เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
say amenjiskapot
momma, can i get another amen
  • ชีวิตของคนที่ตายจากไปแล้วฝังอยู่ในความทรงจำของคนที่ยังมีชีวิตอยู่เสมอ

    เคยได้ยินมาแบบนี้ คำพูดของคนสำคัญในประวัติศาสตร์
    23 กันยายน ปีค.ศ. 2020 ผมจุดเทียนไขเล่มหนึ่งในห้องนอน
    ฉลองเทศกาลงานเต้นรำฯ
    และฉลองวันเกิดให้ตัวเอง

    จำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมตื่นเต้นกับวันนี้มาก
    เพราะทุกอย่างถูกประดับประดาสวยงาม สว่างไสว แม้จะเป็นตอนกลางคืนแต่ผู้คนก็ออกมาเที่ยวเล่นสังสรรค์ ทำกิจกรรมกัน
    สมัยนู้นผมไม่ค่อยเข้าใจนักว่ากิจกรรมเกี่ยวกับอะไร แค่เออออไปตามอะไรๆ ที่คนอื่นทำกัน ผมเคยถามกับฟาเธอร์ครั้งหนึ่งว่าจุดเทียนเผากระดาษกันทำไม ผมไม่ได้เข้าโรงเรียนเหมือนคนอื่น ไม่ได้รู้ความมาก
    หากเวทมนต์สามารถย้อนเวลาได้ ผมจะย้อนกลับไปตบปากตัวเอง

    "เราเผาถึงคนตาย ส่งความคิดถึงไปให้ เล่าเรื่องราวความเป็นไปไปกับจดหมาย บางทีก็เป็นข้อความที่ไม่มีโอกาสได้บอก"
    "เขาจะได้อ่านเหรอ?"

    "เขาจะได้อ่าน"
    "แล้วต้องจ่าหน้าถึงใคร?"

    "ถึงคนที่ตายไปแล้ว"
    "ผมไม่มีสักคน"

    ผมจำได้ว่าเขาเงียบไปหลายอึดใจ

    "ผมอยากส่งบ้าง"
    "ส่งถึงใคร?"

    "ไม่รู้ อาจจะใครก็ได้ เหมือนเพื่อนทางจดหมาย"
    "จะเป็นเพื่อนทางจดหมายกับคนตาย?"

    "คงต้องเป็นอย่างนั้น"

    ผมมองเขาด้วยแววตาซื่อใส ที่จริงนั่นไม่ใช่ความตั้งใจแรก ผมแค่ไม่อยากเห็นเขาเขียนจดหมายคนเดียว
    ใสซื่อจนน่าตบ ต่อมาในชีวิต ผมก็ได้รู้ว่าการเขียนจดหมายส่วนตัวควรเป็นเรื่องที่กระทำเป็นส่วนตัวจึงดีที่สุด ความน่าอึดอัดจะก่อพูนท่วมหัวเมื่อกระทำการต่อหน้าคนอื่น

    ผมรอคำพูดต่อมาจากเขา

    "ชีวิตของคนที่ตายจากไปแล้ว ฝังอยู่ในความทรงจำของคนที่ยังมีชีวิตอยู่เสมอ"
    "หมายความว่าอย่างไร"

    "เป็นคำพูดของคนคนหนึ่ง พูดถึงเทศกาลนี้ เราฉลองให้คนตาย แสดงความเคารพ ปูทางให้เขากลับมา และสวมเครื่องประดับตบแต่งหน้าตาให้พวกเขากลับมาโดยไม่รู้สึกแปลกแยก"
    "พวกเราฟังดูเป็นคนยึดติด"

    "สำหรับบางคน พวกเขามีเหลืออยู่เพียงแค่นั้น"
    "แค่คนตาย?"

    "เป็นอย่างนั้น"

    ปากกาหยดหมึกซึมลงในกระดาษ ฟาเธอร์ไม่รู้ตัว

    "ฟาเธอร์เขียนถึงใคร"
    "เพื่อนสนิท"

    "จะแต่งหน้าไปร่วมงานด้วยไหม"
    "คงต้องแต่ง จะไปด้วยกันไหม?"

