เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
my indiarunoliverun
อินเดีย, พี่ไม่ได้มาเล่นๆ

  • ไม่ได้มาเล่นๆจริงๆ มาเรียน...


    เรื่องราวมันเริ่มต้นด้วยการที่เนิร์ดหนังสือคนนึงดันไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอินเดีย แล้วเกิดอยากไปเห็นอินเดียด้วยตาตัวเองจริงๆให้ได้ แต่จะขอไปเที่ยวคนเดียว คนที่บ้านก็คงไม่ให้ไป จะชวนทุกคนไปเที่ยวด้วยกัน เค้าก็ไม่อยากไปกัน แน่ล่ะ อินเดียอาจจะไม่ใช่ประเทศที่ทุกคนอยากไป ภารกิจการขอไปเรียนซัมเมอร์จึงเกิดขึ้น เมื่อแม่บอกว่า ‘จะไปก็ไป แต่จัดการเองละกันนะ


    ตอนนั้นมาณเดือนมกรา จำได้ว่าเพิ่งผ่านปีใหม่มาหยกๆ เราหาข้อมูลจากในอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่มาจากพันทิป เลยรู้ว่าเมืองยอดนิยมที่เด็กไทยมักจะไปเรียนกันคือเมืองที่ชื่อว่า บังกาลอร์ (Bangalore) เป็นเมืองที่อยู่ตอนใต้ของอินเดีย อยู่ในรัฐคานาตากา (karnataka) ซึ่งเมืองบังกาลอร์เนี้ย เป็นเมืองที่เจริญ ติดอันดับท็อป3ของอินเดีย ทั้งยังเป็นเมืองที่มีรายได้ของประชากรสูงที่สุดในอินเดียเลยทีเดียว เพราะเนื่องจากบริษัทข้ามชาติต่างๆที่เข้าไปลงทุนในอินเดียมักจะมาเปิดออฟฟิตอยู่ในบังกาลอร์ บังกาลอร์จึงได้ชื่อว่าเป็น Silicon Valley of India อีกด้วย ฟังเผินๆแล้วเมืองนี้ ในแง่การความเป็นอยู่ก็คงไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่ เพราะมีทั้งเมโทร มีห้าง มีmcdonald มี BurgerKing ถึงแม้เราจะกินอาหารอินเดียไม่ได้ ก็คงรอดตาย การเดินทางก็สะดวกสบาย ด้วยเหตุผลนานัปการเหล่านี้ เราบอกแม่ด้วยความมั่นใจ ‘ยังไงก็อยู่ได้’

    ทำวีซ่าเองครั้งแรก...

    ด้วยความมึนงงเป็นทุนเดิม บวกกับข้อมูลในหลายๆเว็บไม่ตรงกัน โทรไปสอบถามข้อมูลก็สายไม่ว่างตลอดเวลา เราจึงตรงไปที่ศูนย์ทำวีซ่าด้วยตัวเอง เพื่อพบว่ามีคนจำนวนมหาศาลกำลังรอทำวีซ่า ทั้งคนอินเดีย พระ และฝรั่งที่มาสอบถามข้อมูล ทุกคนดูยุ่งและเดินไปเดินมาอย่างรวดเร็วราวกับกำลังข้ามถนนที่ชิบูย่า เราเหมือนกำลังยืนเอ๋ออยู่กลางสี่แยกและโดนชนไหล่ไปมา สรุปวันนั้นเราได้ข้อมูลมาแค่ว่าให้เอเจนซี่ทำเอกสารให้ดีกว่าเพราะการเตรียมเอกสารมันละเอียดและค่อนข้างยุ่งยาก ซึ่งด้วยความเนิร์ดใส เราก็เชื่อเว้ย และสุดท้ายก็พบว่าเราไม่ต้องไปทำเอกสารพวกนั้นเลย เพราะเราทำวีซ่าประเภท E-Visa ซึ่งเพียงกรอกข้อมูลจากพาสปอต หลังจากนั้นคุณก็จะได้รับอีเมลล์ตอบกลับภายใน48ชั่วโมง ว่าคุณสามารถอยู่ในอินเดียได้60วัน เย้ (สรุปเรื่องเอกสารนั้นก็เสียค่าโง่ไปฟรีๆ แหะๆ)

    จองตั๋วเครื่องบินเองครั้งแรก..

