เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องยาวSaLinsiree
เรื่อง too little, too late // 3 ตอนจบ แถมท้ายตอนที่ 4
  • ep.1 (ตอนที่ 1 _she's in my dreams)


    วันนี้ เป็นเวลาเกือบห้าปี....
    .
    คืนนี้ยังคงเงียบ เฉกเช่นทุกคืนที่ผ่านเข้ามาและผ่านออกไป หลายคืนไม่มีสิ่งที่แตกต่าง หรือเพียงแค่ผมไม่ได้หามัน...

    จากนั้นคืนหนึ่ง มันเป็นคืนที่แตกต่างออกไป อาจเพียงเล็กน้อยแต่ช่างชัดเจน เมื่อกลางคืนเดินทางมาถึง และความฝันได้เข้ามาทักทาย-ยามที่ผมนั้นหลับไหล

    ทุกอย่างเงียบงัน เหมือนทุกครั้งที่รู้สึกตัว ไม่ได้แตกต่าง แต่ความเงียบงันนี้แตกต่างออกไป มันช่างกดดันและน่าสงสัย ทุกอย่างรอบตัวมืดสนิทและผมไม่คุ้นเคยต่อความมืดที่แปลกแยกนี้ บางอย่างทำให้ผมกังวลใจ สายตาไม่อาจจับจ้องที่ใดได้นานๆเพราะไม่มีสิ่งใดให้จับจ้องนอกจากความดำมืด ผมคิดว่าผมกำลังยืนแต่ปลายเท้าไม่อาจสัมผัสพื้น และในตอนนั้นเหมือนผมได้ยินเสียง มันเป็นเสียงหญิงสาวที่สับสนและปราศจากความหมายใด คำที่บางเบาและสะท้อนไปมา ผมพยายามฟัง แต่เสียงนั้นก็ยังขาดความชัดเจน มันคล้ายบทสวดที่ห่างไกลออกไป แต่ผมไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวและน่าแปลกที่ความกดดันได้คลายลง แต่ความสงสัยและไม่แน่นอนยังคงอยู่ ชั่วขณะหนึ่งในความสับสนของเสียง มีหนึ่งคำพูดที่ชัดเจน -ชื่อของผม เธอเรียกชื่อของผม เพียงครั้งเดียวที่ได้ยินเสียงนั้นเรียกชื่อของผมท่ามกลางเสียงที่สับสน ผมมองหาและรออีกครั้ง แต่ก็ไม่มีคำนั้นที่รอจากหญิงสาว

    เมื่อผมตื่น ทุกอย่างที่เคลื่อนไหวในวันนั้นยังคงเดิม แต่หัวใจของผมไม่เหมือนเดิมแต่อธิบายไม่ได้ว่า ทำไม บางครั้งผมก็สงสัยว่านั่นคือหัวใจเหรอที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กนี้มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป และมันอาจเป็นผมเองหาใช่สิ่งอื่น และคืนนั้นผมเฝ้ารอ

    เมื่อกลางคืนเดินทางมาถึง และความฝันได้เข้ามาทักทาย-ยามที่ผมนั้นหลับไหล
    คืนนี้ทุกอย่างยังคงเงียบเหมือนเช่นคืนแรกที่สัมผัสมา และผมยังคงไม่คุ้นชินต่อความมืดที่แปลกแยกนี้ และทันทีที่ทุกอย่างเหมือนเดิมเท้าผมไม่อาจสัมผัสพื้นแม้ว่าจะรู้สึกเหมือนกำลังยืน ผมจึงมั่นใจได้ว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่ความฝันที่ใครคนหนึ่งจะฝัน จากนั้นผมจึงรอ.. เพื่อฟัง.. พลันเสียงหนึ่งที่รอก็เอ่ยขึ้น ผมไม่ได้คลายกังวลอย่างเช่นคืนแรกที่เสียงนั้นดูสับสนปนเปและเอ่ยชัดเจนเพียงแค่เรียกชื่อผมในตอนท้าย แต่ผมกลับรู้สึกหวั่นไหวต่อครั้งนี้ที่เสียงนั้นชัดเจนทันทีที่เอ่ย อาจเป็นความกลัวที่จะรู้ความหมายของมัน และเพราะกลัวสิ่งที่จะตามมาหลังจากได้รู้ ชื่อของผมที่เธอเรียก ฟังดูห่วงใยเหมือนอยากรู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร เป็นอย่างไรบ้าง เธอเรียกซ้ำๆวนไปมาแต่ละครั้ง น้ำเสียงให้ความรู้สึกสงสัยว่าผมได้อยู่ตรงนั้นที่เธอเรียกหรือเปล่าหรือผมจะได้ยินหรือไม่.. หัวใจผมในตอนนั้นเหมือนถูกหลุมดำดูดลึกให้ร่วงหล่นฉับพลัน ความหวั่นไหวเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง เพียงแค่เสียงที่ล่องลอยจากหญิงสาวคนหนึ่งที่เรียกชื่อผม ทำให้ผมรู้สึกตัวว่าตนมีหัวใจไว้ตอบสนองเหมือนพึ่งตระหนักได้ เมื่อได้รู้สึกเจ็บปวดและเดียวดาย ใช่แล้ว ผมโดดเดียวเหลือเกิน มันอ้างว้างกับการอาศัยอยู่อย่างปราศจากการมีชีวิตมาเนิ่นนาน และไม่เคยรู้ตัวเพราะความชินชาที่ยาวนานนั้นมันนานมากเสียจนบางครั้งผมอาจหลงลืมชื่อของตนเองไป ทั้งหมดนี้เพียงเพราะมันนานมากแล้วที่เคยมีคนเรียกชื่อผม...

    และเมื่อผมตื่น ทุกอย่างในวันนั้นเคลื่อนไหวไม่ปกติ หัวใจของผมก็เช่นกัน ผมยังคงทาน กิน และดื่มเช่นทุกครั้งเมื่อถึงเวลา ยังคงทำความสะอาดร่างกายทุกครั้งเมื่อต้องการ และยังคงนอนที่เตียงเดิมตรงนั้น ยังคงตะโกนเปล่งเสียงที่แหบพล่าเมื่อทุกอย่างอัดแน่นและเพื่อให้รู้ว่าเสียงนั้นยังใช้ได้ดี ยังคงเคลื่อนไหวร่างกายให้กล้ามเนื้อไม่ตายตัว ผมไม่รู้วัน.เดือน.ปี หรือเวลาที่แน่นอน เพราะที่นี่ ห้องนี้ที่ผมหายใจอยู่ไม่มีนาฬิกาหรือสิ่งบอกเวลาในปัจจุบัน แต่ด้วยความเคยชินทำให้ผมรับรู้ว่ามันคือช่วงไหนเมื่อเวลาอาหารเช้า กลางวัน และเย็นมาถึง อาหารเหล่านั้นจะถูกเตรียมเอาไว้ให้ผม จนถึงตอนนี้ทุกการกระทำและทุกอย่างที่ผมทำมันปราศจากความคิดว่าทำเพื่ออะไรมานานแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าผมหยุดคิดไปเมื่อไหร่ และเมื่อไหร่ที่เริ่มคิด แต่ตอนนี้หลังจากคืนนั้น ผมกลับมาคิดอีกครั้ง
      
    และคืนนี้ผมเฝ้ารอ
    เมื่อหลับไหลและถูกดึงเข้าสู่ความฝันอันดำมืดอีกครั้ง ผมเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับมันบ้างแล้วในตอนนี้ ทั้งความดำมืดที่แปลกแแยก ทั้งความล่องลอยที่ไม่อาจสัมผัสสิ่งใด แม้จะยังไหวหวั่นแต่ผมก็มีความตั้งใจบางอย่าง รู้สึกต้องการที่จะทำมัน และมันเป็นความต้องการแรกในรอบหลายปีมานี้ แม้ว่าผมจะไม่มั่นใจนักว่ามันกี่ปีมาแล้วก็ตาม .... ผมต้องการ ที่จะ.. พูด

    เมื่อเสียงเธอเอ่ยขึ้น เรียกชื่อผม ผมตั้งใจฟัง ตั้งใจที่จะพิจารณาเสียงนั้น แม้ว่าผมจะพิจารณามาทั้งวันแล้วก็ตาม เธอเรียกด้วยความห่วงใย กังวลใจ สงสัย แต่ทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรอย่างอื่น ทำไมถึงเรียกแค่ชื่อของผม และเมื่อผมตัดสินใจหลังจากสิ้นเสียงของเธอ ผมขานรับ

    "ฉ.. ฉั .. ฉันอยู่นี่ .. ตรงนี้" ช่างน่าขำนัก นั่นเหรอคือเสียงของผม นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้พูดสิ่งใด เหมือนผมได้ยินใครที่ไม่รู้จักเอ่ยคำนั้นออกมาแทนผม จากนั้นแม้ว่าหัวใจผมจะว้าวุ่นที่ได้พูด ผมก็ตั้งใจรอที่จะฟังเสียงตอบกลับจากเธอ .. แต่มันเงียบ และเหมือนนานเหลือเกิน ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเอ่ยสิ่งใดออกไปอีกครั้ง เธอก็ตอบกลับมา

    "ฉันสามารถได้ยินเสียงของคุณ ตอนนี้ได้ยินเสียงของคุณแล้ว" เธอตอบกลับมา และมาพร้อมกับความกลัวมันกำลังทำให้ผมไม่มั่นคง ด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของเธอ มันไม่ใช่ห่วงใยหรือสงสัยแล้วว่าผมจะได้ยินหรือไม่ แต่มันเหมือนบางสิ่งที่จับเหยื่อได้ด้วยของหวานที่เตรียมมาให้เหยื่อได้ติดกับ และผมคือเหยื่อ เมื่อผมไม่เอ่ยสิ่งใดตอบกลับไปและพยายามคิดว่าควรหลุดพ้นจากตรงนี้ ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นใจ แต่แล้วเสียงของเธอก็เอ่ยขึ้น ผมไม่รู้ว่าเธออยู่ตรงไหนเพราะเสียงของเธออยู่ทุกที่

    "คุณไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวหรือกังวลสิ่งใดจากฉัน เพราะฉันไม่ได้ต้องการทำให้คุณกลัว แต่ฉันมาเพื่อต้องการให้คุณ ฟัง" เธอบอกผม ครั้งนี้น้ำเสียงเธอนุ่มลง แต่เย็นเยียบเข้าถึงหัวใจผม ผมไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกไป จึงเงียบ.. เธอก็เงียบ และผมก็แปลกใจในตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกน่าผิดหวังที่เธอเงียบ ผมเริ่มลนลานและพยายามออกเดิน ทุกอย่างมืดสนิท แต่ทันใดนั้นบางอย่างเคลื่อนไหวผ่านผม มันไม่ได้รวดเร็วแต่ผมไม่อาจมองเห็นมันเองเนื่องจากความมืดยังคงบดบังทุกสิ่งในที่นี้ อาจเป็นเธอหรือเปล่านะ ผมคิด จากนั้นผมจึงกลั้นใจและพูดอีกครั้ง

    "ฉันได้ยินเสียงของเธอ หากเธอไม่ได้ต้องการทำอะไรที่เลวร้ายต่อฉัน ได้โปรดช่วยบอก ว่าเธอคือใคร และให้ฉันได้ยินเสียงของเธอทำไม" ช่างยากเย็นนักที่ผมพูดออกไป ทุกคำเหมือนการท่องจำมาพูดหรืออ่านจากคำที่จดใส่กระดาษเตรียมไว้. มีบางอย่างเคลื่อนไหวอีกครั้งและผมหันไป

    "นั่นเธอเหรอ?" เสียงผมสั่นเครือ.