    ผมสั่นหัว

    "ผมไม่มีความทรงจำของคนที่ตายไปแล้วเลยสักคน"
    "คงไม่ได้คิดไปสร้างขึ้นมาเองใช่ไหม"

    "ผมไม่ฆ่าใคร"

    อีกครั้ง คำพูดน่าตบปาก

    "ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว"
    "สิบขวบครับ"

    "สุขสันต์วันเกิดนะ"
    "ขอบคุณครับ"

    "ฟาเธอร์"

    ผมเรียกเขาไว้

    "ผมเป็นอย่างนี้มาตลอดเลยหรือเปล่า"
    "หมายความว่า?"

    "อยู่ที่นี่ เป็นแบบนี้"
    "ตั้งแต่ยังแบเบาะ"

    "แล้วตอนเกิดล่ะ?"
    "นั่นฟาเธอร์ไม่รู้"

    "ผมเกิดที่นี่หรือเปล่า"
    "ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ที่โบสถ์"

    ในแววตาเขามีความโศก ผมรู้สึกว่านั่นขัดกับผมโดยสิ้นเชิง ผมพยายามคิดหาคำถามเพิ่ม แต่ไม่มีอะไรหลุดออกมาจากปากสักคำ

    "หมึกเปื้อนกระดาษหมดแล้ว"

    เมื่อผมท้วง เขาก็รีบวางปากกาลง

    "ฟาเธอร์ไปเถอะ เพื่อนจะรอนะครับ"
    "อยู่ที่นี่คนเดียวได้ใช่ไหม?"

    "ครับ"
    "จะซื้อขนมมาฝาก"



    "ซู"
    เสียงทักจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง หนึ่งวันก่อนวันงาน ใกล้เวลาเลิกเต็มที เพื่อนข้างโต๊ะของผม หล่อนเอกขเนกเอนหลังบิดขี้เกียจเสียสุด
    "พรุ่งนี้ไปไหนไหม"

    "คงไปกินอาหารดีๆ สักมื้อ เธอล่ะ?"
    "เธอไม่ไปร่วมเทศกาล?"

    "นั่นก็ร่วม" เสียงพูดกลั้วหัวเราะ มันคล้ายเป็นหน้าที่ไปกลายๆ ตั้งแต่รับตำแหน่งเป็นโซอี้มาเขาก็ร่วมงานเสมอไม่เคยขาด "แต่คงไปช่วงที่งานเต้นรำเริ่ม ก่อนหน้านี้มีธุระนิดหน่อย ฉันจะเจอเธอที่งานไหม?"

    "เจอแน่ ไปพร้อมกับครอบครัวตั้งแต่หกโมงแล้ว"

    ไม่รู้อย่างไหนดีกว่ากัน
    ระหว่างมีคนตายให้คิดถึง กับไม่มี
    คิดว่าคำตอบคงเป็นไม่มี
    แล้วถ้ามีคนที่อยากพูดคุยด้วย แต่ไม่รู้แน่ว่าเขาตายไปหรือยังล่ะ
    แบบนั้นจะต้องรู้สึกอย่างไรกัน
    มันอาจจะไม่ได้น่าสนใจ
    อาจจะไม่รู้ไว้ดีกว่า

    ผมเก็บกระเป๋า ลุกจากโต๊ะทำงาน มุ่งหน้าไปที่ลานซ้อม
    วันเกิดมักเป็นวันที่หงุดหงิดมากกว่าปกติ


    อายุสิบเอ็ดขวบ ผมเขียนจดหมายครั้งแรก
    "ผมไม่รู้จักใครที่ตายไปแล้วเลย แสดงว่าผมเขียนไม่ได้?"
    "จะลองดูก็ได้"

    "จะมีจดหมายตอบกลับมาไหม"
    "เกรงว่าจะไม่มี"

    "งั้นฟาเธอร์เขียนทำไม"
    "มนุษย์เราสร้างความเชื่อมาเพื่อปลอบประโลมจิตใจ"

