เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
A slice of the intern lifecotchan
00 - วันแรกที่ชีวิตเริ่มเปลี่ยนไป
  • 1 มิถุนายน 2564 / วันแรก

    'เช้านี้พลาดนิดเดียวเท่านั้น'

           ตั้งใจไว้ตั้งแต่อยู่บนรถไฟฟ้าเลยค่ะ ว่าวันแรกของการฝึกงาน 'ห้ามหลงทางเด็ดขาด'
    นั่งท่องมาตลอดทาง 'ห้ามทำพลาด' 'ห้ามสร้างความเดือดร้อน' เพราะพยายามมีสติอยู่ตลอดเวลา
    ผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าทำได้ดีเยี่ยม ฉันไปถึงอาคารที่ตั้งของสำนักพิมพ์ได้โดยไม่มีอะไรขัดข้องค่ะ

           ฉันเดินตามพี่ผู้หญิงเสื้อขาวคนหนึ่งเข้ามาในอาคาร วัดอุณหภูมิ ติดสติกเกอร์ กดลิฟต์ ยืนรอเงียบ ๆ กันอยู่สองคน จนกระทั่งประตูลิฟต์เปิดออก เมื่อเข้าไปยืนข้างในแล้ว หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เลยค่ะ คิดว่าตอนนั้นหัวใจกับปอดคงทำงานหนักมาก ขยายตัวให้ใหญ่ขึ้นแล้วบีบตัวหดเหลือเล็กกว่ากำปั้น สูบฉีดเลือดให้ไหลไปตามท่อหลอดเลือดเเดงแรงเหมือนน้ำไหลตอนกดชักโครกแรงดันน้ำ เหงื่อผุดขึ้นตามผิวหนัง อึดอัด และหายใจไม่ออก แต่ถึงกระนั้นก็ยังแอบยิ้มใต้หน้ากากอนามัย ได้ยินเสียงในหัวร้องคิก ๆ คัก ๆ สับสนไปหมด ไม่รู้แล้วว่าฉันกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ และไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังติดกับดักความซวยที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตั้งแต่เช้าเสียแล้วค่ะ 

           ฉันถามพี่ผู้หญิงที่เข้ามาในลิฟต์ด้วยกันว่าจะขึ้นไปชั้นไหนเพื่อจะช่วยกดชั้นให้ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ พี่ผู้หญิงคนนั้นยื่น 'คีย์การ์ด' เข้ามาที่ช่องเล็ก ๆ ข้างปุ่มกด มีเสียงติ๊ดดังขึ้นเบา ๆ จากนั้นกดชั้น 6 
    และถอยหลังไปยืนอีกมุมหนึ่งของลิฟต์ ฉันจึงกดชั้นของตัวเองบ้างค่ะ กดไปที่ชั้น 12 มีไฟขึ้นรอบ ๆ ปุ่ม ที่บ่งบอกว่าลิฟต์ได้รับคำสั่งให้จอดชั้นที่ต้องการแล้ว ไม่ถึง 3 วินาที อยู่ดี ๆ ไฟรอบปุ่มเลข 12 ดับ ฉันคิดว่าอาจจะกดไม่ติด หรือ ลิฟต์มันน่าจะเก่าค่ะ เลยลองกดอีกที แต่ก็ยังดับ กดอีกกี่ที ก็ดับอยู่ดี 
    จังหวะนั้นเองล่ะค่ะที่รู้สึกได้ 'ซวยแล้ว แต่ไม่รู้อะไร แต่ซวยแน่นอน' 

           ลิฟต์จอดชั้น 6 อย่างสวัสดิภาพ พี่ผู้หญิงเสื้อขาวหันมามองหน้าฉันประเดี๋ยวหนึ่งแล้วเดินออกไป ส่วนฉันก็พยายามกดปุ่มชั้น 12 ให้ได้ต่อไปค่ะ พอประตูลิฟต์ปิดฉันใช้นิ้วชี้ของทั้งสองมือกระหน่ำกดปุ่มอย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนนั้นเข้าใจแล้วล่ะค่ะว่าต้องสแกนคีย์การ์ดก่อนถึงจะกดปุ่มได้ แต่ในใจของฉันมันแอบคิดว่าอาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นทำให้กดติดก็ได้ เหมือนปาฏิหาริย์ที่ได้ฝึกงานที่นี่ ก็เลยไม่ยอมแพ้สักทีน่ะค่ะ ปาฏิหาริย์จงมา! ถ้าไม่มาจะโดนตีสองรอบ! 'ติดสิวะ โอ๊ย! เจ็บนิ้ว'