    หลังจากได้วีซ่า เราก็รีบจองตั๋วเครื่องบิน พร้อมคำนวณ เวลา60วันพอดีเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน ซึ่งเรามาพบในตอนหลังว่า กูคำนวณผิด... มันเกินมา1วัน! ณ จุดนั้น มันก็เคว้งนิดนึงแหละ ทุกอย่างมันผิดพลาดด้วยความไม่รอบคอบของเราเอง ได้แต่คิดในใจว่าทำไมอุปสรรคมันเยอะเหลือเกินและหวังว่านี่จะเป็นความโชคร้ายครั้งสุดท้ายก่อนถึงวันเดินทาง (และแน่น่อนว่านี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย..)

    ก่อนเดินทาง เกือบ6เดือนล่วงหน้า เราติดต่อโรงเรียนที่อินเดียไปทั้งหมด4แห่ง ทุกที่ล้วนเป็นที่ที่ได้รับการแนะนำจากในเน็ตล้วนๆ เราหาข้อมูลแต่ละที่ได้ที่ละนิดละหน่อย กดเข้าไปในเว็บที่ไม่ได้อัพเดตมาแรมปีและรีวิวที่เขียนไว้5ปีก่อนหน้า อย่างไรก็แล้วแต่ มีคำตอบกลับจากโรงเรียน2แห่ง ซึ่งพอเราตัดสินใจได้ว่าจะไปที่ไหนและเมลล์ไปอีกรอบ ฝั่งนั้นก็ตอบกลับมาว่า ให้เมลล์ไปอีกที1สัปดาห์ก่อนไป ไม่มีความแน่นอนใดๆให้อุ่นใจทั้งสิ้น จนถึง3วันล่วงหน้าก่อนวันเดินทาง เราบอกข้อมูลรายละเอียดทุกอย่างไปทางอีเมลล์ซึ่งมีความยาวประมาณ1หน้ากระดาษเอสี่ ทั้งวันเวลาไฟลท์บิน ห้องพักที่ต้องการ พร้อมทั้งแนบคำถามมากมายสำหรับชีวิตความเป็นอยู่ที่อินเดีย แต่คำตอบที่ได้รับ กลับมีเพียงแค่ ‘Your room is ready’ ว้อทดูยูมีนนนนนน ห้องพร้อมแล้วมันหมายความว่ายังไง้! ไม่มีความแน่นอนอะไรทั้งนั้นในการเดินทางครั้งนี้ เราเดินทางไปที่โรงเรียนด้วยกูเกิ้ลแมพ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ที่ใส่ความคาดหวังมาจนเต็มใบ และใจตุ้มๆต่อมๆเหมือนกำลังเดินอยู่เชือกที่ข้างล่างเป็นแม่น้ำคงคา (ทำไมต้องแม่น้ำคงคา?) โชคดีที่ในที่สุดเราก็หาที่เรียนเจอและพบว่า ที่นี่เค้าจัดที่อยู่ให้แบบชิวๆ มีบ้านหลายหลังที่เปิดให้เช่าและมีเด็กอย่างเราๆเข้ามาเรียนระยะสั้นสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่แล้ว เรื่องที่พักเลยไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวล แต่ถ้าพูดกันตามตรง มึงก็ควรบอกกูก่อนมั้ยล่าา? ไม่ใช่ให้มารู้หน้างานพร้อมใจบางๆแบบนี้!