    "เหมือนที่ศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์?"
    "เป็นอย่างนั้น"

    "ฟาเธอร์ว่าพระเจ้ามีเวทมนต์ไหม"
    "คาดว่ามี ไม่อย่างนั้นคงไม่มีอภินิหารแบบในคัมภีร์"

    "ฟาเธอร์ว่าพระเจ้าเป็นผู้ใช้เวทมนต์ธาตุอะไร"
    "คงถามไม่ได้ว่าเป็นธาตุอะไร เวทมนต์ของเขาอาจจะไม่ใช่แบบที่เธอหรือคนอื่นๆ ในประเทศนี้มี"

    "แสดงว่าเขาไม่ใช่อาวุธ"
    "ในแง่หนึ่งเขาเป็น อาวุธใช้ต่อสู้กับความหวาดกลัวในชีวิต"

    "ซับซ้อน"
    "ไม่ซับซ้อนเท่าที่คิด"

    "งั้นผมจะเขียน ถึงจะไม่มีจดหมายตอบ ฟาเธอร์บอกว่าเขาจะได้อ่านใช่ไหม? ต้องเขียนอะไรบ้าง"
    "เขียนอะไรก็ได้"

    เขาวางกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ตรงหน้าผม พร้อมปากกาหนึ่งแท่ง

    ถึง พ่อกับแม่
    ผมรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวเราน้อยมาก
    ผมไม่รู้พวกคุณชื่ออะไร เป็นใคร เคยทำอะไรมาก่อน ผมบอกได้ไม่เต็มปากว่าคิดถึง อย่างนั้นผมก็อยากคุยกับพวกคุณดูสักครั้ง อยากได้คำตอบที่มีแค่พวกคุณที่รู้ ผมสงสัยว่าพวกคุณเป็นคนแบบไหนถึงทิ้งผมไว้
    อาจจะมีเหตุผลดีๆ หรืออาจจะไม่มีสักข้อเดียว

    ตรงนี้ไม่ได้แย่นัก ผมคิดว่าครอบครัวใหม่ของผมอบอุ่นดี เล็ก แต่อบอุ่นกว่าพวกคุณมาก ผมมีสัตว์เลี้ยง ทุกตัวอยู่บนถนน บางตัวก้าวร้าวแต่ส่วนมากแล้วน่ารัก ผมไม่ได้เข้าโรงเรียน และผมมีเวทมนต์
    พวกคุณมีเวทมนต์หรือเปล่า
    แล้วถ้ารู้ว่าผมมี จะรู้สึกยังไงนะ



    ตอนนี้เหลือแค่ผม
    วันนี้หงุดหงิดมาก เหงื่อออกมาก และเริ่มจะเหนื่อย
    มันเป็นวันเกิดของผม ไม่ใช่วันเกิดจริงๆ แต่เป็นวันที่โดนเก็บได้
    กระสอบทรายและหุ่นไม้เป็นเครื่องช่วยบรรเทาสิ่งที่อยู่ในหัว ด้วยอะไรบางอย่างในตัวผมทำให้รู้สึกว่าผมต้องรู้ ว่าผมเกิดมายังไง พ่อแม่เป็นใคร และญาติพี่น้องคนอื่นๆ

    เมื่ออายุประมาณสิบห้าผมเพิ่งได้เรียนรู้เรื่องหนึ่งจากวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ว่าในร่างกายของเรามีรหัสพันธุกรรมที่สามารถแสดงผลออกมาแล้วสามารถสาวกลับไปถึงบรรพบุรุษได้ แน่นอนว่ารวมถึงพ่อแม่ด้วย ผมเคยทำ พยายามมาตั้งแต่วันนั้นทันทีที่กลับถึงห้อง
    ไร้ผล

    พวกเขาคงตายไปแล้ว ตั้งแต่วันนั้นผมก็อยู่กับสมมติฐานข้อนั้นมาตลอด และพยายามปล่อยวางมาตั้งแต่โน้น ว่าผมคงไม่มีวันได้รู้จักพวกเขา ไม่มีวันได้รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาก่อน และเหล่านี้คงทำให้ผมยังหาความสงบในใจไม่ได้ ผมอยากรู้เกินไป เพราะผมคิดว่าเมื่อผมได้รู้ ผมอาจจะรู้ก็ได้ว่าผมควรทำอะไรต่อ

