เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
นู่นนี่นั่นโน่นPATNAKAN
: กลางแปลงในกลางกรุงกับเทศกาลภาพยนตร์สหภาพยุโรป :
  • สวัสดีทุกคนอีกครั้งงง วันนี้เราจะมาบอกเล่าเรื่องราวของคนว่างงานอย่างดิฉันเอง-- ไม่ใช่ ก็ใช่แหละ ก็เพราะว่างงานเลยมีเวลาไปตามเก็บงานเทศกาลหนังของสหภาพยุโรปประจำปีนี้ค่า!! เย้ อุวะฮ่าฮ่า
    ก็ไม่มีอะไรจริงๆแหละ แค่อยากเล่าว่าไปดูอะไรมา เผื่อใครสนใจจะหาหนังดู 555555

    (เมื่อวันก่อนเขียนหนังจากเทศกาลหนังผู้ลี้ภัย ไปอ่านกันดั้ย > เมื่อฉันไปดูหนังที่เทศกาลภาพยนตร์ผู้ลี้ภัย)

    งานเทศกาลภาพยนตร์ของสหภาพยุโรปที่ผ่านมาไม่นานมานี้เองค่ะ เราก็เพิ่งเคยไปเป็นปีแรกเหมือนกัน เขาบอกว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่เอามาฉายกลางแจ้งด้วย แต่เราอยากเรียกกลางแปลง ดูเท่กว่า /เอ๊ะ 

    ฉายทั้งหมด 19 เรื่อง 19 วัน ตั้งแต่ 29 พย - 17 ธค 61 ตามสถานที่สำคัญต่างๆของสหภาพยุโรปค่ะ เช่น สถานทูต บ้านท่านทูต และสถาบันสอนภาษาต่างๆค่ะ แถวๆบางรัก สาทร สีลม ย่านๆแถวนั้นค่ะ 
    ตามนี้เลย ขออนุญาตขโมยภาพมาจากเพจ European Union in Thailand ไปกดไลก์กันได้ อีเวนท์ดีๆอย่างเยอะเลยแม่
    เราตามดูหมดไม่ไหวจริง เลยลงทะเบียนไป 6 เรื่อง ก็คือเรื่อง Belgin Rhapsody, L'opera, Swing, Loving Vincent, Tulipani : Love,Honour and a bicycle และ The other side of hope (แถมเทวันสุดท้ายด้วย เพราะขี้เกียจแล้ว เหน่ย แง5555555)

    แต่หนังที่เลือกมาฉายทั้ง 19 เรื่อง น่าสนใจทุกเรื่อง แค่อ่านเรื่องย่อก็น่าดูจริงๆค่ะ ฉายพร้อมทั้งซับไทยและอังกฤษ แต่ต้องลงทะเบียนจองก่อนค่ะถึงจะเข้าไปดูได้ เห็นเขาบอกว่า บางเรื่องจองไม่ทัน คนจองเยอะมาก เราก็แบบ เอ๋ ยากขนาดนั้นเลยเหรอ แต่พอได้ยินอย่างนี้ก็รู้สึกผิดนิดหน่อยที่เทเรื่องสุดท้ายไป ฉันคงไปกินที่ใครสักคน แฮะๆ ขอโทษข่า

    เราอยากไปดูเพราะหนังยุโรปหรือนอกกระแสนี่หาดูยากม๊ากกก ยิ่งแบบซับนี่คือไม่มี ภาษาอังกฤษยังยากเลย จะหาดูง่ายต้องไปอยู่ประเทศนั้นอะไรงี้ แถมยังไม่เข้าใจภาษาอีกเด้อ แต่เขาเอามาฉายด้วยบรรยากาศหนาวๆ (เหรอ) ของกรุงเทพมหานครยามค่ำคืน มีซับบรรยายให้พร้อม แถมคอมโบด้วยการไปชมบ้านท่านทูตตั่งต่าง มันดี มันพลาดไม่ได้ กว่าจะได้เข้าบ้านท่านทูตนี่ยากเหลือเกิน (ถึงจะได้เข้าไปแค่ส่วนสนามหญ้าหน้าบ้านท่านก็เถอะข่ะ.....)