    ตรงนั้นที่ผมจ้องมอง มีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว และแม้มันจะเป็นสีดำเหมือนกับทุกอย่างที่นี่แต่กลับสามารถมองเห็นได้แม้เลือนลาง มันเหมือนกับควันที่มีชีวิตม้วนหมุนวนไปมาเป็นเกลียวคลื่น บ้างขึ้นลงโค้งไปมา บ้างบิดเบี้ยว ผมจึงผงะและเริ่มถอยออกมา แต่เมื่อมองดูดีๆจะเห็นกลุ่มควันเหล่านั้นมันเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างและบางอย่างกำลังชัดเจน ส่วนต่างๆของคน เมื่อชัดเจนแล้วผมจึงเห็นว่ามันคือผู้หญิง เธอเหมือนกำเนิดมาจากกลุ่มควันเหล่านั้นแต่ก็ไม่ใช่ เหมือนควันเหล่านั้นโอบกอดเธอ เหมือนมันนำพาเธอมามากกว่า ผมมองเห็นเธอได้ไม่ชัดเจนนักในความมืดนี้แต่รู้ว่าเธอคือผู้หญิงคนนั้นที่เรียกชื่อผม เจ้าของเสียงในความฝัน เธออยู่ไม่ไกลแต่ก็เหมือนไกล ผมไม่อาจเห็นใบหน้าของเธอ เห็นเพียงรูปร่างที่ผอมบาง และผมที่ยาวมาก เธอดูตัวเล็กเหมือนเด็กบางทีเธออาจเป็นเด็กสาวที่อายุเพียงสิบกว่าปีก็เป็นได้ ผมพูดอะไรไม่ได้ในตอนนั้นเพราะเหมือนผมลืมวิธีของมันไปชั่วขณะ และในขณะเดียวกันนั้น เธอยกแขนขึ้นมาพร้อมทำภาษามือใน*วัฏจักกรารี-(**ภาษามือเชิงสัญลักษณ์ของผู้ที่อันเชิญหรือทำลายหรือแม้กระทั่งรักษา เป็นบางสิ่งบางอย่างขึ้นอยู่กับผู้นั้นจะบอกว่าคืออะไร ทำหน้าที่อะไร เพราะการทำสัญลักษณ์นี้ไม่ได้บอกว่าผู้ที่ทำเป็นอะไรหรือคือผู้ที่ทำหน้าที่อะไร) ผมไม่เคยเห็นภาษามือในรูปแบบนี้มานานมากแล้ว นับตั้งแต่ที่ผมเหมือนเคยเห็นมันผ่านหนังสือเล่มหนาเก่าแก่จากใครสักคนที่ผมจำไม่ได้ และเพราะว่ามันเก่าแก่เกินกว่าที่โลกปัจจุบันนี้จะมีผู้ที่รู้จัก ผมจึงไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่เธอทำ เธอตวัดมือและแขน ลำตัวเคลื่อนไหวเล็กน้อยและนิ้วที่พริ้วไหวเห็นเพียงเงามืด ทุกอย่างเหมือนความมืดจากตัวเธอกำลังเคลื่อนไหว เต้นรำ อ่อนช้อยและน่ากลัวเพียงสั้นๆที่เธอตวัดมือทิ้งท้าย ก่อนจะเอ่ยขึ้น

    . ข้าหาใช่ความมืด หาใช่แสงสว่าง แต่ข้าคือผู้ที่รักษาและทำลายทั้งสองสิ่ง ข้ามาเพื่อตักตวงความมืด และปลดปล่อยแสงสว่างข้า มาเพื่อปลดปล่อยเจ้า..

    ชั่วขณะหนึ่งผมเห็นดวงตาของเธอ มันชัดเจน และผมหยุดหายใจ ร่วงหล่นฉับพลัน.และเมื่อผมตื่น ทุกอย่างในวันนั้นเคลื่อนไหวไม่ปกติอย่างชัดเจน ทั้งตัวผมเองและสิ่งรอบตัว ผมหยุดทำกิจกรรมส่วนตัวทุกอย่าง แต่ยังคงดื่มและทานอาหาร วันนี้รอบตัวผมดูมืดสลัว หรือความมืดที่แปลกแยกนั่นจะติดตัวผมมาด้วยเมื่อตื่นขึ้น แต่ที่แน่นอนคือเสียงของเธอและคำพูดเหล่านั้น ภาพของเธอที่ติดตา ดวงตาของเธอที่อธิบายไม่ได้นั้นมันหลอกหลอนผม "ข้ามาเพื่อปลดปล่อยเจ้า" คำๆนี้ยังคงก้องอยู่ในหัวผมเหมือนเธอกำลังเอ่ยมัน ท่องมันให้ผมฟังอยู่ตลอด เป็นครั้งแรกที่ความกลัวทักทายผม หาใช่ความกลัวที่พบเจอได้ง่าย ผมคิดว่าแท้จริงมันคือความหวาดหวั่นและกังวลใจที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และอะไรที่จะตามมา บางครั้งผมอยากเจอเธออีกแต่อีกด้านต่อต้านให้หนีเพราะสิ่งนี้อาจไม่ควรพบเจอ

    ผมครึ้มใจ หม่นหมองเหมือนห้องนี้ที่ดูมืดสลัวและหม่นหมองผิดปกติ เพราะปกติภายในห้องนี้จะดูสว่างเนื่องจากทุกอย่างในนี้คือสีขาวทั้งผนัง กำแพง และของตกแต่งซึ่งมีเพียงเตียงนอนที่ทำจากไม้ซึ่งผมไม่ทราบชนิดไม้ของมันแต่ยังคงทาสีขาวไว้ ห้องน้ำก็สีขาวเช่นกันและแน่นอนทุกอย่างในนั้นคือสีขาว เสื้อผ้าของผมก็มีสีขาว แต่บางครั้งก็มีสีเทา มันจะถูกส่งมาผ่านช่องรับอัตโนมัติที่ถูกทำขึ้นภายในห้องน้ำ ส่วนช่องรับอาหารจะอยู่ไกล้เตียงนอนของผม ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ผมรับรู้ เห็น หรือสัมผัส ไม่ให้ผมได้รับอะไรที่เกิดประโยชน์ต่อตน ทุกอย่างถูกจัดสรรมาเพื่อให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ไม่เคยต่อโอกาสให้ผมได้คิดหนี และวันนี้ผมยังรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอกห้องสี่เหลี่ยมนี้ กำแพงกระจกสองแผ่นสุดท้ายถูกยกขึ้นในเวลาหลังอาหารเย็น ซึ่งไม่เคยมีการทำอย่างนั้นมานานมากแล้วและหากมีก็จะไม่ใช่ช่วงเวลาในตอนเย็นแบบนี้ ผมสงสัยและอารมณ์ผมขุ่นมัว ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปกลางกำแพงกระจกแผ่นแรก จ้องมองมัน มันมีบางอย่างเคลื่อนไหว มีผู้คนที่ผมไม่อาจมองเห็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ผมเห็น กระจกหนาพิเศษสิบห้าชั้นกั้นผมเอาไว้จากทางออก มันถูกสร้างแทนประตู ขนาดของมันเท่ากำแพงผนังห้องหนึ่งด้าน ซึ่งแน่นอนว่าผนังด้านหนึ่งของห้องนี้ที่ผมยืนจ้องมองมันอยู่คือกำแพงกระจกหนา แต่ละแผ่นมีระยะห่างคือหนึ่งเมตร มันใส สามารถมองเห็นได้ทุกอย่างหากถูกกั้นกลางเพียงกระจกแผ่นเดียว แต่ผมกำลังจ้องมองผ่านกระจกสิบห้าแผ่นที่ซ้อนกันไว้ มันจึงทำให้ผมมองเห็นได้ไม่ชัดเจนว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นหลังกำแพงกระจกแผ่นสุดท้าย ทั้งหมดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผมสามารถหนีออกไปได้ กระจกจะถูกเปิดก็ต่อเมื่อห้องควบคุมด้านบนอนุมัติและกระจกจะถูกเลื่อนขึ้นสู่ด้านบน มันก็เหมือนใบมีดสังหารอย่างหนึ่งหากผมคิดหนีตอนมันเปิด มันอาจถูกสั่งให้ดึงลงมาและร่วงลงตรงตำแหน่งของผม อาจจะผ่ากลางลำตัวไม่ก็กลางศรีษะ ผมยังไม่เคยลองเพราะไม่มีโอกาสที่กำแพงกระจกเหล่านั้นจะถูกยกขึ้นทั้งหมดพร้อมกัน และมันก็ไม่ได้ถูกยกขึ้นมานานมากแล้ว ยกเว้นสองสามกำแพงสุดท้ายที่จะมีการยกเพื่อเช็คระบบต่างๆและอื่นๆที่ผมไม่ค่อยสนใจนัก แต่วันนี้มีการยกกำแพงกระจกสองแผ่นสุดท้ายขึ้น ผมเห็นเพียงผู้คนในชุดคลุมสีขาวไม่กี่คน ไม่อาจเห็นใบหน้าแต่คงเป็นกลุ่มคนที่ดูแลที่นี่ ในตอนนั้นความรู้สึกโมโหกำลังแล่นผ่านเส้นเลือดของผม ความกระหายอยากจะพังกำแพงงี่เง่านี้เพื่อวิ่งไปกระชากคอหอยใครสักคนตรงนั้นกำลังทำให้ผมเดือดดาล เป็นความรู้สึกโกรธที่เห็นคนเหล่านี้โดยควบคุมไม่ได้...

    พลันหูของผมก็ได้ยินเสียงของเธอ อีกครั้ง เธอเรียกชื่อของผมและผมสะดุ้ง เพราะนี่ไม่ใช่ความฝันและผมกำลังตื่นอยู่ หรือว่าผมกำลังมีอาการประสาทหลอน ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงอาการทางจิตใจที่แย่ลงของผม หรือผมอาจฟุ้งซ่านซึ่งนั่นหมายถึงความฝันก็อาจไม่ใช่เรื่องที่สำคัญแต่อาจเป็นเพียงอาการทางประสาทของผม เสียงของเธอยังคงเรียกชื่อผม ผมยกมือปิดหูและกระโดดขึ้นเตียง ผมนอนโดยที่มือยังปิดหู เธอเงียบเสียงแล้วผมจึงสงบลง.

    จากนั้นผมลองพูดในใจ "อย่ามายุ่งกับฉัน นี่ไม่ใช่ความฝัน" ไม่มีเสียงเธอตอบรับ... .

    "คุณต้องใจเย็นต่อสิ่งรอบตัว" ผมลุกขึ้นนั่งทันทีที่เสียงเธอตอบรับ ผมตะโกนออกไปสุดเสียงที่แหบพร่าของผม มีอาการตัวสั่นและเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมกำลังโกรธโดยไม่มีสาเหตุ อาจจะโกรธเธอที่กวนใจผม ชั่วขณะหนึ่งผมอยากกลับไปหาเธอในความฝันแล้วบีบคอเธอซะ

    "ทำไมคุณต้องโกรธ ฉันขอให้คุณสงบใจ เพียงเพราะไม่อยากให้คุณดุร้ายต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า"

    "ทำไมล่ะ แล้วเธอจะมายุ่งกับฉันทำไม" ผมถามเธอในใจ

    "เพราะว่าคุณคือคนหาใช่สัตว์" ผมทวนคำพูดนี้ของเธอเงียบๆ

    "ทำไมเธอถึงคุยกับฉัน ฉันถามเธอแล้วว่าเธอคือใคร ต้องการอะไร" ผมหวังว่าเธอจะตอบในทันที แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับจากเธอ ผมเงียบ และรอ...