    ไม่รู้ตัว แต่หลังเสร็จจากฝึกซ้อมผมล้างตัวก่อนกลับ และเพิ่งได้รู้สึกถึงอาการแสบตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ที่ข้อนิ้ว ข้อเท้า ข้อศอก มันไม่ได้แหวะหวะ แต่ก็ต้องอาศัยการทำแผลเช่นกัน ผมได้เพียงมอง ไม่ยี่หระ ไม่สามารถสนใจพอจะจัดการ

    ผมมีนัดที่ร้านอาหารร้านโปรด มันค่อนข้างราคาสูง ไม่เหมาะจะเป็นดินเนอร์ในวันทั่วๆ ไป ทั้งอาหารและบริการอยู่ในระดับที่พวกคนมีเงินมากินแค่อาทิตย์ละครั้ง ทหารรายได้ปานกลางอย่างผมมาได้แค่ในโอกาสพิเศษ หลังหักค่าใช้จ่ายอื่นๆ ออกไปผมมีปัญญาจ่ายได้แค่นั้น ในทุกวันที่ผมทำอาหารกินเองที่ห้อง วันนี้เป็นวันเหมาะสมแล้วที่จะให้คนอื่นทำให้ผมกินบ้าง เพราะอย่างไรผมเป็นเจ้าของวันนี้ร่วมกับคนตาย



    ผมเขียนจดหมายปีละฉบับถึงพ่อกับแม่ตั้งแต่ตอนนั้น วันเกิดอายุสิบหกเป็นวันที่เขียนอย่างตั้งใจที่สุดวันแรก มันมีความยาวถึงหนึ่งหน้ากระดาษ ผมเขียนอย่างจริงจังตั้งแต่นั้น ส่วนมากเป็นการใช้ถ้อยคำไม่น่ารักพูดถึงพ่อกับแม่ให้พ่อกับแม่ได้อ่าน เพราะผมมั่นใจมากขึ้นกว่าสมัยสิบเอ็ดว่าพวกเขาจะได้อ่านแน่ๆ ผมอยากให้พวกเขารับรู้นักว่าผมรู้สึกอย่างไร สับสนแค่ไหน

    ถึง พ่อกับแม่

    ผมคิดอยู่หลายครั้งว่าถ้าหากพวกคุณห่วงใยผมจริง พวกคุณคงแนบกระดาษเศษหรือจดหมายสักฉบับไว้ให้ผมในเปลนอน เพื่อให้ผมได้อ่านในวันที่ผมโตขึ้น แต่พวกคุณคงมีเหตุผลอะไรสักอย่างใช่ไหม ทำตัวน่าโมโหเก็บงำทุกอย่างเป็นความลับ ผมล่ะปวดหัว ผมไม่เคยรู้สึกมีตัวตนเลยสักครั้ง ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ 'แท้' เลยสักครั้ง ไม่เคยเป็นลูกแท้ๆ ของใคร เหมือนผมผุดขึ้นมาจากดิน เป็นเครื่องดินปั้นกลวงๆ

    วันหนึ่งอายุประมาณสิบสอง เด็กอายุน้อยกว่าหลายคนที่เล่นอยู่กับผมถามขึ้นมาว่า ทำไมผมถึงอยู่ที่โบสถ์ แล้วพ่อแม่ผมไปไหน ผมไม่มีพ่อแม่เหรอ ผมจำได้ว่าผมพูดอะไรไม่ออกอยู่สักหลายนาที ความกดดันในตอนนั้นท่วมท้นเหลือเกิน เพราะผมไม่รู้อะไรสักอย่าง การโดนความรู้สึกนั้นตอกย้ำและไหม้ทับจิตใจทำสมองดับ  ก่อนจะบอกพวกเขาไปว่าผมจะกลับแล้วนะ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราเล่นด้วยกัน