    อันที่จริงเรามีโอกาสได้ไปดูบ้านท่านทูตฝรั่งเศสช่วงวันมรดกโลกยุโรปอะไรด้วย บ้านสวยมากกก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เฟอร์นิเจอร์ ของสะสมต่างๆ แบบ ฮือออออ โคตรดี เขาเปิดให้เข้าปีละครั้ง ก็รอไปปีหน้าๆกันได้นะคะ 

    ***อัพเดทวันที่ 22 ธค. เห็นว่าตอนนี้ภาพยนตร์ในเทศกาลทั้งหมดกำลังจะเอาไปฉายที่เชียงใหม่นะคะ ลองดูรายละเอียดในแอพ SF ไม่แน่ใจว่าจัดที่ไหน คนเชียงใหม่ไปดูกันเยอะๆนะคะ <3 เริ่มฉายวันนี้เลยค่ะ หนังดีๆทั้งนั้นเลย น่าจะเรื่องละ 80 บาทค่ะ 

    มา เริ่มกันที่เรื่องแรกที่เราจะพูดถึงกัน (อาจมีการสปอยล์เนื้อหาบางส่วนนะคะ แต่จะพูดคร่าวๆ)

    Belgian Rhapsody 
    เรื่องนี้ฉายที่บ้านท่านทูตเบลเยี่ยม บ้านท่านสวยมาก บรรยากาศดี เป็นการประเดิมเรื่องแรกของเราในเทศกาลหนังได้หรรษาค่ะ หนังไม่หดหู่จนเกินไป ฮรี่ ก่อนเปิดงานท่านทูตเบลเยี่ยมก็มาพูดเปิดนิดหน่อย แล้วก็ร่วมชมภาพยนตร์ไปพร้อมๆกับคนในงานค่ะ เป็นกันเองมากๆ

    ภาพยนตร์จากประเทศเบลเยี่ยมค่ะ เรื่องราวของวงดนตรีของคนวัยเกษียณ (บางส่วนก็ยังไม่เกษียณ) ที่ต้องการจะไปแข่งขันระดับประเทศ แต่บังเอิญเกิดปัญหาอะไรบางอย่างจึงต้องหาคนมาแทน แล้วก็เกิดปัญหาอิรุงตุงนังมากมาย ค่ะ เรื่องมีแค่นี้จริงๆ 55555555555 
    อันนี้ Trailer สั้นๆค่ะ เราคิดว่าเรื่องนี้น่าจะหาดูในเน็ตได้อยู่นะ ขนาดเทรลเลอร์ยังมีซับอิ๊งเลย


    ความชอบของเรื่องนี้ : เป็นหนังรอมคอมที่ดูแล้วก็พอจะเดาทางได้ บางอย่างก็ไม่เมคเซนส์เท่าไหร่เพราะเป็นหนังตลก เป็นหนังแปลกๆ อิหยังวะบางช่วง แต่ดูแล้วก็เพลินดี งานหนังยุโรปนี่ขายภาพมากๆ ตึกรามบ้านช่องสวยจริงๆ เพลงประกอบเพราะดีค่ะ เป็นหนัง musical แบบ La la land เลย จบแบบ Happy Ending สบายใจได้ ฟังเพลง ดูภาพงามๆก็ให้ผ่านนนน

    หนังใช้สองภาษาเพราะประเทศเบลเยี่ยมใช้ทั้งภาษาฝรั่งเศสและดัตช์ (ไม่แน่ใจว่าในเรื่องนี้มีเยอรมันด้วยไหม เพราะหูแยกไม่ออกระหว่างเยอรมันกับดัตช์5555) และภาษาฝรั่งเศสที่กุเรียนมาสามปี ฟังไม่รู้เรื่องเลยค่า อาจารย์ตีขาลายแน้ว 
    ในเรื่องนางเอกหน้าตาน่ารักดี พระเอกฮ็อตๆหน่อย คู่นี้ก็จะมีปัญหาความรักที่ดันไปเกี่ยวข้องกับวงดนตรีด้วยค่ะ แต่เราคนดูย่อมรู้ดีว่าตอนจบเดี๋ยวมันก็ได้กันค่ะ 55555555555555 

    ส่วนเรื่องที่สองฉายที่สถาบันฝรั่งเศสแถวๆ mrt ลุมพินี ที่นี่เหมือนสอนภาษาฝรั่งเศสแล้วก็มีอีเวนท์อะไรต่างๆมากมายเยอะอยู่ ถ้าสนใจก็ลองไปกันได้ค่ะ

