เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
A slice of the intern lifecotchan
02 - ความผิดพลาดที่แสนภูมิใจ
  • ***
    7 - 11 มิถุนายน 2564 / สัปดาห์ที่ 2

    'ฉันเพิ่งได้รับผลตอบรับแรกจากการตรวจต้นฉบับมาค่ะ'

           จริง ๆ  แล้วฉันกังวลมาตลอดเลยค่ะ เพราะตั้งแต่เริ่มฝึกงานมาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ก็ได้กลิ่นของความกระวนกระวายใจ กลัวว่าจะทำได้ไม่ดีพอนั้นลอยตลบอบอวนวนเวียนอยู่รอบตัวไม่เคยจางหายไปสักนาทีเดียว เพื่อไม่ให้กลิ่นเหล่านี้ที่สูดเข้าไปส่งผลกระทบกับฉัน ฉันจึงพยายามทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถทุกวัน ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วที่พี่เรศเลยชมทุกครั้งที่ฉันถามว่า 'งานที่ฉันทำเป็นอย่างไรบ้าง' แต่ถึงจะตั้งใจอย่างนั้นก็ยังแอบมีความรู้สึกแปลก ๆ  อยู่ในใจของฉันค่ะ ไม่แน่ใจว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน แต่พอจับใจความได้เล็กน้อยประมาณว่างานของฉันมันราบรื่นเกินไป 

           การทำงานโดยปราศจากอุปสรรคใด ๆ ถือว่าเป็นบุญอันใหญ่หลวงเหลือเกินค่ะ และแน่นอนว่าจำนวนคุณงามความดีของฉันไม่สามารถแปลงค่าเป็นคะแนนบุญระดับสูงได้ แม้จะภาวนาให้เป็นแบบนั้นก็ไม่มีทางที่คนเด๋อด๋าอย่างฉันจะทำงานออกมาสมบูรณ์แบบได้ในครั้งเดียว ระหว่างที่นึกทบทวนตัวเองอยู่คนเดียว ก็บังเอิญว่าพี่เรศอยากจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการตรวจต้นฉบับของฉันค่ะ

           ก่อนจะได้รับฟังคำแนะนำก็คิดหนักอยู่เหมือนกันค่ะ 'ฉันทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่านะ' ทั้งดีใจแล้วก็กังวลใจค่ะ ดีใจที่ได้จะได้รับคำแนะนำ เพราะฉันอาจพบข้อผิดพลาดของตัวเอง และคลายความสงสัยว่าทำไมงานของฉันถึงเป็นไปได้ด้วยดี กังวลใจว่ามันอาจเป็นข้อผิดพลาดที่ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ ๆ ขึ้น ความคิดของฉันฟุ้งซ่าน สะเปะสะปะ จนสุดท้ายก็สงบจิตใจได้ แม้เราจะตั้งใจมองทางมากแค่ไหน ก็อาจจะมีสักก้าวที่เผลอเดินสะดุดได้ แต่หากไม่เคยเดินสะดุดเลยก็คงจะจำถนนเส้นนั้นไม่ได้เช่นกัน

           พี่เรศบอกว่าการทำงานของฉันยังไม่เรียกได้ว่าเป็นการทำงานแบบ 'บรรณาธิการ' แต่เป็นเเบบ 'พิสูจน์อักษร' เสียมากกว่าค่ะ เพราะบรรณาธิการจะต้องตรวจดูความเรียบร้อยของหนังสือทั้งเล่ม ตรวจทุกอย่างจริง ๆ ค่ะ ตรวจว่าบทนี้เนื้อหาถูกต้อง ครบถ้วนหรือยัง อยากแก้เนื้อหาตรงไหน หรืออยากเพิ่มอะไรเข้าไปอีก เหมือนที่ฉันได้บอกไปในบทแรก เพื่อให้นักอ่านของเราได้ประโยชน์จากหนังสือของเรามากที่สุด แต่สิ่งที่ฉันทำไป มีแค่การแก้คำผิดกับแก้เนื้อหาบางส่วนเท่านั้นค่ะ