    แต่ก็ไม่มีการตอบกลับจากเธอ เป็นเวลานานนับชั่วโมงจากที่ได้ยินเสียงของเธอ

    กำแพงกระจกยังคงถูกดึงขึ้นสองแผ่นสุดท้าย แน่นอนว่ามันผิดปกติมากและมันกวนใจผม ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปจ้องมองมัน พยายามหาสิ่งที่ผิดปกติเพิ่ม ผมเดินวนไปมาและหันมาจ้องมองมันตรงๆอีก ทำแบบนี้อยู่อย่างนั้นภายในหัวใจก็ว้าวุ่นไม่แพ้กัน มันคืออะไรที่จะเกิดขึ้นจากนี้ มันมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ผมมองไม่เห็นใครแล้ว เพราะภายนอกแสงไฟจากทุกจุดจะถูกปิดหลังอาหารเย็นประมาณหนึ่งหรือสองชั่วโมงที่ผมคิดเอง แต่ภายในห้องของผมยังคงมีแสงไฟเป็นสิ่งเดียวที่ผมสามารถกำหนดมันได้ว่าจะปิดหรือเปิดเองตอนไหน ผมนั่งลงบนเตียงสองมือกุมกันไว้และนิ่งเพื่อฟัง เผื่อจะมีการตอบรับจากเธออีกครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงใดจากเธอ อาจจะได้พบเจออีกครั้งในความฝันของคืนนี้ก็เป็นไปได้ แต่หัวใจผมยังไม่พร้อมที่จะนอนหรือหลับ สมองผมยังคงตื่นจากสิ่งที่ผิดปกติเหล่านี้ ความกังวลใจยังคงปลุกผมอยู่ตลอดเวลา

    แต่ในท้ายที่สุดความต้องการอยากเจอเธอในความฝันมันก็มีมากกว่าการรอให้อะไรเกิดขึ้นยามตื่น ผมเดินไปปิดไฟและเดินกลับมาขึ้นเตียง ผมนอนนิ่งๆเพื่อที่จะได้หลับ

    ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมไม่อาจหลับลง ทั้งที่ความง่วงเริ่มครอบงำผม แต่ผมยังคงตื่นพร้อมกับความรู้สึกกังวลในใจ ในห้องสี่เหลี่ยมของผมยังคงเงียบสนิท ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ผมต้องการที่จะหลับเพราะคิดว่าน่าจะเลยเวลาที่จะต้องฝันแล้วแต่ตาของผมก็ยังคงเปิดกว้าง ...

    เสียง มีเสียงบางอย่าง ผมรีบดีดตัวเองลุกขึ้นนั่งเพื่อฟังและมองรอบตัว
    มีเสียงบางอย่างหลังกำแพงกระจก มาจากแผ่นที่เท่าไหร่ของกำแพงผมไม่อาจเดา บางอย่างกำลังมา.. ด้วยความมืดที่มีผมไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่ไกลตัวและยังมีกระจกกั้นกลาง แม้ว่ามันจะเป็นกระจกใสหากแต่มีหลายชั้นก็ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ผมตั้งใจจะไปเปิดไฟให้เร็ว แต่อีกใจก็อยากรับรู้อยู่เงียบๆอย่างนี้ กระจก.. กำแพงกระจกกำลังถูกเปิด ผมมั่นใจเพราะเสียงมันเข้ามาไกล้ ผมตัดสินใจลุกไปเปิดไฟ แต่ไฟกลับเปิดไม่ติด ผมกดเปิดเท่าไหร่แต่ไฟก็ไม่ติด นี่แหละคือสิ่งที่ผมคิด ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตั้งแต่เริ่มมีความฝันนั่น และบางอย่างกำลังมา มันมาหาผม มันคืออะไร

    ผมค่อยๆเดินไปที่กำแพงกระจก จ้องมองสิ่งที่กำลังมา เข้ามาไกล้กว่านี้สิผมท้ามันในใจ ความเดือดดาลเริ่มแล่นผ่านเลือดในกายผม ความโมโหต่อสิ่งที่รบกวนผม มันกำลังเข้ามาหาผมแล้ว ผมจะได้รู้สักทีว่ามันคืออะไร และผมก็มั่นใจได้ว่าจะจัดการมันได้เหมือนที่เคยทำยามที่มีสิ่งมารบกวนผม มันมักถูกส่งมานานๆครั้ง และผมก็กำจัดมันได้ในทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิมที่เคยเกิดขึ้น มันนานมากแล้วจากครั้งสุดท้ายที่ผมถูกรบกวน มากกว่าหนึ่งปีแน่นอนผมมั่นใจ พวกมันเป็นสิ่งที่พยายามทำให้ผมมีชีวิตที่สั้นลงกว่าเดิม พวกมันพยายามทำให้ผม...พูด.

    เสียงจากกำแพงกระจกเปิดขึ้นจริงๆ ทีละแผ่นไล่มาทีละชั้น ตอนนี้น่าจะอยู่กำแพงที่เจ็ดหรือแปด. ยังคงมองไม่เห็นสิ่งใดจากจุดที่ผมยืนอยู่ ผมเดินเข้าไปไกล้กำแพงกระจกอีกเล็กน้อยแล้วรอคอยมัน เสียงกำแพงกระจกยังคงถูกเปิดดึงขึ้น มันช้ามากๆผมคิด ทันใดนั้นทุกอย่างเงียบ ไม่มีเสียงถูกเลื่อนขึ้นจากกำแพงกระจก และเงียบกว่าเดิมเมื่อความมืดที่แปลกแยกเข้ามาปกคลุม ผมหันมองรอบตัวเพื่อปรับสายตา จากความมืดที่ธรรมดาก่อนหน้าสายตายังปรับให้ชินได้ แต่ความมืดนี้มันไม่ใช่ ผมเริ่มหวาดกลัว กระดูกสันหลังเริ่มเกร็งและอ่อนไหว นี่มันอะไรกันผมคิด นี่มันไม่ใช่ความฝันเพราะผมตื่นอยู่ พลันกำแพงกระจกที่เหลืออยู่ซึ่งไม่มันใจว่าเหลือกี่ชั้นถูกเลื่อนขึ้นพร้อมกันเท่าที่ฟังจากเสียง คงเหลือไว้กำแพงกระจกแผ่นสุดท้ายที่กั้นห้องสี่เหลี่ยมของผม เหงื่อผมเริ่มผุดขึ้นมาตามรูขุมขน หัวใจผมเต้นดังก้องจนหูของผมแทบไม่สามารถได้ยินเสียงอื่น ร่างกายผมเริ่มสั่นเกร็ง ความเดือดดาลก่อนหน้าหายไป ความโมโหของผมก็หายไปเช่นกัน ผมรวบรวมแรงกล้ายกมือขึ้นเอื้อมไปสัมผัสกระจกช้าๆ มันเย็นบาดผิวอย่างมาก ผมมองไม่เห็นสิ่งใดและเริ่มยอมรับแล้วว่าสิ่งนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ความดำมืดจากความฝันที่แปลกประหลาดได้ตามมาหลอกหลอนผมในความจริงยามที่ตื่น นี่อาจเป็นเหตุผลที่ผมไม่สามารถนอนหลับ เพราะมันมาหาผมได้แล้วยามที่ตื่น ผมเอาหน้าเข้าไปแนบกับกำแพงกระจกให้ไกล้ชิดที่สุดเพื่อให้สายตามองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ยังคงมีแต่ความมืดแปลกแยกเท่านั้นที่ผมเห็น.. แต่นั่น นั่นมันอะไร บางสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้น..


    มันคือควัน กลุ่มควันที่ผมเห็นในฝันจากเมื่อคืนนี้ ผมผงะถอยหลังออกมาจากกำแพงกระจกทันที แม้มันจะเป็นสีดำมืดเช่นเดียวกับความมืดรอบตัวแต่มันยังคงสามารถมองเห็นได้แม้เลือนลาง ผมกลั้นหายใจโดยที่ไม่รู้ตัว กลุ่มควันยังคงบิดเบี้ยวโค้งไปมาเป็นเกลียวก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นรูปร่างของคน ผมนึกถึงเธอที่จะปรากฏตัวออกมาจากควันเหล่านั้น .. แต่ไม่ใช่ กลุ่มควันกลับค่อยๆสลายหายไปซะอย่างนั้น เหลือเพียงเลือนลางให้ผมยืนจ้องมองมันอย่างเคว้งคว้าง จากนั้นผมได้ยินเสียงคนเดิน มันเบามากแต่ยังคงได้ยิน มันอยู่หลังกำแพงกระจกของผม มันกำลังตรงมาที่ผม เสียงฝีเท้าที่เดินอย่างช้าๆกำลังเข้ามาไกล้ผม และผมก็รอที่จะเจอมันแม้จะหวาดหวั่นใจก็ตาม

    บางอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นในความมืด บางสิ่งปรากฏตัวต่อหน้าผม สิ้นเสียงฝีเท้าสุดท้าย เธอก็มาหยุดยืนตรงหน้าผม และผมมั่นใจเหลือเกินว่าคือเธอ หญิงสาวในความฝัน เธอสวมชุดคลุมสีดำมีหมวกฮู้ดคลุมศรีษะของเธอ ใบหน้าเธอถูกอาบไปด้วยสีดำจากความมืดที่แปลกแยก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ทันทีที่เธอยกมือขึ้นเพื่อดึงหมวกฮู้ดจากศรีษะลงไปด้านหลัง ท่าทางของเธอที่เคลื่อนไหวเหมือนงานศิลป์อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมหยุดนิ่งเพียงเพื่อจะดู และผมก็ได้เห็นแม้ทุกอย่างจะดำมืด แต่ผมกลับสามารถมองเห็นเธอแม้จะไม่ชัดเจนมากแต่ก็ชัดเจนมากกว่าในความฝัน เธอมองหน้าผม ใบหน้าเธอแปลก ดวงตาของเธอเหมือนอย่างในความฝัน ผมของเธอถูกซ่อนอยู่ในชุดคลุม เธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆที่ดูบอบบางมากๆ ดูอิดโรยและอ่อนแอแต่ก็มีความดุร้ายอยู่ในนั้นที่ผมรู้สึกได้ เธออ้าปากพึมพัมช้าๆในสิ่งที่ผมไม่ได้ยิน และร่างกายผมก็หยุดชะงักทันที และเหมือนลืมหายใจเมื่อเธอยกมือขึ้นทำภาษามือ แต่เป็นภาษามือจากที่ที่ผมจากมาจากที่ที่ผมเคยอยู่เมื่อนานมาแล้ว มันคือความลับแค่คนของเราแค่ที่ที่ผมจากมาเท่านั้นถึงจะรู้แต่เธอกลับทำได้และคล่องแคล่ว ภาษามือที่เธอใช้ความหมายแรกคือ สวัสดี และเหมือนผมพึ่งได้สติกลับมาหายใจอีกครั้ง จึงวิ่งถลาเข้าไปหาเธอหมายจะจับต้องให้รู้ว่านี่คือสิ่งที่เป็นจริง และอยากทำลายให้เธอหายไปแต่อีกใจผมแค่อยากวิ่งเข้าไปหาโดยที่ไม่รู้ว่าจริงๆทำเพื่ออะไรกันแน่ เมื่อยิ่งไกล้แล้วจึงเห็นว่าเธอเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาที่ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปที่มีชีวิตอย่างเรา บางทีเธออาจตายไปแล้วแล้วใครสักคนไปเรียกเธอมาคุยกับผมก็เป็นได้ เธอยิ้มให้ผม สองมือผมทุบกำแพงแล้ววางทาบไว้แบบนั้นผมย่อตัวลงจ้องหน้าเธอ เธอไม่ไหวติงต่อสิ่งใดที่ผมแสดงออก อาจเพราะมั่นใจว่าผมไม่อาจทลายกำแพงไปหาเธอ ทั้งที่ผมเคยทำได้มาแล้ว หรือเพราะเธออาจรู้ว่าผมเคยทำมันได้แล้ว แล้วจึงมีการปรับกระจกใหม่ให้หนาเป็นพิเศษเกินกำลังที่ผมสามารถจะทำลายได้ เธอใช้ภาษามืออีกครั้ง คราวนี้เธอบอกไม่ต้องกลัว เธอมาเพื่อดูว่าผมโอเคดีหรือไม่ และผมดูเป็นอย่างไรในโลกความจริง ผมไม่สามารถตอบโต้เธอได้ ได้แต่กระสับกระส่ายไปมาเหมือนคนบ้า ผมต้องการสื่อสารกับเธอ และมากกว่านั้นที่อยากทำ ปากผมอ้าและเสียงบางอย่างที่พิลึกก็พรั่งพรูออกมา ผมทำได้แค่นั้นเพราะรู้ว่าไม่อาจพูดสิ่งใดได้ในความจริง เธอยังคงจ้องหน้าผมไม่ไหวติงต่อสิ่งใด เธอหายใจอยู่หรือเปล่านะ ผมมั่นใจอย่างหนึ่งแล้วว่าเธอคงเป็นคนเอเชียแม้โครงหน้าจะคมคายแต่บางอย่างบอกผมอย่างนั้น ผมลองเรียกเธอในใจแต่เธอก็ไม่ตอบกลับ ทั้งต่อหน้าและในใจ.

