และคนน้องมองสบกัน ฮาร์โมเนียย่นจมูก “วรรคเด็ดในนิยายเรื่องใหม่ของนายหรือไง แล้วนั่นอะไร กาแฟสี่แก้วงั้นเรอะ มันแย่ต่อสุขภาพของนายมากนะ! ตอนฉันต้องถ่างตาท่องบทยังไม่ต้องกินขนาดนี้เลย”

     

    ปากกาลูกลื่นกดลึกบนเนื้อกระดาษยิ่งกว่าเดิม อีรอสหัวเราะ แต่เป็นเสียงหัวเราะคนละแบบ ต่างจากของฮาร์โมเนียโดยสิ้นเชิง เมื่อมันเจือแววเยาะหยัน ‘เรื่องที่คนติดอ่างโดนเจ้าหญิงจูบแล้วกลายเป็นเจ้าชายสุดเพอร์เฟ็กต์งั้นเหรอ ไม่ใช่หรอกโมน่า มันไม่ใช่สไตล์ฉันเลยเหอะ อีกอย่างกาแฟของฉันก็แย่ต่อสุขภาพพอกับเปเปอร์โรนี่ของเธอนั่นแหละ’

     

    “รู้ไหมรอสต์” พี่สาวของเขาเลื่อนมากุมมือข้างที่ถือปากกา “นายต้องการคนช่วย หาเพื่อนบ้าง” หญิงสาวยักไหล่ เรือนผมสีบลอนด์ไหวน้อย ๆ น้ำเสียงอ่อนหวานจริงจัง “นายจะอยู่คนเดียวแบบนี้ไม่ได้นะ”

     

    เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ตั้งใจสะกิดบาดแผลในอดีต -- ฮาร์โมเนียเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา เธอไม่มีวันทำร้ายเขา เช่นเดียวกับที่เขาไม่มีวันทำร้ายเธอ

     

    “บ้าเอ๊ย!” อีรอสสบถ เวลาพูดคำอันแสนไม่สุภาพเมื่อไร อาการพูดไม่ออกของเขาก็เหมือนจะหายไปดื้อ ๆ  จนน่าหงุดหงิด มือที่กำปากกาเกร็งแน่นเหมือนกำลังกำหมัด ใช่ว่าเขากับฮาร์โมเนียจะไม่เคยลองดูเรื่องหาเพื่อนสักคน และมันจบลงที่โมน่า -- ผู้ได้รับสมญาว่า ‘เจ้าหญิง’ ต่อยไอ้บ้าที่ด่าเขาว่าตัวประหลาด คนในครอบครัวดูจะชังเขายิ่งกว่าเคย และชายหนุ่มก็ยังคงนึกสมเพชตัวเองทั้งในตอนนั้นและขณะนี้ ที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากโกรธตัวเอง

     

    “ฉันรู้ว่าครั้งก่อนมันจบไม่สวย แต่หมอนั่นก็สมควรโดนแล้ว...เฮ้ รอสต์” ความสงบเหมือนน้ำใสไหลเย็นของพี่สาวทำให้อีรอสใจเย็นลงได้เสมอ “นึกถึงเรื่องที่นายทำตอนสมัยเรียนได้ไหม ที่ลองจับคู่ให้พวกเพื่อนฉันน่ะ” ฮาร์โมเนียไม่รอให้เขาตอบว่าจำได้ ดวงตาสีฟ้าวาววับจ้องมาที่เขา อันที่จริงอีรอสจำได้ว่าเขาทำเพราะคำขอร้องของโมน่า และเขาก็ทำโดยที่ไม่ได้สนใจว่ามันจะแม่นหรือมั่ว “แล้วมันก็เป๊ะ! เหมาะเหม็ง! รู้ไหมว่าเจนนี่จะแต่งกับตาคนผมแดงเดือนหน้า ฉันได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วยนะ”

     

    อีรอสยิ้มให้กับน้ำเสียงและท่าทางเหมือนกำลังเล่นละครเวทีของพี่สาวที่เกิดห่างกันไม่กี่นาทีก่อนตวัดปากกาลงบนกระดาษ เป็นรอยยิ้มที่เรียกได้ว่ารอยยิ้มจริง ๆ ของเขา ‘จะบอกว่าฉันมีพลังจิตหรือไง’

     

     “ก็ชื่อนายเหมือนเทพแห่งความรัก” ฮาร์โมเนียว่า ก่อนแตะริมฝีปากที่แก้มน้องชาย “และอีรอสคงช่วยอำนวยอวยพร มอบพรสวรรค์นี้ให้” วาจาของพี่สาวเขาช่างสำบัดสำนวนดีแท้ “ตอนนี้มีเพื่อนฉันคนนึงที่ต้องการความช่วยเหลือจากนาย”

     

    คิ้วทั้งสองข้างของอีรอสขมวดเข้าหากัน ขณะที่ฟังน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว เขากำลังจะจรดปากกา บอกอีกฝ่ายว่า ‘อย่าว่าแต่ไซคีเลย เพื่อนสักคนฉันก็คงหาไม่ได้’ แต่รูปขนาดไม่ใหญ่นักในสูจิบัตรละครเวทีเรื่องหนึ่งที่ฮาร์โมเนียค้นจากกระเป๋ามาวางแล้วชี้ให้ดูคนคนหนึ่งในนั้นกลับทำให้เขาสนใจ

     

    ปากกาตกจากมือกระทบกับโต๊ะเสียงดังแกร็ก จังหวะเดียวกับที่หัวใจของอีรอสเต้นผิดจังหวะไป

     

    เขาตอบตกลงคำขอของโมน่าอย่างง่ายดาย ให้เหตุผลกับตัวเองโดยไม่สนความรู้สึก ว่าเพราะมันเป็นคำขอร้องของคนที่สนิทที่สุดในชีวิต

     



     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in