    L'Opéra / The Paris Opera



    เพื่อความอินในการเรียนวิชา Music Appreciation และความชอบดูหนังสารคดีของเรา เลยลงทะเบียนดูเรื่องนี้ไป The Paris Opera หนังก็แค่เล่าเรื่องเบื้องหลังการเตรียมตัวในการแสดงของโชว์โอเปร่าที่โด่งดังของฝรั่งเศส ผ่านมุมมองของทีมงานเบื้องหลัง การขายบัตร ผู้จัด การคัดนักร้องโอเปร่าชาย ชีวิตของนักร้องโอเปร่าชายคนนี้ การแสดงบัลเลต์ ทีมงานร้องประสานเสียงโอเปร่า เรื่องราวบนเวที คอสตูม เล่าเรื่องปัญหาอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นพร้อมกับการฟังเสียงขากสเลดของชาวฝรั่งเศสที่ไพเราะจริงๆ (เอ๊ะ) 

    คือภาษาฝรั่งเศสนี่เพลินจริงๆนะเวลาฟัง โดยเฉพาะเวลาเขาออกเสียงตัว R แล้วมันเหมือนขากเสลดเนี่ย ทำได้ยากจริงๆ ทำให้ดูธรรมชาติก็ยาก 5555555555555 ก็คือฟังเพลิน แต่นุ้ฟังไม่อ๊อกกกก แง

    เห็นว่าเรื่องนี้ได้รับรางวัลสารคดีอะไรยอดเยี่ยมด้วยค่ะ แต่เราดูแล้วเป็นงงๆ มันตัดไปตัดมาหลายจุด บวกกับสถานการณ์ร่างกายดิชั้นตอนนั้นด้วย บังเอิญว่าเดินชนสายเคเบิ้ลหรือสายอะไรนี่แหละที่ขึงไว้กับเสาไฟอ่ะ  อื้อหือ ถ้าเป็นผู้ชายก็น่าจะเป็นหมันค่ะ บอกแค่นี้ ก็เลยนั่งทรมานไปด้วย เพ่งอ่านซับไปด้วย สติสตังไม่เหลือ เรื่องจริง (ไม่ใช่นิทาน) เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าเล่นโทรศัพท์ระหว่างเดินบนฟุตบาทประเทศไทยค่ะ ถ้าใครมีนโยบายเอาสายไฟลงใต้ดิน ชั้นจะโหวตให้นะคะ

    แต่ถึงจะงงๆ แต่ก็อึ้งในความอลังการของการเตรียมการแสดงมาก อย่างนักร้องชายที่ร้องโอเปร่าเนี่ย เค้าเป็นคนรัสเซีย ถูกคัดเลือกมาให้เรียนฝรั่งเศสด้วยความรวดเร็ว ทำงานกับคนฝรั่งเศส ร้องเพลงโอเปร่าทุกวันด้วยเนี่ย สุดยอดไปเลย ทีแรกเขาก็พูดไม่ได้ แต่พอระยะเวลาสามเดือนในการจัดการทุกอย่าง เขาก็ค่อยพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้เราว่าน่าสนใจจริงๆ จากใจคนไปแลกเปลี่ยนแล้วพูดอะไรไมไ่ด้นี่มันท้อมาก กุมาทำไรที่นี่ กุอยากกลับบ้าน แต่เขาต้องทำหน้าที่ตัวเองให้ดีพร้อมกับเตรียมการแสดงไปด้วย ภาษาก็ยากอีก เรสเปคมากค่ะ แล้วก็มีเหตุการณ์หลายอย่างหลายฝ่ายมากมาย เห็นการทำงานกับคนมากๆ ปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องแก้ คนมากปัญหาก็มาก เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้มันอยู่ที่ความสามัคคีและการห้ามใจไม่ให้ตีกันนี่แหละ 55555555 คาดว่าเรื่องนี้ก็คงจะหาดูไม่ยากนัก ถ้าสนใจก็ลองค้นดูในเว็บเถื่อนในเน็ตน่าจะมีค่ะ (ตุส่งเสริมผิดวิธีใช่ไหม...)