    ผมได้เข้าโรงเรียน
    โรงเรียนสำหรับเด็กที่มีเวทมนต์ เขามีทุนการศึกษาให้ และมีงานรองรับ งานที่ได้เงินดี และได้สวัสดิการดี ผมว่าผมคงไปจบลงตรงนั้นล่ะ
    รายได้ที่ได้ จะได้ช่วยเหลือฟาเธอร์ได้ด้วย
    คิดว่ามันคงเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง




    ขณะเดินเตร็ดเตร่กลับห้องพัก ผมเจอหมาตัวหนึ่ง
    เรียกว่าดับร้อนได้เลยทีเดียว ผมก้มลงคุกเข่า ให้เขาสำรวจตัวผมเท่าที่อยาก ระหว่างนั้นก็หยิบขนมสุนัขออกมากำมือหนึ่ง ค่อยๆ เล่นกับเขา ป้อนขนมเขาจนหมด ผมชอบที่หางเขากระดิกอยู่ตลอด และด้วยอะไรบางอย่างในสีหน้า ผมรู้สึกได้ว่าเขายิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่น่ารักที่สุดแล้ว
    เมื่อผมลุก แวะเล่นสมใจอยาก
    เขาก็เดินตามมาด้วย
    ผมไม่ห้ามนะ เพราะอย่างไร เขาก็เข้าไปในเขตที่พักของผมไม่ได้ ที่นี่ห้ามเลี้ยงสัตว์
    มองเขาที่เดินเว้นระยะห่างตามมาข้างหลัง คิดว่าเขาตัวคนเดียวเหมือนกันไหม หรือแค่ออกมาเดินเล่นโดยที่เจ้าของไม่รู้
    “ตามมาไม่ได้หรอก” ผมบอก
    เขามองตาใส
    ผมหยุด
    “ตามมาไม่ได้ ขึ้นไม่ได้นะครับ”
    เขานั่งลง ก้มสำรวจพื้นรอบตัว แล้วเงยผมอีกครั้ง
    “มีบ้านหรือเปล่า”

    “พ่อแม่ล่ะ พี่น้อง หรือว่าเจ้าของทิ้ง”

    “กลับบ้านได้ไหม ต้องไปส่งยังไงดี...”
    เรามองตากันอยู่นานสองนาน ผมหยิบขนมขึ้นมาอีกครั้ง แต่เขาดูท่าทางไม่ค่อยสนใจ
    “อยากให้เล่นด้วยมากกว่าเหรอ”
    แต่เขาก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรกับคำถาม
    เขาลุกอีกครั้ง เดินเฉื่อยๆ ไปที่กำแพงอาคารที่พักของผม แล้วลงนอนเอนหลังพิงอยู่อย่างนั้น
    ผมมองอยู่อีก ก่อนจะเข้าไปลูบตัวของเขาเบาๆ ค่อยขึ้นไปบนห้อง



    เรื่องที่ทำมีมากมายเหลือเกินในวันนี้ ผมอาบน้ำล้างตัวทันที สวมเสื้อผ้าที่เตรียมไว้สำหรับงานเทศกาล รินไวน์แดงเกือบล้นแก้ว ก่อนจะถือมันมานั่งลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ ที่นอกหน้าต่างมีแสงไฟและเปลวเทียนสว่างไสว ลานน้ำพุเรืองแสงขึ้นมาสว่างกว่าวันไหนๆ
    ผมจุดเทียนไขหนึ่งเล่ม มองเปลวไฟวูบระริก



    ถึง พ่อกับแม่

    ผมอายุยี่สิบเอ็ด
    เขียนจดหมายไปหา ตอนนี้ก็นับได้สิบฉบับแล้วนะ
    เยอะกว่าที่ผมเคยได้รับจากพวกคุณเป็นไหนๆ ค่อนข้างรู้สึกเปล่าประโยชน์อย่างไรชอบกล
    เหมือนเขียนไดอารี่มากกว่า