    จากนั้นเธอพยักหน้าให้ผมช้าๆ ก่อนจะค่อยๆถอยหลังเล็กน้อย ผมรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังจะไปแล้ว จึงร้องเรียกเธอในใจ ตะโกนสุดเสียงจนปากผมต้องอ้าและเบ่งเสียงแปลกประหลาดออกมา ปากเธอก็ขยับเช่นกัน แม้ไม่ชัดเจนมากแต่ก็อ่านใจความได้ว่า
    ฉันมาเพื่อปลดปล่อยคุณ ก่อนจะก้มหน้าเล็กน้อยให้ และหันหลังให้ผม เธอดึงหมวกฮู๊ดคลุมศรีษะแล้วเดินหายไปในความมืดช้าๆเหมือนไร้เรี่ยวแรง กำแพงกระจกถูกดึงลงมาตามหลังเธอทีละชั้น แล้วเธอก็หายไปในความมืดที่แปลกแยกนั่น ทุกอย่างในตัวผมกำลังพังครืนโดยไม่มีสาเหตุ ท้ายที่สุดผมตะโกนก้องสุดเสียงใส่กำแพงกระจกก่อนจะทุบมันจนสุดชีวิต แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอบตัวผมกำลังกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ความมืดที่แปลกแยกได้หายไปแล้ว มันหายไปพร้อมกับเธอ มันคงเป็นส่วนหนึ่งของเธอสินะ ผมนั่งทรุดลงอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ จากนั้นผมหลับไหล... และไม่มีความฝันใดในคืนนั้นมาทักทายผม

     ..ผมตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าตนนอนอยู่บนพื้นกลางห้อง

    แน่นอนว่าผมจดจำทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ จำเธอได้. ยังไม่ถึงเวลาอาหารเช้าอีกเหรอ ผมคงไม่ได้นอนเลยเวลาอาหารเช้าเพราะว่าผมเป็นคนตื่นเร็วแม้จะไม่ได้นอนก็ตาม ผมลุกขึ้นนั่งและเวียนหัว พยายามลุกขึ้นเพื่อเดินไปที่กำแพงกระจก ทุกอย่างปกติเหมือนเดิม กำแพงสิบห้าชั้นเลื่อนลงมาครบหมดแล้ว ความสว่างปกคลุมที่นี่เหมือนเช่นแต่ก่อนหน้านั้น ผมยืนตรงที่ผมเจอเธอเมื่อคืน ตรงที่เธอยืนหลังกำแพงกระจก ผมจ้องมองและพิจารณา จากนั้นเสียงสัญญาณบ่งบอกว่าอาหารเช้ามาแล้วก็ดังขึ้น ผมถอยหลังออกมาจากกำแพงกระจกแล้วไปรับอาหารเช้าจากช่องรับอัตโนมัติไกล้เตียงนอน ผมทานมันจนหมดแค่เพียงไม่กี่นาที ผมนำถาดอาหารใส่คืนช่องรับอัตโนมัติไป จากนั้นผมก็ไปทำความสะอาดร่างกาย ทุกอย่างยังคงดำเนินไป แม้ในใจของผมจะไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากคิดทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ หาคำตอบไม่ได้และไม่มีเหตุผลเกี่ยวกับเธอ ผมคิด ผมนึก ผมฟัง และรอ ทุกๆๆอย่างซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น จนผมออกจากห้องน้ำหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมจึงได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอกห้องสีเหลี่ยมของผม เสียงกำแพงกระจกถูกดึงขึ้นอีกครั้ง ผมรีบวิ่งไปที่กำแพงกระจกห้องของผมเพื่อจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นและเฝ้ารอสิ่งที่กำลังจะเกิด กำแพงกระจกถูกดึงเลื่อนขึ้นทีละชั้นจากที่ผมมองตอนนี้คือประมาณชั้นที่สิบหรือเก้า คราวนี้จะเป็นอะไรอีก ผมควรต้องทำยังไงต่อสิ่งนี้ดี คิดอย่างนั้นผมก็เดินไปรอคอยมันตรงจุดที่ยืนเมื่อคืนนี้ ตอนนี้เป็นเวลาสายประมาณเก้าหรือสิบโมงผมค่อนข้างมั่นใจ ทุกอย่างยังคงสว่างและไม่มีความมืดที่แปลกแยกนั่น มันหมายถึงคงไม่ใช่เธอที่กำลังมาสินะ ผมถอนหายใจ และความโกรธกำลังพลุ่งพล่านอีกครั้ง. เมื่อกำแพงกระจกถูกเลื่อนขึ้นจนถึงแผ่นที่สิบสี่เหลือไว้เพียงกำแพงกระจกแผ่นสุดท้ายที่กั้นห้องของผม ผมยืนอยู่อย่างนั้นรอคอยมัน ... แต่มันก็ไม่มีสิ่งใดมา ผมคิดเงียบๆว่าทำทุกอย่างให้นิ่งจะดีกว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่กำลังมาหากมันมาไกล้ผมจะต้องรู้ จากนั้นผมก็ถอยออกมา และหาน้ำดื่ม นั่งที่เตียง เข้าห้องน้ำ และมานั่งที่เตียง มองมัน แล้วผมก็นอนรอมัน ฟังทุกเสียงและนึกถึงเธอ คิดเกี่ยวกับเธอ เรียกเธอในใจ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา...

    "สวัสดี.."
    ผมสะดุ้งและลุกขึ้นนั่งทันที เสียงนั้นมัน..

    "สวัสดี ขอโทษนะที่ตอบกลับช้า พอดีว่าฉันไม่ค่อยแข็งแรงนักที่จะทำอย่างนั้นบ่อยๆน่ะ อืมมม.. อาหารเช้าอร่อยดีมั้ย?"

    นั่นเธอ ตัวเป็นๆที่ยืนอยู่ตรงนี้ เธอยืนอยู่หน้ากำแพงกระจกที่ปิดอยู่ ยืนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมของผม กับผม เธอเข้ามาได้ยังไงโดยที่ผมไม่รู้ตัวแต่มัน..มันไม่ใช่ เหมือนไม่ใช่เธอในความฝัน แต่มันก็ใช่เธออยู่ดี ผมนั่งนิ่งด้วยความตกใจและมึนงงกับการปรากฏตัวของเธอ เธอที่ยืนอยู่ตรงนี้คือคนเดียวกันในความฝันของผม คือคนเดียวกันจากเมื่อคืนนี้ที่มาหาผมอย่างจริงจัง แต่เธอคนนี้ที่ยืนอยู่ตรงนี้กลับไม่ได้ดูลึกลับอะไร และเธอไม่ได้พาความมืดมาปกคลุมที่นี่ เธอยืนอยู่อย่างคนปกติแบบเรา เป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่ผอมแห้งดูอ่อนแอและอิดโรย ใบหน้าเธอซูบซีด และมีรอยข่วนถลอกที่ตาซ้าย รอยนั้นมันยังดูใหม่ เธอแต่งตัวธรรมดาๆด้วยกางเกงยีนส์สีดำ เสื้อยืดรัดรูปสีดำกับรองเท้าผ้าใบสีเทาและเธอมีผมสีดำที่ยาวมาก ผมมองดูเธออยู่อย่างนั้น และในความธรรมดานั้นมีบางอย่างที่ทำให้ผมกับความกลัวที่หวาดหวั่นเริ่มทักทายกันแต่มันไม่มีทางชนะผมหรอก ผมกลั้นใจและลุกขึ้นตะโกนสุดเสียงที่แหบพล่าใส่เธอ พยายามทำให้น่ากลัวที่สุด ผมตะโกนแล้วก็โมโหตัวเองที่ยังเห็นเธอจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แม้ในระยะประชิดที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปแตะที่คอเธอ

    "คุณ..อยากทำอย่างนั้นจริงๆเหรอ?" เธอถามน้ำเสียงราบเรียบ เอียงคอสงสัย ผมหยุดชะงัก และมองเธอตรงๆใหม่อีกครั้ง ในความธรรมดานี้มีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา ก็แน่ล่ะในเมื่อเธอคือทั้งสองสาวในเรื่องหลอนที่ผมเจอมาทั้งในความฝันทั้งเรื่องจริงเมื่อคืนนี้ และตอนนี้ตอนกลางวันที่ยังมีแสงเธอก็มาหลอกหลอนผมอีก ผมควรจะบีบคอเธอซะ แต่บางอย่างของผมกลับหมดแรงและไม่กล้าที่จะทำ เธอดู.

    ..น่าสงสารทั้งที่มีแววดุร้าย ความอ่อนแอนั่นมันเหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึก. .. แย่

    พลันมือของเธอก็ยื่นมาหา ผมถอยหนีแต่เธอยังตามมา เดินมาไกล้ผมและยื่นมือมาจับแขนผม เท่านั้นเอง.. สัมผัสแรกที่ผมได้รับ มันช่างบีบคั้นหัวใจผม ด้านหนึ่งของผมต้องการหนีแต่อีกด้านกลับบอกว่าให้ยอมแพ้ซะ ไม่อยากนั้นนายต้องกำจัดผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ เธอเลื่อนมือจากแขนผมไปที่มือของผม แล้วจับมือของผมไปไว้ที่คอเล็กๆของเธอ ความรู้สึกที่ได้สัมผัสเนื้อหนังของเธอมันช่างดี แม้ผมจะตั้งใจแสดงสีหน้าที่รังเกียจใส่เธอก็ตาม คอเธอมันเล็กมาก.

    เธอถามผม

    "คุณอยากบีบคอฉันสินะ.. จะลองทำดูหน่อยก็ได้นะ แต่ถ้าฉันไกล้ตายแล้ว ในช่วงกำลังจะขาดใจอย่าลืมหยุดนะ" เธอยิ้มให้ผม แล้วผมก็บีบคอเธอ ..

    แต่แล้วก็คลายมือออก ผมดึงมือออกมาจากคอเล็กๆของเธอแม้ว่าจะไม่อยากละจากเนื้อหนังของเธอก็ตาม ผมไม่อาจโต้ตอบเธอได้ ผมรู้แล้วว่าเธอมาเพื่อสิ่งนี้ เธอมาเพื่อให้ผมพูดนั่นเอง...
  • ep.2 (ตอนที่ 2 too little)


    "เอาล่ะ คุณไม่ต้องกังวลไปนะ ฉันไม่บังคับคุณหรอกว่าจะพูดหรือไม่พูด แต่เรามานั่งฟัง.. ฉันคุยคนเดียวกันดีกว่า คุณคงไม่ทำร้ายฉันแล้วล่ะนะ เอาเป็นว่าอืมมม.." เธอเอามือเกาคอตัวเองแล้วชี้มาที่เตียงของผม

    "ฉันขอนั่งบนเตียงของคุณนะ" เธอขอผม ผมถอยห่างจากเธอไปเกือบติดประตูห้องน้ำ นั่นคงหมายถึงผมอนุญาตในความคิดของเธอ เธอนั่งลงบนเตียงของผมทันที และผมขอยืนอยู่ตรงนี้เพื่อหยั่งเชิงจะดีกว่าการทำอะไรตามอารมณ์ เธอนั่งนิ่งเรียบร้อยดูเป็นเด็กน้อยที่ไม่มีอันตราย แต่ดวงตาคู่นั้นของเธอช่างอันตรายถ้านับจากที่ผมเคยพบเจออันตรายมามาก ดวงตาคู่นั้นบ่งบอกถึงบางอย่างที่ผมไม่ต้องการจึงไม่มองมันบ่อยนัก แต่ก็อดไม่ได้ในบางครั้ง เสียงของเธอ สำเนียงที่พูดออกมาเป็นภาษาของเราฟังดูชัดเจน คล่องแคล่วเหมือนไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาจากคนภายนอกทั่วไป เธออาจเป็นใครสักคนที่มีค่าหรือสำคัญพอที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จสินะ. เธอมองหน้าผมตรงๆ ชั่วขณะหนึ่งเธอหลุบตาลงต่ำ ครู่เดียวก็เธอเงยหน้าขึ้นมาจากนั้นถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น

    "มาฟังนิทานกันนะ" และใจผมเริ่มเต้นเร็ว..