    ทีแรกเรื่องนี้จะฉายกลางแจ้งเหมือนเรื่องอื่นค่ะ บังเอิญวันนั้นช่วงบ่ายฝนตก เขากลัวว่ามันจะเปาะแปะตอนเย็นอีก เลยมีแพลนบี ย้ายเข้าไปฉายในโรงหนังด้านใน ตัวจะได้ไม่เปียกและกลับบ้านคลีนๆค่ะ (เขาว่ามา5555555) โชคดีที่ที่นี่มีแพลนบีได้ แต่ที่อื่นที่ฉาย ต้องกลางแจ้งเท่านั้นค่ะ 555555 

    อ้อ ละก็เราเพิ่งรู้ว่า ป๊อบคอร์นกับเครื่องดื่มในงานนี้ฟรี ที่ไปดู Belgian Rhapsody นั่นเราไม่แน่ใจว่าฟรีมั้ยเลยไม่ได้ไปหยิบ 55555555555555  แหม ก็ไม่บอกกันว่าฟรีตั้งแต่วันแรก จะได้กิน ค่ะ เห็นแก่กินและของฟรี ไม่เถียงข่ะ แค่กๆๆๆ 

    เอ้อออ ขอเล่าไรหน่อย แล้วก็เราคิดว่าเราเจอคุณน้าคนนึงมาสามครั้งแล้วอะ แน่ใจว่าเป็นคนเดียวกันแน่ๆ เพราะคุณน้าเขามีสไตล์ในทรงผมและการแต่งตัว จนคิดว่าถ้าเจอกันครั้งหน้าจะทักแล้วนะคะ 55555
    ครั้งแรกเจอเขาที่ #บันทึกของติ่ง : ฟังออร์เคสตร้าครั้งแรก! เขานั่งแถวหน้าเรา แล้วครั้งที่สองคือตอนที่เขาเอาหนังเรื่อง Casablanca มาฉายที่สกาล่า มั่นใจว่าใช่แน่ๆ โลกกลมมากกก แต่พอเข้าไปในห้องฉายที่สถาบันฝร่ังเศสก็ไม่เห็นเขาละ ไม่รู้นั่งไหน แต่คาใจ ตอนนี้ก็ยังอยากถามอยู่ 555555

    ตลกท่านทูตฝรั่งเศสด้วย เขาจองแถวหน้าให้ท่านซะดิบดี แต่ท่านมานั่งแถวหน้าเรา เพราะบอกว่าข้างหน้ามันใกล้ไป 55555555555555555

    โอเค มาต่อกันเรื่องที่สาม เว้นไปหนึ่งวัน วันถัดมาๆเราไปดูหนังเรื่อง....แท่ม แท้มมมม 

    Swing
    (หาเทรลเลอร์มาแปะยากมาก หนังฮังกาเรียน จาล้อง)
    อันนี้มีซับนะคะ แปะลงมินิมอร์ไม่ได้ แต่อยู่ใน vimeo ไปเบิ่งได้ ขุดจนเจอ Swing! 
    เรากำลังสนใจการเต้นสวิงแต่ไม่มีเงินไปเรียน แต่ก็อินๆกับเพลงแจ๊สอยู่ เจอหนังเรื่องนี้ กับอ่านเรื่องย่อก็คือ โอเค ไปเบิ่งโลดดด 

    เรื่องคร่าวๆก็คือ มีผู้หญิงสามคน ต่างอายุ ต่างวัย ต่างคนต่างมีประสบปัญหาต่างกัน บังเอิญว่าชีวิตมาบัดซบในวันฝนพรำวันเดียวกันซะงั้น เลยมาเจอกันได้ แต่ละคนมีทักษะในการร้องเพลงประมาณหนึ่ง เลยตัดสินใจทำวง The Swing Angels มีคนช่วยก็คือคุณยายแก่ๆคนนึงที่เมื่อสมัยเป็นสาวเคยเป้็น Queen of swing เลยมีคนมีฝีมือช่วยก็คือพี่สาวจากคลับหนึ่ง (ซึ่งความจริงที่พวกนางอยากทำวงเพราะหาเงินมาจ่ายค่าไฟ พวกนางไม่มีบ้านอยู่กันเลยมาอยู่บ้านคุณยาย แต่คุณยายก็เงินหมด 55555) แล้วก็เริ่มจากการร้องในงานอีเวนท์โรงแรม ไปเรื่อยๆจนเริ่มดังค่ะ ออกทัวร์ตั่งต่าง 


    แน่นอนว่าหนังแนวนี้พอไปถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดเหตุการณ์ทะเลาะอะไรบางอย่าง หรือบางตัวละครก็พบรักใหม่ อะไรแบบนี้ หนังก็เลยออกมาเป็นเหมือนเรื่อง Belgian Rhapsody ก็คือรอมคอมและ non sense 5555555 แต่สนุกดีค่ะ เพลงประกอบเพราะจริงๆ โดยเฉพาะ ที่อองกีล่า (Angela) ร้องเพลง For once in my life - Stevie Wonder เพราะมากๆๆ เราชอบเพลงนี้พอดี ก็เกิดการเขย่าขาระหว่างดู กับถั่วงาๆๆตามหนัง เพลิดเพลินจริงๆค่ะ แถมสถานทูตออสเตรียวันนั้นบรรยากาศดีมาก แบคกราวนด์หลังจอเป็นตึกสูงๆ อากาศดีๆ ลมเย็นๆ ฝรั่งที่ไปดูก็หล่อ--- แค่ก เลยเป็นหนังที่ทำให้อารมณ์ดีไปเลย