    วันแรกที่ไปถึง จากความตื่นเต้น ความอยากรู้อยากเห็นค่อยๆถูกกลบด้วยความกลัว เรากอดลาแม่ น้ำตาคลอ พร้อมกับคิดในใจว่า ‘กูจะรอดมั้ยเนี่ย’ โชคดีที่มีเพื่อนมาด้วยอีก2คน ด้วยสกิลภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆกันทั้งหมด เราผ่าน60วันในอินเดียมาด้วยความงงๆแต่สนุกและคงหาประสบการณ์แบบนี้ไม่ได้อีกแล้วในชีวิต 


                            ถ่ายในวันแรกที่ไปถึง เก้ๆกังๆลองยกกล้องขึ้นมาดู ลุงพยักหน้าให้หนึ่งที ก่อนกดชัตเตอร์ 

    เมืองเนี้ย ซอฟต์สุด ถ้าอยากไปอินเดียแต่กลัว ให้ไปบังกาลอร์’ คลับคล้ายคลับคาว่าได้ยินประโยคนี้มาจากที่ไหนซักแห่ง วินาทีที่เหยียบถึงสนามบินบังกาลอร์ ตอนนั้นเกือบเที่ยงคืน อากาศเย็นราว20องศา ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสียงแตร สนามบินหรูจนแอบสงสัย นี่อินเดียจริงหรอ ไม่เห็นเหมือนกับที่คนเค้าพูดกันเลย เราแอบผิดหวังนิดหน่อย ด้วยความที่เตรียมตัวเตรียมใจมาพบกับความเป็นอินเดียเต็มร้อย อีกใจนึงก็แอบโล่งใจ เห็นจะจริงที่เค้าบอกกันว่าเมืองนี้ซอฟต์สุด ถ้าเป็นเรื่องของความสะอาด ความวุ่นวาย ระดับความดังของเสียงแตร ที่นี่คงเทียบไม่ได้กับนิวเดลีหรือพาราณสี แต่เหมือนอินเดียจะปล่อยให้เราโล่งใจเพียงแค่นั้น หลังจากนั้น เราจึงพบสิ่งที่เราตามหา ไม่ใช่วัว ไม่ใช่คนใส่ส่าหรี ไม่ใช่เทพเจ้าศักดิสิทธิ์ มันคือสุดยอดแห่งความแตกต่างหลากหลาย มันคือการรวมตัวของสิ่งที่ไม่น่าจะเข้ากันได้เลยให้มาอยู่ด้วยกัน อาจจะไม่สมดุลย์ อาจจะไม่สะอาดเรียบร้อย แต่นี่คือความยุ่งเหยิงวุ่นวายที่สงบสุขที่สุด นี่แหละคือเสน่ห์ของอินเดียที่เราตามหา 




    60วันที่เราใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ครูชาวอินเดียของเราพูดกับเราเสมอว่า ‘If you want to know India , 2 months is not enough’ คำกล่าวนั้นเป็นจริงที่สุด เมื่อเราจากมา เรากลับมามองหนังสือท่องเที่ยวที่เคยอ่าน คุยกับเพื่อนที่ไปอินเดียด้วยกัน หรือคุยกับคนที่เพิ่งไปเที่ยวมา แน่นอนว่าปัจจัยในแง่เวลาและสถานที่ล้วนมีส่วนเหมือนและส่วนต่าง หากแต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้แน่นอนคือ อินเดียของเรานั้นแตกต่างกัน แล้วอินเดียของคุณล่ะ เป็นยังไง?



    แม่น้องขายกำไลลูกปัดอยู่แถวๆ commercial street ตอนเราเดินไปน้องกำลังกินมะละกอ พอเรายกกล้องขึ้นถ่ายปุ๊ปน้องก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ (สงสัยกลัวเราแย่งกิน) จนแม่น้องร้องบอกอะไรซักอย่าง อยู่ดีๆน้องก็หันมายิ้มให้กล้องเฉยเลย

    แล้วพบกันใหม่นะคะ -น้องไม่ได้กล่าว


    ปล.ขอบคุณโรงเรียน ขอบคุณเพื่อนชาวไทย อินเดีย ญี่ปุ่น มองโกเลีย โอมาน เยเมน และอื่นๆ ถึงคุณจะอ่านภาษาไทยไม่ออก แต่อยากให้รู้ไว้ พวกคุณทำให้ชีวิตในบังกาลอร์ของเรามีความสุขที่สุด


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in