    "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
    มีชายคนหนึ่งเขาเติบโตอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลออกไป มันเป็นที่ที่เข้มงวดและกดดัน แต่กลับกันที่นั่นก็คือบ้าน เป็นความอบอุ่นที่หาที่ไหนไม่ได้สำหรับเขา เขามีผู้คนอันเป็นที่รักแม้ว่ารักของเขาจะแสดงออกผ่านหน้าที่และความรับผิดชอบก็ตาม มันจึงทำให้ผู้คนรอบข้างไม่เข้าใจในรักของเขา ตอนยังเด็กเขาถูกสอนให้เป็นผู้ใหญ่ที่มองความผิดพลาดเป็นเรื่องร้าย

    เขามีเพื่อนชายคนหนึ่งที่ชอบทำแต่ความผิดพลาดจนเขามองว่าเพื่อนคนนี้เลวร้ายจึงไม่อยากเล่นด้วย ไม่ต้องการคบหา แต่เพื่อนชายคนนั้นกลับคิดอีกแบบ เขาคิดว่าเด็กชายต้องการเพื่อนจะได้ไม่เหงา จะได้ไม่ต้องทำอะไรคนเดียว จะได้หัวเราะบ้าง จะได้ดื้อตามประสาและเล่นอะไรที่สนุกหากมีตนอยู่ด้วย เพื่อนชายพยายามทำอะไรที่ตลกและแหกกฏข้อบังคับเพื่อให้ดูสนุกสนานและท้าทายบ่อยครั้ง มันทำให้เด็กชายไม่พอใจเขา จนวันหนึ่งเขาต้องตะโกนก้องด้วยความไม่พอใจใส่เพื่อนชายท่ามกลางคนมากมายที่ห้อมล้อม

    เพื่อนชายตกใจ และเหมือนถูกกลบความคิดใหม่จนหมด จากนั้นเพื่อนชายก็ได้หายไปจากชีวิตประจำวันของเด็กชาย และเด็กชายก็เริ่มว้าเหว่และเดียวดาย เขานึกถึงเพื่อนชายอยู่บ่อยครั้งแต่ไม่ยอมรับ เมื่อเขาเดียวดายจนคล้ายแสนเหงา เขาจะคิดแค่เพียงว่ายังทำสิ่งที่ต้องทำและยังฝึกสิ่งที่ต้องฝึกฝนไม่ดีพอ เขาทุ่มเทต่อหน้าที่เพื่อทดแทนความเหงา จนเมื่อเขาเติบโตเขาถูกสอนให้มองทุกวันเป็นวันสุดท้ายและทุกนาทีสำคัญเสมอ มันทำให้เขาไม่อาจละเลยต่อสิ่งใดเพื่อใส่ใจอย่างอื่น ความสามารถที่เขามีทำให้ผู้คนของเขาชื่นชมและยอมรับจากใจ แต่ไม่อาจให้ใจเขาเพราะเขาไม่รู้จักที่จะรักษาหัวใจ แม้ว่าเขาจะมีน้ำใจแต่ไม่อาจรักษาน้ำใจจากใครได้นาน

    เขามีกฏในใจเสมอและไม่เคยทรยศต่อมันเลย คนของเขามักจะทักด้วยความห่วงใย แต่เขามองว่ามันคือการละเลยหากจะปล่อยกายให้นิ่งเพียงชั่วเวลาหนึ่ง จะด้วยหน้าที่ที่ถูกอบรมสั่งสอนมาให้เข้มงวดต่อทุกสิ่งและจริงจังต่อทุกอย่าง หรือจะด้วยภาระที่จำเป็นต่อเขาก็แล้วแต่ เขาก็ตั้งใจและรักมัน รักสิ่งที่ทำราวกับว่าโลกใบนี้ถูกแบ่งออกเพียงทำได้และไม่ได้ ทำดีและไม่ดี เขาคิดอยู่เพียงสองสิ่งชีวิตจึงไม่ตอบรับความสุข สนุกจากเรื่องอื่นๆ การทุ่มเทเหล่านั้นทั้งหมด เพียงเพราะเขาคือผู้ที่ถูกมอบหมายภาระและหน้าที่ให้ดูแลบางสิ่ง ที่สถานที่แห่งนั้นหวงแหนและปกป้องมาเนิ่นนาน จนวันหนึ่งที่เขาเริ่มมีความรักและไม่อาจรู้จักว่านั่นคือรัก เขาจึงไม่เข้าใจในความต้องการของตนเองที่อยากได้มาซึ่งการอยู่เคียงข้างจากคนที่ตกหลุมรัก

    เขาพยายามเลือกสิ่งที่ดีให้เธอ หน้าที่ที่ดี กฎเกณฑ์ที่ดีและทุกอย่างที่เขามองว่าดีให้กับเธอ และมันตรงกันข้ามกับเธอที่รู้สึกถูกเขากดดัน และพยายามบังคับให้เธอทำในสิ่งที่เข้มงวดเกินไป อะไรที่ดีเหล่านั้นเธอมองว่ามันคือความแข็งตึง เธออธิบายกับเขาแต่เขากับมองว่าเธอคือคนที่ไม่ดีในฉับพลัน แต่ด้วยความต้องการที่มีต่อเธอเขาจึงพยายามสอนและอบรมเธอ แต่เธอไม่ฟังและออกห่างจากเขา

    เขารู้สึกเศร้าหมองและพยายามเข้าหาเธอ เมื่อไม่ได้ผลเขาจึงรู้สึกสิ้นหวังและท้อใจ เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เป็นว่าทำไมเธอไม่ต้องการเขา เขาดีทุกเรื่องและเก่งในทุกอย่าง แต่ความท้อใจสิ้นหวังก็ไม่อาจเปลี่ยนเขา ในเมื่อเขาทุ่มเทให้ต่อหน้าที่และภาระที่มีจนไม่เหลือเวลาให้สิ้นหวังแม้หัวใจจะมีช่องโหว่อยู่ก็ตาม จนวันหนึ่งที่เขาได้พบเพื่อนชายอีกครั้งทั้งที่เพื่อนชายก็เติบโตมาพร้อมกับเขาในสถานที่แห่งนี้ แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างเขาจึงหลงลืมเพื่อนชายไปและไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน เพื่อนชายยิ้มให้เขาอย่างมีความสุขและทักทายเขา พวกเขาคุยกัน เขารู้สึกแปลกแยกและคุยไม่รู้เรื่องในสิ่งที่เพื่อนชายพูด แต่เขารู้สึกถึงความสบายใจที่กว้างใหญ่เหลือเกินจากเพื่อนชายที่แสดงออกมา เพื่อนชายเล่าว่าตนมีความรักและกำลังจะมีครอบครัว เรื่องนี้ดูเล็กสำหรับที่นี่ ใครก็มีครอบครัวได้ในที่แห่งนี้แค่น่าแปลกที่เขารู้สึกตื่นเต้นและตกใจ อาจเพราะเขาพึ่งได้พบเพื่อนชายแบบจริงจังอีกครั้งในรอบหลายปี พบเจออีกทีเพื่อนชายก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดูสุขุมและอารมณ์ดี ไม่ได้ชอบแกล้งหรือชอบทำเรื่องผิดพลาดที่ใหญ่โต เพื่อนชายหัวเราะง่ายจนเขาสังเกตุเห็นและรู้ว่านั่นคือการหัวเราะ ครู่หนึ่งเขาลองหัวเราะตามและมันทำให้เขาดูตลกแต่รู้สึกดี หรือพูดง่ายๆเขาดูแตกต่างจากเพื่อนชายจนเริ่มคิดได้ว่า แท้จริงเขาดูเป็นอย่างไรในสายตาคนอื่นเหมือนที่เขารู้สึกและมองเพื่อนชายในสายตาของเขา จนเพื่อนชายพูดในที่สุดว่า "ชีวิตมันสั้นนักเพื่อน ต้องหาความสุขใส่หัวใจซะบ้าง" ว่าแล้วเพื่อนชายก็ทุบหัวใจตัวเองและหันมาชกหัวใจของเขาเชิงหยอกล้อ

    เมื่อเพื่อนชายเดินจากไปชายหนุ่มเอามือคลำที่หน้าอกข้างซ้ายของตนเอง หัวใจของเขาเต้นและเขาคิดเกี่ยวกับคำพูดของเพื่อนชายที่พึ่งเดินจากไป วันนั้นที่ได้พูดคุยกับเพื่อนชาย เขาก็มีความคิดมากมายในหลายๆเรื่อง แต่หาคำตอบไม่ได้เพราะมันมักไปขัดแย้งต่อสิ่งที่เขาเป็นและถูกปลูกฝังมา จนครั้งหนึ่งเขาลองถามคนคนหนึ่งว่า เขาเป็นคนอย่างไรในสายตา คนนั้นตอบเขาด้วยความเกรงใจเขาจึงคิดว่าไม่ใช่ความจริงนักแต่ก็รู้สึกดีที่ได้รับความยกย่องจนน่าเกรงขาม แต่เขาก็ยังคงถามผู้อื่น คนอื่นๆ คำตอบไม่ต่างกันมากนักเขาจึงเริ่มมั่นใจว่าตนไม่ได้แตกต่างอะไรหรือผิดปกติตรงไหน

    แต่แล้ววันหนึ่งเขาได้พบคนคนหนึ่งที่พูดกับเขาด้วยการบอกว่า

    -เขาเป็นคนที่จริงจังกับสิ่งที่ไม่ใช่ตนเองมากเกินไป เคร่งเครียดต่อหน้าที่จนเกินตัว มองทุกอย่างเป็นของแข็งและไม่รู้จักผ่อนคลาย น่าเบื่อหน่ายถ้าต้องอยู่ด้วยกับคนอย่างเขา และบอกว่าเขาไม่มีเพื่อนให้คบหาเลยเพราะทำตัวเอง หน้าที่ภาระไม่ใช่เพื่อนที่มนุษย์ควรมีแค่นั้น แถมยังไม่ชอบพักผ่อนหรือรู้จักการทำอะไรที่สนุก มองชีวิตอย่างจำกัดทั้งที่ชีวิตคนหนึ่งคนสามารถพบเจอและสร้างเรื่องราว ความรู้สึกได้ไม่จำกัด หากเขายังเป็นแบบนี้เขาจะมีชีวิตที่สั้นเกินกว่าจะถึงวันที่ได้รับภาระที่แท้จริงมาดูแล-

    เขาผงะต่อคำพูดเหล่านั้นจึงไม่ทันได้โต้ตอบกลับไป จากนั้นเขาเริ่มถามผู้คนใหม่อีกครั้ง เริ่มจากผู้คนเดิมๆและมีข้อบังคับให้พูดความจริง รวมถึงไม่ต้องกลัวต่อความจริง เขาคิดประโยคคำถามเหล่านี้ขึ้นเองว่าด้วยมนุษย์ไม่ชอบผลที่จะตามมาหากต้องทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ต่อด้วยเขาบอกว่าหากมีอะไรที่เขาทำผิดพลาดเขาก็อยากจะแก้ไข จากนั้นผู้คนที่ตอบคำถามเขาเริ่มมีคำตอบที่แตกต่างออกไปจากครั้งแรกจนเกือบจะสิ้นเชิง ทุกๆอย่างคล้ายกับคำพูดของคนคนหนึ่งที่กล่าวไว้ เมื่อเขาเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น เขาจึงเริ่มสับสนพาลให้อ่อนแอเพราะคิดว่าเมื่อเป็นตัวเองไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรต่อดี ในเมื่อทุกคนที่เขาเติบโตมาด้วยกันมองเขาในอีกมุมที่เขาไม่เคยรู้