    ถ้าใครอยากดูก็เสิร์ชว่า Swing 2014 ใน Youtube ได้ค่ะ มีเต็มเรื่องแต่ไม่มีซับค่ะ ถ้าฟังออกจะอินกับเรื่องขึ้นมากๆเลย แต่ฟังเพลงกับดูเนื้อเรื่องก็โอเคแล้วค่ะ เสียดายที่ช่วงที่พวกนางเตรียมการแสดงไม่ค่อยเห็นเยอะเท่าไหร่ แต่ก็เข้าใจว่าหนังไม่กี่ชั่วโมง จะยัดทุกเรื่องเข้ามาก็ไม่ได้ มันก็ต้องเล่าเรื่องอื่นบ้างเนอะ
    แต่มีประโยคนึงที่เราชอบมากๆในเรื่อง ก็คือตัวละครนึงนางแก่แล้ว นางก็เลยตัดพ้อ เจ๊คนที่ช่วยฟอร์มวงก็เลยบอกว่า "ที่รัก โลกนี้ไม่มีผู้หญิงไม่สวยหรอก มีแต่ผู้หญิงขี้เกียจเท่านั้นแหละ" โอโหห ฟังแล้วเหมือนโดนด่า ดูหนังจบนี่กุต้องซื้อเมคอัพไหมเนี่ย แต่ฟังแล้วฮึกเหิมอะ อยากสวย แต่เออ ก็กุขี้เกียจ ไม่สวยก็ได้ 55555555 

    ภาษาฮังกาเรียนนี่ฟังดูไม่ค่อยเพราะเท่าไหร่ แต่เอามาร้องเป็นเพลงละเพราะแฮะ555555 เห็นเขาว่าเป็นภาษาที่ยากที่สุดในโลกด้วยไหมนะ แต่เราว่าน่าสนใจอ่ะ หนังเขาทำดีมาก จนเราอยากดูเรื่องอื่นด้วย อุตสาหกรรมภาพยนตร์เขาน่าจะน่าสนใจจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ ปัญหาก็คือไม่เข้าใจภาษาเขา จะให้ไปเรียนฮังกาเรียน ดิชั้นก็คงตายก่อนพอดีค่ะ

    ว่าแล้วก็ควรไปหัดเรียนเต้นสวิงจริงๆ มันน่าสนุกดีอะ 

    มา เรื่องที่ 4 ค่ะ 
    Loving Vincent
    หนังเรื่องนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก เราจะไม่อธิบายอะไรมาก เป็นมุมมองจากลูกชายเพื่อนของแวนโก๊ะ ได้รับหน้าที่ไปส่งจดหมายสุดท้ายของแวนโก๊ะให้กับน้องชายเขา แต่บังเอิญว่าก็มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นระหว่างทาง จนเขาได้เรียนรู้และได้รู้จักตัวตนของแวนโก๊ะค่ะ เป็นหนังชีวประวัติที่เล่าผ่านภาพวาดสีน้ำมันเป็นหมื่นๆรูปเลย เราไม่แน่ใจว่าตัวเลขคือเท่าไหร่ ลืมแล้ว แต่หนังมหัศจรรย์มาก ต้องวาดเยอะแค่ไหนกันถึงร้อยเรียงเป็นเรื่องยาวและสวยงามได้มากขนาดนั้น หาดูไม่ยากค่ะเรื่องนี้ เพราะหนังดังทีเดียว