           'ฝ้ายอาจจะยังไม่กล้า' พี่เรศคิดแบบนั้น และฉันก็เห็นด้วย ฉันคิดว่าการที่มันออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องให้เพิ่มเติมอะไรอีก ไม่กล้าออกความคิดเห็นเพราะเกรงใจพี่ที่เป็นนักวาด กับคนจัดหน้าหนังสือ กลัวจะโดนมองว่าเป็นแค่เด็กฝึกงานทำไมถึงกล้ามาสั่งแก้งานคนอื่นที่เขาทำกันมาจนเป็นมืออาชีพ ฉันเลยไปให้ความสำคัญอยู่ที่การหาคำผิดค่ะ พอฉันบอกเรื่องที่ฉันคิดไป พี่เรศก็เข้าใจ และบอกให้ฉันกล้าแก้ต้นฉบับมากกว่านี้ จะไม่มีใครโกรธที่เราขอให้แก้แน่นอน เพราะพวกเราทำงานกันเป็นทีม ต้องรับฟังกันและกันอยู่แล้ว ตรงไหนที่เราเห็นต่างกันแล้วอยากให้ปรับอะไรตรงไหนก็ขอให้บอก ถ้าทำได้ก็จะทำ แต่ถ้าทำไม่ได้เราก็จะบอกเหตุผลกันตรง ๆ ว่าทำไมถึงทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วเราก็มีจุดประสงค์ของการทำหนังสือเหมือนกัน นั่นคือทำหนังสือออกมาให้ดีที่สุด ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ และพยายามจดจำทุกคำพูดของพี่เรศเลยค่ะ

           สิ่งที่ฉันกลัวไม่ใช่การทำงานผิดพลาด แต่การไม่รู้ข้อผิดพลาดของตัวเองต่างหากที่ฉันกลัว พอได้รู้ว่าตัวเองยังต้องแก้ไขส่วนไหนก็สบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ภูมิใจที่ได้รู้ข้อผิดพลาดวันนี้ของตัวเองเพื่อพัฒนาวันต่อไปให้ดีขึ้น

           'ต้องกล้ากว่านี้' หลังจากนั้นฉันเลยขอเอาต้นฉบับทั้งหมดที่ตรวจไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมาตรวจใหม่อีกรอบในอาทิตย์นี้ค่ะ ฉันใช้เวลาตรวจต้นฉบับนานขึ้น เพราะพยายามดูแต่ละหน้าอย่างละเอียดที่สุด นอกจากนี้ยังรู้สึกได้ว่าพอตัวเองค่อย ๆ ตรวจและใส่ใจกับทุกอย่างบนหน้ากระดาษแล้ว มันทำให้ฉันใจเย็นมากขึ้นเยอะเลยค่ะ

          พี่เรศมองว่าฉันเป็นบรรณาธิการอีกคนหนึ่งของสำนักพิมพ์ และขอให้ฉันมองตัวเองเป็นแบบนั้นด้วย ฉันไม่ใช่แค่เด็กฝึกงานตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียง 'ขอให้คิดว่าเป็นบรรณาธิการจริง ๆ' เพราะสิ่งที่เราทำอยู่คืองานของจริง ไม่ใช่ของไว้ใช้ฝึกแต่เป็นงานที่จะได้ตีพิมพ์ออกมาเป็นเล่มจริง ๆ พอได้รู้แบบนั้นแล้วอยากจะเป็นลมกองไปกับพื้นเลยค่ะ ฉันจะทำได้จริง ๆ เหรอ แต่ถึงอย่างนั้นก็แอบพอใจค่ะ เพราะพี่เรศบอกว่าไว้ใจ และเชื่อว่าฉันจะทำได้ เหตุผลก็คือก่อนหน้านี้พี่เรศเคยขอคำปรึกษากับฉันเกี่ยวกับภาพประกอบในหนังสือนิยายที่กำลังจะตีพิมพ์ กับขอความคิดเห็นว่าทำไมหนังสือเล่มหนึ่งของสำนักพิมพ์ถึงยอดขายไม่สูงเท่าเล่มอื่นทั้ง ๆ ที่เนื้อหาข้างในมันดีมาก เรานั่งออกความคิดเห็นกันสักพักใหญ่เลย หลังจากตอนนั้นพี่เรศบอกว่าฉันให้คำปรึกษาได้ดี และมองว่าฉันมีความสามารถ เลยไว้ใจที่จะให้ฉันทำหน้าที่บรรณาธิการค่ะ เพราะฉะนั้นแล้วฉันอยากจะทำให้ได้ค่ะ