    "แต่พวกเขาไม่ได้เกลียดนายนี่ พวกเขารักและนับถือนายจะตาย ใครๆก็บอกว่าอยากเก่งให้ได้อย่างนาย ใครๆก็บอกว่าไม่มีใครสามารถทำได้อย่างนาย"

    คำๆนี้จากเพื่อนชายที่เขามาปรึกษาทำให้เขามีกำลังใจ และเริ่มที่จะรับฟังมากขึ้น เขากับเพื่อนชายเริ่มสนิทกันอีกครั้ง เขาอาศัยการฝึกหัวเราะจากเพื่อนชายทุกวันและเริ่มมีมุขตลกที่เขาเล่นแล้วไม่ขำมาใช้กับคนอื่นๆ เริ่มแรกที่เขาเล่นคำตลกแล้วไม่ขำเขาก็ขมขื่นไปหลายวัน แต่เขาก็ไม่ได้ยอมแพ้ที่จะลองผ่อนคลาย

    หน้าที่ และภาระยังคงมีแต่เขาทำแค่พอดีตัวแม้จะฝืนใจเหมือนค้างคาก็ตาม เขาพูดออกเสียงว่า "วันนี้-พอแค่นี้-ก่อน" เพื่อเป็นการฝึกฝนให้ตนรู้จักพอและละจากความเคร่งเครียด จนเมื่อเวลาเริ่มผ่านไป ล้มเหลวบ้าง กลับไปเป็นแบบเดิมบ้าง เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายบ้าง เขาก็เริ่มปรับตัวได้ในท้ายที่สุดแล้วความสุขเล็กๆที่เขาพึ่งสังเกตุได้ในวันหนึ่งก็เข้ามาทักทายเขา เขานั่งพักผ่อนโดยที่หนังสือเก่าแก่เล่มหนาวางอยู่บนตัก เขามองเพื่อนร่วมงานคุยกันและพูดถึงสิ่งต่างๆเขาฟังและแสดงความคิดเห็นเป็นระยะๆ จนเพื่อนร่วมงานเริ่มติดใจและมักจะถามคำถามกับเขาเพื่อปรึกษาบ่อยครั้ง จนวันหนึ่งเขาได้คิดถึงเธอ เป็นความคิดที่แตกต่างจากวันนั้นที่เขาหลงรักเธอ และพึ่งมองมันใหม่ในวันนี้ทำให้เห็นว่าเขาทำผิดและไม่รู้จักอะไรที่เรียกว่าความรักเลย ทุกวันนี้เขาเริ่มให้สิ่งต่างๆแก่ผู้อื่น และคำขอบคุณมากมายช่างดี ผู้อื่นก็เริ่มให้แก่เขา และเขารู้สึกดีมากๆเพราะเขาไม่เคยได้รับอะไรเลย และพึ่งรู้ตัวในวันที่ได้รับพายแอ๊ปเปิ้ลจากเพื่อนคนหนึ่งมา มันมีการ์ดแนบมาและมันเขียนว่า-ขอให้อร่อยมากๆและอิ่มด้วย- เขารู้สึกดีสุดๆและหัวเราะข้อความในการ์ดที่เขียนเหมือนไม่แน่ใจว่าจะเขียนดีหรือไม่ และอาจเพราะเขาฝึกหัวเราะกับเพื่อนชายทุกวันในช่วงแรกจนติดเป็นนิสัย พายที่แสนอร่อยยังคงเป็นของชอบที่โปรดปรานของเขาจากนั้นเรื่อยมา และเขาพึ่งได้มีขนมที่ชอบก็ตอนนั้นเอง

    เมื่อเขาคิดได้แล้วว่าแต่ละคนต้องมีของที่โปรดปรานเขาก็พยายามหาสิ่งที่เธอโปรดปรานและชื่นชอบ เขาหามันอย่างเงียบๆและถามจากคนอื่นที่รู้จักเธอ เมื่อเขาพร้อมในวันหนึ่งจึงเริ่มเข้าหาเธออีกครั้ง ตอนแรกเธอไม่ค่อยตอบรับ แต่เพราะการเปลี่ยนแปลงของเขามันชัดเจนมาก เธอจึงเริ่มมองเขาใหม่ จากนั้นชายหนุ่มจึงได้เรียนรู้ที่จะรักและมีความสุข ทั้งสร้างมันขึ้นมาเองหรือเปิดรับจากผู้อื่น เขายอมให้เธอเป็นผู้นำเขาในหลายๆเรื่องแม้จะขัดใจอย่างสุดขีดในช่วงแรกแต่เพื่อนชายของเขาแนะนำว่า

    "มันดีมากนะเพื่อนเอ๋ย หากได้มีหญิงเป็นคนนำให้ในบางเรื่องของชีวิต"

    ไม่นานเขาก็เริ่มเข้าใจในความหมายของเพื่อน -บางเรื่อง- ไม่ใช่ในทุกเรื่อง เขาจึงยอมรับได้และมันทำให้เธอมีความสุข เธอสอนเขามากมายในสิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิต เมื่อเราต่างให้ใจกันแล้วเธอก็ยอมเล่าว่าเมื่อก่อนรู้สึกอย่างไรกับเขา ชายหนุ่มหัวเราะร่าแทนที่จะเคืองโกรธ ก็เพราะตอนนั้นเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ และเพราะตอนนี้เขาไม่ใช่แล้วเธอถึงยอมที่จะเล่าและเพราะเราจริงใจต่อกัน. หน้าที่ที่ต้องฝึกฝนและภาระที่หนักหนายังคงมี แต่เขามีเพื่อนมากมายที่รักและห่วงใยเขาและเขาก็ยอมเปิดรับความห่วงใยและความช่วยเหลือ เขาจึงทำมันได้เรื่อยมา ตอนนี้เขาคิดว่าเขาได้เรียนรู้มากมายนักเมื่อเปิดใจ เขามองย้อนกลับไปเป็นเวลาสิบกว่าปีที่เสียไปกับการเป็นอีกคนที่ไม่รู้จักการใช้ชีวิต แต่คิดเสียว่ามันเป็นแค่ช่วงเวลาในวัยเด็กก็แล้วกัน จากนั้นชายหนุ่มก็ดำเนินชีวิตต่อเรื่อยมา ไม่นานเขาก็แต่งงานและมีครอบครัว มันช่างมีความสุขสำหรับเขา ภรรยาที่น่ารักและดุเป็นบางครั้งทำให้เขารู้สึกปลอดภัย การได้เธอมามันเป็นเรื่องที่ดีนักเขาคิด จากนั้นเขาก็ได้มีลูก ลูกชายที่น่ารักและสวยงามสำหรับเขาและมันทำให้โลกเขาเปลี่ยนไป การมีลูกเป็นเรื่องที่ดีเหลือเกิน การเห็นภรรยาเลี้ยงดูลูกก็ดีมากเช่นกัน และยามที่เขาเล่นกับลูกชาย ภรรยาก็มีความสุขมากเช่นกัน.

    เขายังคงมีภาระและหน้าที่ที่หนักหนา ยิ่งนานวันภาระที่จะได้รับยิ่งกดดันเขา ครอบครัวเป็นที่พึ่งพาใจของเขาที่ทำให้เขามีกำลังใจ เมื่อทำงานเขาเหนื่อยล้า แต่เมื่อกลับมาเปิดประตูเข้าบ้าน กลิ่นหอมจากพายแอ๊ปเปิ้ลที่ภรรยาทำเอาไว้รอเขา เสียงของลูกที่วิ่งเล่นไปมา มันทำให้เขามีความสุข เพื่อนชายยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อเขามากๆ จนมาวันหนึ่งเขาพูดเรื่องในวัยเด็กกับเพื่อนชายถึงเรื่องแย่ๆที่เขาเคยทำ เขาขอโทษเพื่อนชาย แต่เพื่อนชายกลับหัวเราะและบอกว่าตอนนั้นเสียใจสุดๆและไม่คิดจะยุ่งด้วยอีก แต่พอเวลาผ่านจึงได้รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนไม่ดีแต่แค่ใช้ชีวิตแตกต่างออกไปเท่านั้น และเรื่องนี้มันเปลี่ยนกันได้เมื่อเติบโต เขาหัวเราะที่เพื่อนชายบอกแบบนั้น เพราะเขาเปลี่ยนจริงๆเมื่อโตขึ้น แต่มันก็เป็นเพราะเพื่อนชายคนนี้อีกที่เปลี่ยนเขา.

    เขาสอนลูกแตกต่างจากที่เขาถูกสอนมา ลูกชายของเขาฉลาดกว่าเด็กวัยเดียวกันและไม่ได้เหมือนเขาตอนเป็นเด็ก ภรรยาของเขาล้อเขาเล่นเสมอว่าหากลูกชายเหมือนเขา เธอจะต้องตรอมใจแน่นอน. ชายหนุ่มยังคงดำเนินชีวิตอยู่อย่างปกติสุข เขาเฝ้ามองลูกชายของตนเติบโตและคอยสอนลูกตนให้เป็นไปอย่างโลกที่เขามองเห็น และลูกชายของเขาเชื่อฟัง. เวลาผ่านไปดูเหมือนจะม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    จนวันหนึ่งมันเป็นวันที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวเหมือนโลกที่เขารู้จักไม่ใช่โลกใบเดินสำหรับเขา เมื่อสถานที่ที่เขาดูแลและหวงแหน สถานที่ที่พร่ำสอนและอบรมเขาให้เติบโตนั้น มันถูกโจมตี เริ่มจากใครคนหนึ่ง พวกมันเผา พวกมันฆ่า และเพราะมันเป็นการลักลอบโจมตี มันจึงทำให้ฝ่ายเขาไม่อาจเตรียมพร้อมสู้ จึงพ่ายแพ้ ทุกคนที่เหลือถูกจับให้อยู่รวมกัน มีแต่เขาคนเดียวที่ถูกจับขังอยู่ในห้องแยกเดี่ยว เพราะอะไรใครก็รู้ เนื่องจากเขาคือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ได้รับรู้และดูแลบางสิ่งบางอย่าง แต่ก็ไม่มีใครได้อะไรจากเขา. จนวันที่ทางของเขาถูกตัดขาด ใครคนหนึ่งเดินเข้ามา ดูน่าเกรงขามและแตกต่างจากพวกเขา การแต่งตัวและคำพูดจา น้ำเสียงและสำเนียงของภาษา คงจะมาจากที่ที่ไกลออกไปสินะ มาเพื่อทำลายทุกสิ่งเพราะต้องการหาสิ่งที่เล็กๆอย่างนั้นเหรอ ชายหนุ่มคิด คนคนนั้นพยายามถามชายหนุ่มถึงสิ่งที่ต้องการแต่ชายหนุ่มไม่ได้ตอบสิ่งใด ตอนนั้นเองที่คนคนนั้นรับบางอย่างจากใครอีกคนที่ดูอ่อนกว่ามาถือในมือ มันคืออุปกรณ์สื่อสารที่พวกเขาไม่ได้ใช้ หน้าจอสี่เหลี่ยมใสดำมืด และมันก็สว่างขึ้น คนคนนั้นยื่นสิ่งนั้นมาให้เขาจ้องดู ในจอสี่เหลี่ยมนั้นมีภาพผู้คนที่เหลืออยู่ พวกเขาถูกจับไว้ นั่งและเบียดเสียดกัน ในจอทุกคนเคลื่อนไหวได้ เขาคิดว่ามันคงเป็นวีดีโอ ตอนนั้นเองที่เขาเห็นภรรยาและลูกของเขา เธอกับลูกถูกพาออกมา ลูกชายของเขาไม่ร้องไห้แต่กลับกัน เด็กตัวน้อยกับโอบกอดผู้เป็นแม่ราวกับแขนเล็กๆนั่นจะปกป้องแม่ของเขาได้ พวกเขาอยู่ไกล้จอภาพที่เขามองมาก