    ปล.ในส่วนที่เป็นอดีตจะเล่าด้วยภาพขาวดำ ส่วนภาพสีจะเป็นเรื่องปัจจุบันค่ะ


    เรื่องนี้ฝนตกระหว่างฉายด้วย เลยได้ไปหลบฝนแป๊บนึง สุดท้ายฝนหยุดก็ฉายต่อ แต่ฝนก็ตกมาอีก แต่ถ้าไม่ฉายต่อก็คงไม่จบ คนก็เลยดูแบบตากฝนต่อไปค่ะ แต่เป็นฝนที่แถวบ้านเราเรียกฝนรินอะ ตกเบาๆ แค่ละออกฝน 555555 
    แล้วตอนแรกที่เราเดินเข้าที่นั่ง เราต้องข้ามคนที่นั่งขอบๆอ่ะ เราก้าวไปเหยียบเท้าพี่เขา คือเรามองไม่เห็นจริงๆ เราก็ขอโทษเขา แล้วเขาก็มองแรงใส่เรามาก พอช่วงที่ฝนตก เราเห็นรถกำลังจะขับเข้ามา เราก็เลยถอยหลีกทาง เขาก็ดันนั่งตรงบันไดพอดี เราก็เลยเกือบจะชนเขา เขาก็หันมามองแรงใส่เราอีก เราก็ขอโทษเขาอีกทีนึง คือแบบ ก็รู้สึกแย่นิดหน่อยอ่ะ เราไม่เห็นจริงๆ มันมืด ตาไม่ดี ฮือ เราก็ตั้งใจขอโทษเขาจริงๆนะ ไม่เห็นต้องมองแรงใส่ขนาดนั้นอะ .... หนังก็ดีแต่มันมาเฟลตรงนี้แหละ เลยความทรงจำไม่ไม่ดีเท่าไหร่... แต่ก็มีพี่คนนึงที่นั่งข้างเราก็ชวนเราคุย แชร์ป๊อบคอร์นให้เราด้วย น่ารักมาก ขอบคุณค่า

    มาต่อกันที่เรื่องที่ 5 เรื่องสุดท้ายแล้ว (ยาวเนาะ เออ เขียนเองก็เหนื่อย แต่จดลงในนี้ก็จะได้จำความรู้สึกตอนดูได้ เพราะนี่เขียนหลังจากที่ดูมาอาทิตย์กว่าๆก็เริ่มลืมละเนี่ย ฮือ คนสมองปลาทอง)

    Tulipani : Love, Honour and a Bicycle 
    หนังไม่นานเท่าไหร่ ปีที่แล้วนี้เองค่ะ เห็นว่าได้รางวัลงานภาพด้วย ภาพเขาสวยจริงๆ ยอมรับเลย


    เรื่องย่อของหนังเรื่องนี้คือ มีผู้ชายคนนึงหนีเหตุการณ์น้ำท่วมจากฮอลแลนด์ (ทิ้งผู้หญิงที่แอบปิ๊งกันที่ตรงศูนย์ช่วยเหลือด้วยนะ ได้แล้วทิ้งไปอี๊ก แต่เขียนจดหมายไว้ว่าไปไหนอยู่แหละมั้ง เดาเอาจากภาพ) โดยการปั่นจักรยานมาจากเนเธอร์แลนด์จนถึงแคว้นปุลยา (Puglia) (เมืองนี้ขนมท้องถิ่นอร่อยมากฟฟฟ) อิตาลี 
    พี่แกเลยเอาดอกพันธุ์ดอกทิวลิปมาปลูกที่นี่ค่ะ แล้วก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้าน ได้เรียนรู้ภาษากับวัฒนธรรม ไม่นานเกาเกอก็เริ่มใช้ชีวิตที่นี่ได้สบายๆ แต่มันก็มีปัญหาบลาๆร้อยแปด จู่ๆเมียกับลูกก็โผล่มาหา โอ๊ย หลายเรื่องมาก เรื่องนี้แนะนำให้ดู เราว่า Swing สนุกแล้ว เรื่องนี้สนุกกว่าอีก

    ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากตลกเหี้ยมากกกกกกกกก 55555555555555555 แบบขำทั้งเรื่อง 
    มันเว่อร์อ่ะ แต่พอโหมดซีเรียสมันก็ซีเรียสขึ้นมาเฉยๆเลยอ่ะ แบบค่อนข้างเครียดเลย แต่โดยรวมก็คือเป็นหนังเบาสมองที่มีความซึ้งนิดๆอะไรแบบนั้นค่ะ ดูแค่เทรลเลอร์ก็ฮาแล้วอ่ะ จริงๆ