           อีกประโยคหนึ่งที่พี่เรศบอกฉันคือ ในเมื่อฉันได้มีโอกาศมาทำงานตรงนี้แล้ว ก็อยากให้ได้อะไรกลับไปมากที่สุด ฉันดีใจมากที่จะได้ความรู้ใหม่ ๆ จากที่นี่ ฉันอยากรู้ทุกอย่าง ทุกหน้าที่ ทุกวิธีทำเลยค่ะ ไม่ว่าจะให้ทำอะไรก็อยากทำ ดังนั้นอีกความรู้หนึ่งที่ได้ในอาทิตย์นี้คือ การแพ็คของส่งลูกค้าค่ะ

           เนื่องจากเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นช่วงมหกรรมสินค้าลดราคา (โปรโมรชั่น 6.6) เลยมียอดสั่งซื้อเข้ามาเยอะมาก ๆ ฉันกับพี่เรศต้องไปช่วยพี่ส้ม พี่แก้ม ห่อพัสดุค่ะ สนุกไม่แพ้ตรวจต้นฉบับเลยค่ะ ฉันรู้แล้วว่ามืออาชีพเขาห่อของกันอย่างไร สำหรับมือมือใหม่อย่างฉันก็อาจจะติดเทป แปะที่อยู่เบี้ยวบ้าง แต่พอได้ช่วยทำอยู่สองวันก็ทำได้ดีขึ้นค่ะ ทำเสร็จแล้วก็ปวดหลังมาก ๆ ร้องโอดโอยกับพี่ ๆ ทั้งวันเลย แต่พี่เขากลับไม่มีใครมีอาการแบบฉันเลยค่ะ พี่ ๆ บอกว่า ทำกันจนชิน จนเลิกปวดกันไปแล้ว เห็นแบบนั้นฉันก็อยากจะสำเร็จวิชาได้แบบนั้นบ้างจังเลยค่ะ

     

          สัปดาห์นี้ก็ผ่านไปได้อย่างดีค่ะ ฉันสนุกกับสิ่งที่ได้ทำมาก ๆ บทนี้เลยเขียนออกมาค่อนข้างยาว เพราะความในใจของฉันมันเยอะเหลือเกินค่ะ ฉันชอบช่วงเวลาตอนนี้มาก ๆ เพราะตั้งแต่เริ่มฝึกงานมา อาการนอนไม่หลับที่เป็นอยู่หลายเดือนก็หาย ฉันกลับมานอนช่วงสี่ทุ่มได้เหมือนเดิม ตื่นมาตอนเช้าก็ไม่เคยนึกไม่อยากไปทำงานเลยสักวัน ฉันอยากจะรู้สึกดีแบบนี้ไปนาน ๆ และจดจำมันให้ได้เลยคั้นเอาทุกอย่างออกมาเล่าจนหมดทั้งใจเลยค่ะ ถ้าทุกท่านที่เผลอกดเข้ามาอ่านจนถึงบรรทัดนี้ได้ก็จะรู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ให้ความสนใจ ต่อจากนี้ก็กรุณาเป็นกำลังใจให้ฉันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in