    คนคนนั้นทักขึ้นมาว่านี่เป็นภรรยาและลูกของเขา บอกว่าเขากำลังเล่นเกมส์ที่ไม่อาจชนะ บอกว่าจะทำลายภรรยาและลูกของเขาหากเขาไม่บอกสิ่งใด เขาพล่ามออกมาเท่าที่จะนึกได้ในตอนนั้น ตัวสั่นเทาและเขาอวดครวญ เขาขอร้องสุดชีวิต เขาอ้อนวอนแทบขาดใจ แต่ไม่มีใครเชื่อเพราะนั่นไม่ใช่ความจริง ก็ถูกแล้วที่มันไม่ใช่ความจริง ไม่นานลูกชายของเขาก็ถูกดึงออกจากอ้อมแขนของภรรรยาไป เธอกรีดร้องและพยายามแย่งคืน เขาเองก็ร้องด้วยเช่นกัน ไม่นานลูกชายของเขาก็ถูกพาเข้ามาในห้องที่เขาถูกขัง เด็กน้อยเรียกผู้เป็นพ่อไม่หยุดปากและยังคงไม่ร้องไห้ ผู้เป็นพ่อเองกลับมีน้ำตาและพยายามขอร้องให้คนพวกนี้หยุดเพราะเขาไม่มีสิ่งใดจะบอกได้จริงๆ เขาพูดความจริงแล้วแต่ไม่มีใครเชื่อเขา ด้วยสิ่งที่เขาเป็นและถูกรับมอบหมาย มันคือตราที่ประทับบนใบหน้าอย่างหนึ่งว่าเขานั้นคือผู้ที่รับรู้ทุกอย่าง บางอย่างจ่ออยู่ที่ศรีษะเด็กน้อย ชายหนุ่มคร่ำครวญ วิงวอน เขาก้มหัวจนติดพื้น ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    พลันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเขาเงยหน้าขึ้นมองเห็นลูกของตนล้มลงนอน สีหน้าของเด็กน้อยเหมือนไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ตาของเด็กน้อยปิดลงข้างหนึ่ง เลือดของเด็กน้อยไหลนอง และผู้เป็นพ่อขาดใจ เขาคำรามตะโกนก้องและพยายามตะเกียกตะกายไปหาผู้เป็นลูก แต่ทำได้แค่พยายามเมื่อร่างกายเขาถูกมัดและขึงตึงอยู่อย่างนั้น ร่างของเด็กน้อยถูกเอาออกไปแล้วจอสี่เหลี่ยมถูกเลื่อนมาตรงหน้าเขา ตาเขาพล่าเลือนเพราะน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เขารู้ว่าภรรยาเขาอยู่ตรงนั้น และเธอกรีดร้องเมื่อได้รับร่างของลูกชาย เสียงกรีดร้องของเธอไม่มีสิ่งใดเทียบเท่า เธอฟุบลงซบลูกชายของเธอและเรียกชื่อของเด็กน้อย เธอยังคงกรีดร้องและเสียงของเธอควักหัวใจของเขาไป เขาไม่ได้โวยวายสิ่งใดทุกอย่างนิ่งงัน คนคนนั้นถอนหายใจก่อนบอกว่า เขาคงไม่อยากเสียภรรยาไปอีกคน ดังนั้นช่วยบอกในสิ่งที่เขาต้องการ เขาพูดออกมาไม่ได้เพราะทุกอย่างของเขาปิดตาย ไม่นานภรรยาของเขาถูกจับตัวเข้ามาในห้อง เธอเหมือนเสียสติไปแล้ว เพราะไม่แม้แต่จะมองหน้าของเขา เธอก้มหน้าอยู่และถูกกระชากดึงขึ้น เธอจึงเห็นหน้าเขาและร้องไห้เรียกชื่อของเขา เธอกรีดร้องชื่อของเขาและสายตาเธอก็เห็นเลือดที่กองอยู่บนพื้น เธอกรีดร้องและบอกว่านั่นเลือดของลูกเรา เขาเรียกชื่อเธอ แต่เสียงนั่นมันช่างเบา เธอถูกจับให้นั่ง และเขาถูกเค้นคำถามมากมาย เธอยังคงกรีดร้องและคงเพราะความรำคาญที่มี คนคนนั้นได้เดินไปหาเธอและเหวี่ยงบางอย่างใส่หน้าเธอ เธอฟุบลงไปกองกับพื้นและสะอึกสะอึ้น เขาพยายามดิ้นรนและเรียกเธอ ไม่ได้ตอบคำถามของใคร จนเมื่อเวลาผ่านไป การเค้นคำถามและทรมานก็ไม่เกิดประโยชน์ แน่นอนว่าใครก็ต้องเดาจุดจบได้ เมื่อเธอหยุดหายใจต่อหน้าเขา บางอย่างในตัวเขาก็หยุดไปพร้อมกับเธอ ร่างของเด็กน้อยถูกนำมาไว้ในห้องนี้ อยู่ไกล้ๆกับภรรยาของเขา.

    จากนั้นเขาถูกปล่อย แต่ยังคงถูกขังอยู่ในห้องนั้นพร้อมกับจอสี่เหลี่ยมเล็กที่ถูกวางไว้ข้างๆ เขาเข้าไปหาภรรยาและลูกของเขา หลายอย่างเกิดขึ้นในตอนนั้น หลายอย่างที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ สายตาของเขาเหลือบมองไปที่จอ ทุกคนถูกจับให้นั่งก้มหัวเรียงแถว และจากนั้นเสียงลั่นไกก็สนั่นหวั่นไหว ไม่จำเป็นต้องมองจออีกต่อไปเพราะภายในห้องนี้เสียงมันชัดเจนกังวานยิ่งกว่าสิ่งใด และเมื่อทุกอย่างเงียบลง เขาคำรามและตะโกนก้องออกไป. นานแค่ไหนที่เขาหลับ เมื่อตื่นจึงพบว่าตนอยู่เพียงลำพังบนดาดฟ้าสำคัญของที่นี่ เขาพยายามลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนเดินมา คนคนนั้นมาพร้อมกับคนของมัน คนของมันล้อมเขา สองคนจับเขาและเขาสิ้นเรี่ยวแรงจะขัดขืน คำถามมากมายยังคงมีจากมันคนนั้น เขาจ้องมัน และมันจ้องเขา เขาเอ่ยบางสิ่ง มันคือการทวงคืนเพื่อล้างแค้น-วันใดวันหนึ่งจากนั้น สีหน้าของมันมีความเครียด ก่อนจะบอกว่าเขาไม่มีทางได้ไปไหนเพื่อกลับมาล้างแค้น และต่อให้กลับมา คนอ่อนแออย่างเขาไม่มีปัญญาที่จะสามารถทำอะไรแบบนั้น เขาคำรามและถูกต่อยทันที คนคนนั้นยกมือห้าม และทุกคนถอยออกมา บางอย่างจากบนฟ้ากำลังมา มันคือเสียงของเครื่องบิน ขนาดของมันไม่ใหญ่มาก ตอนนั้นที่คนคนนั้นเอ่ยขึ้น บอกว่าเขาเป็นเพียงเรื่องเล็กที่ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก และเขาพบเจอเรื่องที่ยุ่งยากกว่านั้นมาแล้ว อย่าสำคัญตนผิดให้มาก เขายืนเคว้งคว้างตอนเครื่องลงจอดบนดาดฟ้น เสียงลมสนั่นและบดบังเสียงอื่น เขาหันมองรอบตัว มองเบื้องล่าง ทุกที่ยังคงมีควันลอย บางจุดยังคงมีเปลวไฟ มันกำลังเผาและมอดไหม้ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่กว้างใหญ่ มันเป็นเพียงเมืองเล็กๆที่อยู่ห่างไกล เมืองที่มีคุณค่าต่อหลายสิ่งหลายอย่าง เมืองของความรู้ เขาคิดอย่างนั้นน้ำตาก็ไหลริน ความคิดถึงมากมายก่อตัวขึ้น ตอนนั้นทุกอย่างกำลังเคลื่อนไหว ทุกคนกำลังขึ้นไปที่เครื่องบินลำนั้น สองสามคนกำลังเดินมาที่เขา และเขาใช้พลังกายสุดท้าย ออกแรงเพื่อหนีให้รอดจากคนที่มาห้อมล้อมเขา แค่ไม่ให้โดนแตะตัวแค่นั้น เขาคิด เสียงของมันคนนั้นตะโกนก้อง.. เมื่อเขากระโดดลงจากที่สูง และดิ่งลงสู่เบื้องล่าง
    "
    ..................

    นั่นน้ำตาเหรอที่ไหลริน
    ไม่คุ้นเลยจริงๆเหมือนพึ่งได้รู้จักว่านั่นคือน้ำตา เหมือนพึ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองนั่งอยู่บนพื้น และผมก็ไม่ได้คิดจะลุกขึ้น ตอนนี้มันไม่มีเสียงของเธอแล้ว.. เธอคงเล่าจบแล้วสินะ ผมเงยหน้าไปมองเธอ เธอมองหน้าผมสีหน้ายังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านี้ และเธอลุกขึ้นจากเตียงเดินมาหาผม เธอนั่งลงตรงหน้าและยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้ผม ผมไม่ขัดขืน มันเหมือนเป็นการต่อชีวิตที่เธอทำอย่างนั้นให้ผม เธอดึงผมไปกอดไว้ และผมก็ได้อยู่ในอ้อมกอดเธอหลังจากนั้นผมปล่อยโฮ.. ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมกอดเธอแน่นและเธอก็กอดผมไม่ปล่อยเช่นกัน เธอลูบศรีษะผม มันช่างอ่อนโยน ร่างกายของเธอมันเล็กเพียงนิดเดียว แต่พื้นที่ช่างกว้างใหญ่นัก ตอนนี้เราสองเหมือนสลับที่กันเมื่อเด็กสาวต้องมาปลอบใจผู้ที่แก่กว่า ผมเงยหน้าขึ้นมองเธอ และได้เห็นว่าเธอก็มีน้ำตาเหมือนกัน แค่ไม่ได้ไหลออกมา เธอก้มลงมองหน้าผม

    "ฉัน.. ยอ..มแพ้ ...." ในที่สุด ผมก็พูดออกไป และมันไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างในความฝัน ภายในปากของผมมีบางอย่างที่มีปัญหาเพราะการไม่ได้พูดสิ่งใดมานาน เสียงของผมก็เช่นกัน เธอบอกให้ผมหายใจช้าๆและยื่นยาเม็ดเล็กๆหนึ่งเม็ดให้ผมอมไว้ในปาก ผมรับมาอย่างง่ายดายโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม มันทำให้ผมรู้สึกดีภายในลำคอและที่ลิ้น ผมรู้สึกขอบคุณเธอในใจ แม้ตอนนั้นจะมีคำถามมากมายอยู่ในหัวเกี่ยวกับเธอ แต่ผมก็เลือกที่จะเก็บเอาไว้และ รอก่อน

    "คุณไม่ได้แพ้สิ่งใด ไม่ต้องบอกว่ายอมแพ้ การที่คุณพูดไม่ได้แปลว่าคุณแพ้อะไรเลย แต่มันหมายถึงคุณกำลังกลับมาเป็นตัวคุณเอง ตัวตนของคุณที่ถูกหลงลืมไป แค่ต้องช่วยให้จำน่ะ นั่นมันไม่ดีเหรอ?" เธอบอก และจับไหล่ผมแน่น จ้องหน้าผมเหมือนออกคำสั่ง ผมส่ายหน้าช้าๆเหมือนจะบอกว่าไม่ดีหรอก หรือจะบอกว่าไม่รู้ก็ได้เหมือนกัน