    หนังเล่าเรื่องแบบจากมุมมองเรื่องเล่าของลูกสาวตัวเอก (ลูกพี่คนปั่นจักรยานที่ชื่อ Gauke เกาเกอ เกาเค เกาไรนี่แหละ) เล่าจากปัจจุบันไปยังอดีต อดีตมากด้วย แบบยุคเก่าๆเลยอะ น่าจะก่อน 90's อีกมั้งคะ ซึ่งเราพลาดช่วง 15 นาทีแรก เพราะไปลงที่สถานทูตอีกฝั่ง แต่ที่ฉายหนังมันอยู่ฝั่งถนนวิทยุ ดีที่พี่แกร็บเขาจะไปรับลูกค้าฝั่งนั้นต่อ เลยให้เราติดรถไปด้วยได้ แล้วก็เจอพี่อีกคนนึงที่ไปผิดเหมือนกัน เขาเลยขอมาด้วย แถมดูๆไป เพื่อนที่คณะก็มาเจอกันโดยบังเอิญ โอ๊ย โลกกลมทากๆ 55555 แต่พอมาช้าแล้วไม่ได้ตั๋วอ่ะ ตั๋วหมด เซ็งแลง

    ซึ่ง 95% ของหนัง ดำเนินเรื่องที่อิตาลีค่ะ ทำให้หนังเป็นภาษาอิตาเลียนมากกว่าดัตช์ (เราไปค้นดูในเน็ตช่วง 15 ต้นเรื่องที่พลาดเป็นภาษาดัตช์ อื้อหือ กระผมนี่ดูด้วยพาสาทิพอย่างเดียว) ทำให้เห็นวัฒนธรรมของประเทศอิตาลีชัดมาก ซึ่งเราไปแลกเปลี่ยนมา เราจะเก็ตมุกหลายๆอย่างมาก คือแบบว้อยยย ตลกก

    อย่างซีนที่เอาสปาเกตตีมาให้เกาเกอกิน เกอเกอกินแบบบี้ๆๆๆให้เละ เพราะตอนอยู่เนเธอร์แลนด์กินแต่ถั่วบดๆ คนอิตาเลียนที่มายืนมุงดูก็คือจะเป็นลม หน้าทุกคนแบบ จับกุหน่อย กุจะล้ม บางคนก็หน้าแบบ อิหยังเนี่ย 55555555 แล้วก็อุทาน มาดอนน่า...(โอ้แม่เจ้า..) เราขำแบบ เวนเอ้ย คนอิตาเลียนกับการกินของพวกเขานี่เป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆนะ เรื่องระดับชาติ 555555555 เราเองก็เคยกินสปาเกตตี้ผิดวิธี โฮสก็ต้องสอนให้เรากินใหม่ ก๊าก หรือแบบท้ายเรื่องนางเอกบอกว่า จะให้ฉันแยกผู้ชายอิตาเลียนออกจากแม่เหรอ ขอลาจ้าาา ผู้ชายอิตาเลียนนี่ติดแม่มากๆ ติดน้องสาวอะไรงี้ มุกวัฒนธรรมมันฮาอ่ะ 5555555

    ขอยาดเล่าอีก อยากขิงสกิลล์อิตาเลียนอันขากๆของตัวเอง 5555 แต่หนังแอบแปลผิดไปนิดนะ ตอนที่เราดูอะ เรารู้สึกว่ามันผิดบริบท อย่างที่ มาเฟียทักเกาเกอว่า "Straniero" มันแปลได้สองแบบว่าคนแปลกหน้า กับ คนต่างชาติ ซึ่งในบริบทนี้น่าจะแปลว่า ไอ้คนต่างชาติ แต่เขาแปลว่า ไอ้คนแปลกหน้า ทั้งเรื่องเลย เราก็แบบ แน้ๆ แปลผิดนะตะเอง แต่ก็ทั้งเรื่องก็สนุกมากๆค่ะ แปลได้อรรถรสมาก ฮาโคดดด

    แล้วที่ทางใต้ของอิตาลีค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในเรื่องมาเฟียค่ะ หนังก็เล่าเรื่องนี้อยู่ เกาเกอก็มีปัญหากับพวกมาเฟียด้วยเหมือนกัน เรื่องเงินๆทองๆเนี่ยแหละ จุดดราม่ามันอยู่ตรงนี้

    (ขออนุญาตแปะเรื่องเล่าบางส่วนที่เราเขียนเรื่องแลกเปลี่ยน เคยเขียนเรื่องคนอิตาเลียนไว้เยอะ อ่านได้นะ ขายแบบตรงๆไม่อ้อมแม่งทุกบล็อกเนี่ยแหละ แค่กๆ : THE DIARY OF MY JOURNEY และ My Italian Memories)