           สุดท้ายก็ขึ้นมาชั้น 12 ได้สำเร็จ โดยวิธีการของฉันคือเดินออกมายืนอยู่หน้าลิฟต์ 6 เพราะอยู่ดี ๆ ลิฟต์ก็ร้องเสียงดัง ติ๊ดดดดด ไม่หยุด กลัวว่าลิฟต์จะพังก็เลยตัดสินใจโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือจาก 'พี่เรศ' ผู้เป็นบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ และพี่เลี้ยงของฉันค่ะ 

    'เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าขึ้นลิฟต์ที่ไม่คุ้นเคยครั้งแรกคนเดียว หรือกับคนแปลกหน้าใส่เสื้อสีขาว'
    'พรุ่งนี้ลองใหม่'

           หลังประตูสีน้ำตาลบานใหญ่คือสำนักพิมพ์ "พราว" ที่ที่ฉันจะมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานในกองบรรณาธิการ ที่ที่ชีวิตของฉันจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง ที่ที่คอยตระหนักและเตือนใจว่าฉันได้เติบโตขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว กำลังจะกลายเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว ที่นั่นเป็นห้องสตูดิโอไม่ใหญ่มาก สิ่งแรกที่เห็นหลังจากเปิดประตูเข้ามาคือกองหนังสือหลายกอง กล่องพัสดุหลายขนาด พลาสติกกันกระแทก ของทั้งหมดนี้กำลังเตรียมห่อเพื่อจัดส่งให้ลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ด้านซ้ายมือเป็นห้องน้ำ และห้องครัว มองตรงไปข้างหน้าเป็นกำแพงห้องอีกห้องที่กั้นไว้ ทาสีเทาเข้มและมีข้อความภาษาไทยเขียนว่า 'ทำหนังสือทุกเล่มให้เหมือนเป็นเล่มแรกเสมอ' เดินผ่านกำแพงนี้ไปทางซ้ายจะเป็นที่นั่งทำงานของกองบรรณาธิการ จัดโต๊ะหันหน้าเข้ากำแพงที่ติดบอร์ดไม้ไว้ทั้งสองฝั่ง เพื่อให้สามารถเอาหมุดมากลัดกระดาษหรือโน๊ตกำหนดการงานต่าง ๆ ไว้ให้สามารถมองเห็นได้สะดวก  เก้าอี้วางเรียงกันเป็นแถวยาวตามโต๊ะไปจนถึงประตูกระจก ที่เปิดออกไปเป็นระเบีียง ที่นั่งของฉันอยู่ข้าง ๆ พี่เรศค่ะ ที่ของเราอยู่ติดกำแพงฝั่งขวา ที่ติดกับห้องอีกห้องที่กล่าวถึงไปด้านบน ห้องที่ว่านั้นเป็นห้องของ พี่แอน ผู้เป็นบรรณาธิการบริหาร หรือเจ้าของสำนักพิมพ์ "พราว" ค่ะ 

           ถึงที่นี่จะดูไม่มีอะไรให้น่าตื่นตาตื่นใจ มีแค่กองหนังสือ ต้นฉบับ และคอมพิวเตอร์ แต่ก็เป็นที่ที่อยากจะเข้ามาที่สุดเลยค่ะ การที่จะเข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ก็ต้องหมายความว่าได้ทำงานที่นี่ใช่ไหมล่ะคะ นั่นคือความฝันและความต้องการสูงสุดอย่างหนึ่งในชีวิตของฉันค่ะ พอได้นั่งบนเก้าอี้ทำงานแล้วแอบน้ำตาซึมนิดหน่อยด้วย ฉันอ่อนไหวง่ายน่ะค่ะ

           เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีคนมาทำงานแค่ 4 คนเท่านั้น คือ
    พี่เรศ ที่เข้ามาตรวจต้นฉบับและสอนงานให้ฉัน พี่แก้ม พี่ส้ม ที่เป็นแอดมินและฝ่ายขาย ที่ต้องเข้ามาห่อพัสดุหนังสือส่งลูกค้า และ ฉันที่เข้ามาฝึกงานค่ะ เลยมีแค่เสียงของเครื่องปรับอากาศกับเสียงดึงเทปใสแปะกล่องพัสดุเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้เงียบตลอดเวลานะคะ มีเสียงหัวเราะพูดคุยของพวกเราบ้างเป็นระยะด้วยค่ะ 

    'รวม ๆ แล้วสนุกค่ะ ชอบที่ทำงานมาก'

           ในบทนี้ฉันบันทึกเกี่ยวกับความรู้สึกแรกที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับสำนักพิมพ์ และบรรยากาศสถานที่ทำงานค่ะ บันทึกการฝึกงานของฉันจะเริ่มเขียนในบทต่อ ๆ ไปค่ะ

    'ขอบคุณที่ให้ความสนใจเข้ามาอ่านนะคะ'
    ***


         

           
           
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in