    เข้ามาทำงานได้ก็สามปี ผมได้รู้จักคนใหม่ๆ มากมาย เมืองนี้ค่อยๆ อบอุ่นขึ้นทีละนิด ผมได้กินอาหารดีทุกมื้อ และนอนหลับสบายในทุกคืน ผมมีเงินมากพอจะซื้อขนมให้หมาจรจัดทุกตัวที่ได้พบ มีเงินมากพอจะช่วยค่าใช้จ่ายของผู้มีพระคุณกับผม มากพอจะใช้ในชีวิตประจำวัน มากพอจะเก็บออมไว้ในยามจำเป็น

    ผมเก่งขึ้นจากเมื่อก่อน หมายถึงฝีมือการต่อสู้ การต่อสู้มือเปล่ามีมากมายหลายประเภทจนกลัวว่าชาตินี้ผมจะไม่สามารถเรียนจนเชี่ยวชาญได้หมด เทียบกับเพื่อนร่วมงานด้วยกันแล้ว ผมว่าคนที่จะเสียชีวิตในการต่อสู้เป็นลำดับแรกๆ คงไม่พ้น ตัวผมเอง เวทมนต์ของผมดูไร้ประโยชน์ไปเลยถ้าไม่ได้การต่อสู้มือเปล่ามาช่วยด้วย
    ดังนั้นเลยต้องฝึกให้เก่งๆ ดีใจที่ไม่ได้รังเกียจการปะทะอยู่แล้ว ผมไม่อยากตายไว อยากมีชีวิตอยู่ไปนานๆ จนเกษียณ จะได้เลี้ยงหมาซักตัว แล้วนั่งอยู่บ้าน ถักปลอกคอให้หมาของผม ปักชื่อบนผ้าเน่าให้หมาของผม เย็บของเล่น ถักเสื้อกันหนาว ถักถุงเท้า
    ชีวิตง่ายๆ สงบสุข

    ถ้าพวกคุณตายไปแล้วจริงๆ
    นับตั้งแต่วันที่ผมเกิด
    เสียใจด้วยนะครับ ที่ไม่ได้อยู่จนแก่
    แต่บางทีก็อาจจะดีแล้วก็ได้
    สงครามไม่ได้ส่งผลดีต่อใครทั้งนั้น

    ผมว่าผมจะเลิกแล้วล่ะ

    ผมไม่ค่อยเห็นเหตุผลในการเขียนจดหมายถึงพวกคุณอีกต่อไปแล้ว เหมือนเป็นผมที่คอยรังแต่จะยึดติดพวกคุณฝ่ายเดียว ผมไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความห่วงใยของพวกคุณ ไม่รู้ว่าหน้าตามันเป็นยังไง เพราะผมไม่เคยได้สัมผัสในตอนที่พวกคุณยังมีชีวิตอยู่
    นี่เป็นฉบับสุดท้าย
    ผมคิดว่าที่โกรธคุณมาหลายปี ก็ควรพอสักที
    ในที่สุดแล้ว ผมจะเอาอะไรกับคนตาย?
    ถึงไม่มีคุณผมก็คงอยู่ได้สบายๆ
    ถึงจะหงุดหงิดไม่น้อย ที่คิดว่าจะไม่มีวันได้รู้ว่าพวกคุณเป็นใคร แล้วผมเป็นใคร
    แต่อยู่มาจนถึงปีนี้ได้ ผมก็ว่าตัวเองทำได้ดีแล้ว
    ผมมีตัวตนของตัวเอง สร้างขึ้นมาตามอายุ
    คิดว่าตัวตนนี้ก็มีความสุขกับชีวิตดีแล้ว
    ผมอาจจะไม่ใช่คนอย่างที่ผมเป็นอยู่ก็ได้ ถ้าผมได้รู้จักพวกคุณ
    เรื่องนี้ก็ขอขอบคุณด้วยครับ

    ถึง พ่อกับแม่
    จดหมายฉบับสุดท้าย
    ลาก่อนครับ


    เผากระดาษพับทบกับเปลวไฟ เอนหลังพักกับพนัก
    ยกแก้วไวน์ชูฉลองแสงไฟนอกหน้าต่าง
    “สุขสันต์วันเกิดนะซู”
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in