    คิดถึงอิตาลีมากๆอะ อยากกลับ ไม่มีเงิน T__T 

    คนไปดูเรื่องนี้เยอะมากค่ะ เราไปช้าแทบไม่มีที่นั่ง แต่บ้านท่านทูตเนเธอร์แลนด์สวยมาก บรรยากาศดีอีกแล้ว แบบมันได้อ่ะ เป็นจอหนังกลางแปลงแล้วด้านหลังก็เป็นตึกสูงๆเต็มไปหมด ตรงที่ฉายหนังเงียบสงบเย็นๆดี ในขณะที่ข้างนอกก็ยังเป็นความวุ่นวายของกรุงเทพในตอนกลางคืน เราว่ามันดูขัดกันแปลกๆดี (?) ดูเป็นบรรยากาศหายากดีนะ

    แต่เรื่องสุดท้ายก็ฉายที่นี่เหมือนกัน แต่เราเทเพราะเหน่ย เสียดาย ไม่รู้ว่าเรื่อง The other side of hope คนจะเยอะเหมือนเรื่องนี้รึเปล่า 

    โอเค จบแล้ววว 

    เป็นการดูหนังที่ดีมากๆเลย ถ้าปีหน้ามีอีกเราก็อยากจะลงทะเบียนอีกนะ ถ้าเวลามันเอื้ออำนวยนะ เอาจริง เวลาไม่ให้ฉันก็มาอยู่ดี นี่สอบไฟนอลอย่างเดือดแต่ก็มาหาดูหนังเฉย (..........) หวังว่าปีหน้าจะฉายกลางแจ้งแบบนี้อีก ได้บรรยากาศมาก ก่อนหนังฉายก็เปิดเพลงแจ๊สเพราะๆ มันดีจริงๆนะ

    นอกจากได้ดูหนังดีๆก็ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของฝั่งยุโรปหลายๆประเทศด้วย ก็อย่างว่าถ้าเราไม่มาดู วันๆก็คงไม่ได้คิดว่าจะหาดูหนังฮังกาเรียนอ่ะ ขนาดหนังอิตาลียังไม่ค่อยดูเล้ยยย จนใกล้ลืมภาษาหมดแล้ว สนิมเขรอะไปหมดแล้วค่ะ แล้วก็ได้เจอเพื่อนอีก โดยเฉพาะพี่เจ พี่ที่นั่งแกร็บมาด้วยวันนั้น คุยกันถูกคอมากจนเพื่อนที่คณะนึกว่ารู้จักกันมาก่อน 555555 ขอบคุณพี่เจนะคะที่คุยเป็นเพื่อน แล้วก็พี่คนนั้นที่ดูเรื่อง Loving vincent ด้วยกัน อุตส่าห์แบ่งป๊อบคอร์นให้เรา แล้วก็ขอโทษพี่สาวคนนั้น อีกคน ที่ดูเลิฟวิ่งวินเซนต์ด้วยกัน ที่เราเผลอเหยียบเท้าแล้วก็เดินชน เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เราไม่เห็นอ่ะ..

    หวังว่าปีหน้าจะมีอะไรแบบนี้อีก ไปกันเยอะๆนะทุกคนนน หนังมันดีมากๆ กิจกรรมดี ป๊อบคอร์นฟรีด้วย (พ้อยต์หล่อนคือตรงนี้ใช่ไหม นังคนเห็นแก่กิน)

    ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ :3 เจอกันใหม่บล็อกหน้าค่า

    ปล.ใครอยากได้วาร์ปหนังบางเรื่องก็ทักทวิตเรามาก็ได้ @PKJourney_ 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Antberry (@antberry)
อ่านอันนี้จบแล้วเหมือนโดนป้ายยา รีบไปกดไลค์เพจที่หนูแปะไว้ทันที
มีเวลาไหมไม่สน แต่เผื่อรอบหน้ามีโอกาสได้ไปดูกับเขาบ้าง มีแต่หนังดี ๆ ทั้งนั้นเลยแม่555555
ไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูหนังนอกกระแสเลย แค่ตามหนังในโรงทั่วไปยังเก็บไม่ครบเลยค่ะ ฮือ อ่านอันนี้แล้วได้ชื่อหนังเข้าลิสต์แล้ว ขอบคุณที่แชร์กันนะคะ <3
PATNAKAN (@PatnakanPK)
@antberry หนังดีจริงๆค่ะ เขาคัดมาดีมากๆ ไว้คราวหน้าไปกันนะคะะ