    "คุณไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องการ... ใช่มั้ย?" เธอถามผม ผมมองหน้าเธอทันที

    "ใช่.." ผมบอกเธอ คำๆเดียวที่ยากจะเปล่งเสียงออกมา แต่เธอกลับยิ้ม

    "ไม่เป็นอะไรนะ"

    "เป็นสิ มันเป็นแน่นอน!" ผมขึ้นเสียงโดยไม่มีเหตุผล ดูเธอจะตกใจ ผมจึงถอยห่างจากเธอเพราะกลัวเธอจะโดนทำร้าย แต่เธอกลับเข้าหาผม

    "ฟังนะ เขาจะเชื่อฉัน" และผมนิ่งไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอเองก็ถูกส่งมา เหมือนสี่คนก่อนหน้านี้ที่เคยถูกส่งมา มันง่ายมากที่ความไม่พอใจจะพุ่งเข้าสู่ตัวผม เธอเห็นแล้วกลับถอนหายใจแทนที่จะกลัว

    "ไม่เอาน่า..." เธอทำหน้าขอร้อง "อย่าพึ่งโมโหอะไรเลย ที่ผ่านมาคุณหลอกเขาว่าคุณรู้และมี และสามารถทำในสิ่งที่เขาต้องการได้ แต่จริงๆมันไม่มี.." เธอเอียงคอเชิงถาม "คุณเคยบอกเขาตอนที่จนมุม แต่เขาไม่เชื่อ และนั่นทำคุณเสียใจและเคียดแค้น การที่คุณหนีมันยิ่งตอกย้ำว่าคุณนั้นมีบางอย่างจริงๆ การที่คุณกลับมาแก้แค้นและถูกจับได้ การที่คุณกลายเป็นคนไม่พูดก็เหมือนกับว่า คุณมี แต่จริงๆแล้วมันไม่มี และการที่ไม่พูด มันคือการรักษาชีวิตตนเองเอาไว้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรคุณ เพราะมันมีคุณคนเดียวและมันเหลือเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่เขาคิดว่า รู้" ตอนนั้นเธอลุกขึ้นและเดินไปยืนตรงกลางห้อง

    "ฉันไม่ใช่ทั้งนักบำบัดหรือนักพูดอะไรหรอก" เธออ้าแขนเหมือนสารภาพความผิด "และไม่ใช่คนที่จะมาล่อลวงหรือทำร้ายจิตใจคุณ" เธอชี้มาที่ผม "แต่ฉันมาทำตามสัญญาน่ะ" เธอก้มหัวให้ผมเป็นการขอโทษ "นิทานเหล่านั้นมันไม่ได้สำคัญมากมายอะไรหรอก แต่มันสำคัญสำหรับการเรียกให้คุณกลับมา เพราะคุณนั้นหลงลืมตนเองในเวลาเก่าเพราะอดีตมันเจ็บปวด มันทำให้คุณป่วยและช็อค และมันอาจทำให้คุณใช้ชีวิตอยู่ต่อไม่ได้นั่นหมายถึงคุณจะแก้แค้นไม่ได้จึงลบความจำตนเอง และบังคับตนเองให้จำได้แค่ว่าต้องทำอะไร ทำเพราะอะไรและเพื่ออะไร ฉันจึงเล่า เล่าเรื่องราวของคุณ เพื่อให้คุณจำได้ มันทรมานฉันรู้และฉันเสียใจ แต่มันดีกว่ามั้ยที่คุณรู้สึกอยู่ในตอนนี้กับก่อนหน้านี้ มันแตกต่างกันหรือไม่" เธอถามผม

    "เธอมา เพื่อปลดปล่อยฉัน" ผมพูด

    "ใช่ ฉันมาเพื่อปลดปล่อยคุณ แต่การจะปลดปล่อยใครสักคนหนึ่ง ก็ต้องรู้ด้วยว่าเขาเป็นใคร และจะปลดปล่อยเขาจากอะไร และอะไรที่มันผูกมัดเขาไว้" เธออธิบาย

    "แล้วเธอคิดว่ามันจะปล่อยฉันที่ไม่มีอะไรให้มัน โกหกมัน และทำให้มันเสียเวลาและยังอยากที่จะฆ่ามันงั้นเหรอ?" คำถามมากมายออกจากปาก บางคำผมก็พูดไม่ชัดแต่เธอคงฟังออก

    " ใช่ " เธอตอบชัดคำ หนักแน่นพร้อมพยักหน้า "เขาจะปล่อยคุณ" เธอเสริม

    "ทำไมเธอถึงมั่นใจ เธอยังไม่รู้จักความชั่วช้าของมัน" ตอนนั้นเองที่ผมนิ่ง คิด "หรือเธอรู้จักมัน?" ผมถามเธอและหวาดหวั่นใจ เธอยืนนิ่งและไม่ไหวติง สีหน้าเรียบเฉย

    "ฉันจัดการเรื่องนั้นก่อนมาหาคุณแล้ว คุณจะไม่เป็นอะไร" เธอตอบคำถามผมไม่หมด

    "เธอ รู้จักมันเหรอ?" ผมถามอีกครั้ง

    "ใช่ ฉันทำงานให้เขา..." ยังไม่ทันจบประโยค ผมก็เข้าหาเธอ แม้ว่าเธอจะไม่แสดงสีหน้าตกใจ แต่เธอก็ดูไม่อยากให้ผมทำอย่างนี้ ผมจับแขนเธอและบีบมัน แต่ก็แค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดต่อดี ผมหายใจแรงเหมือนกำลังระบายความผิดหวังออกมา เธอเอามือแตะมือผมที่จับแขนเธออยู่

    " ใช่ " เธอพูดอีกครั้ง "แต่เป็นในรูปแบบการใช้หนี้น่ะนะ.." แล้วเธอก็ยิ้มเหนื่อยหน่ายให้ผม ผมปล่อยมือจากแขนของเธอ แล้วยื่นมันไปที่ดวงตาข้างซ้ายของเธอ ผมแตะมันเบาๆ เธอไม่ได้หนี

    "มันเกี่ยวกับฉันมั้ย? เจ้ารอยนี้ เธอได้มายังไง" ผมถามเธอ

    "มันเป็นวิถีของฉันน่ะ ฉันมีอะไรแบบนี้ประจำแหละ" เธอตอบและเหมือนไม่ใส่ใจมันจริงๆ

    "มันทำเหรอ?" ผมถามเธอ เธอจับมือผมออกจากตาของเธอ และพยักหน้ารับ

    "ใช่ ฉันไม่โกหกหรอก ก็ยอมรับ แต่มันเป็นเรื่องปกติเพราะฉันเองก็ทำให้เขาเดือดร้อนและมีปัญหากวนใจในอีกรูปแบบหนึ่งน่ะ ก็ถือว่าแลกเปลี่ยนกัน ที่จริงคุณไม่ต้องสนใจหรือใส่อารมณ์กับมันหรอก มันเป็นแผลของฉันนะ" เธอทำหน้าตาหงุดหงิดและผมชอบใจ

    ตอนนั้นเองที่กำแพงกระจกถูกเลื่อนขึ้น มันถูกดึงเลื่อนขึ้นพร้อมกันสิบสามแผ่น เหลือสองแผ่นสุดท้ายที่กั้นห้องของผม เธอหันไปมองแล้วสบทไม่พอใจ ผมเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินมา และในตอนนั้นเองที่ทุกอย่างดึงผมให้ย้อนกลับไปสู่เรื่องราวที่ฝังใจ ผมตัวสั่นและกล้ามเนื้อเกร็ง เมื่อเห็นมันคนนั้นกำลังเดินมาพร้อมกับคนของมัน พวกเด็กเหลือขอ ผมสบทใส่พวกนั้น เธอมองหน้าผม และยื่นมือมาจับแขนผม เลื่อนไปที่มือของผม เธอทำปาก ชู่วว ใส่ผม ผมผ่อนคลายลงและอาจหัวเราะออกมาหากไม่ใช่ตอนนี้ เธอพูดกับมัน

    "ก็อย่างที่คุณเห็น และได้ยิน" เธอบอกมัน ฟังจากน้ำเสียงที่เธอใช้ เขารู้สึกได้ว่าเธอไม่ได้เคารพมันหรือกลัวมันหรือแม้แต่อ่อนน้อมว่าเป็นคนที่ต่ำกว่า รวมทั้งท่าทางที่แสดงออก ส่วนตัวผมเองกำลังต่อสู้กับตัวเองเพื่อควบคุมให้มันนิ่ง เมื่อนิ่งสิ่งต่างๆที่รับรู้จะชัดเจนขึ้นผมบอกตัวเองอย่างนั้น. มันพยักหน้ารับเธอ

    "คุณจะทำตามสัญญา" เธอบอกมัน และมันนิ่ง ไม่ไหวติงเหมือนสิ่งไม่มีชีวิต ผมยังคงจ้องมองมันอย่างกระหายที่จะเห็นมันหลั่งเลือด

    "เสร็จงานของเธอแล้ว กลับออกมาซะ" มันพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจตีความหมายใดอย่างเคย พร้อมกับมองหน้าผม ผมไม่อาจคาดเดาว่ามันคิดสิ่งใดจากสีหน้านั้น จากนั้นกำแพงกระจกแผ่นที่กั้นห้องของผมก็ถูกเปิดดึงขึ้น. แบบนี้มันท้าทายผม เพราะผมก็สามารถออกไปพร้อมกับเธอได้ มันลองใจผม เธอหันมามอง และตบไหล่ผมเบาๆ

    "คุณจะไม่เป็นอะไรนะ" น้ำเสียงที่อ่อนโยน จริงใจจนหาข้อสงสัยไม่ได้ เธอดูกังวลและผมยังไม่อยากให้เธอไป ผมทำสีหน้าที่แสดงออกว่า อย่าไปเลย และเธอเข้าใจผม

    "ฉันไม่เป็นอะไรหรอกนะ ฉันต้องออกไปและจัดการเรื่องของคุณต่อไงล่ะ"

    "แล้วเราจะเจอกันอีกมั้ย?" ผมถามเธอทันทีโดยไม่ต้องคิดสิ่งใดเลย เธอยิ้มและพยักหน้า

    " อื้ม " เธอบอกแค่นั้นและเดินออกไป แต่แล้วผมก็ดึงแขนเธอไว้ เธอหันมาตามแรงดึง ครู่หนึ่งผมเห็นสีหน้าของมัน มันไม่พอใจที่ผมทำอย่างนั้นและเด็กเหลือขอของมันก็เช่นกัน เธอเรียกชื่อผม ผมฟังจากนั้นผมบอกเธอ มันช้าเกินไป.. มันสายไปสำหรับฉัน เธอทำหน้าเศร้าแล้วเดินเข้ามาหาผม เขย่งเท้ามาที่หูของผม ผมย่อตัวให้เธอเล็กน้อย

    รู้อะไรหรือไม่ ฉันนี่แหละ คือสิ่งที่สายไปแล้วเสมอมา ดังนั้นอย่าท้อใจหากมันจะสายไปจริงๆ จงไปตามทางที่เวลาเล็กน้อยของคำว่า สายไปแล้ว จะพาไปเถอะนะ อย่าเดินสวนทางมัน เพราะมันจะทำให้คุณเหนื่อยในเวลาที่เหลือ... คุณต้องยอมรับ

    เธอกระซิบบอก และผมปล่อยเธอจากไป ก่อนที่กำแพงกระจกจะเลื่อนลงมาถึงพื้น กำแพงกระจกอีกแผ่นที่กั้นเธอไว้กับพวกมันก็ถูกเปิดดึงขึ้น พวกเด็กเหลือขอเข้ามารับเธอสองคน ผมไม่เคยเห็นเด็กพวกนี้ พวกนี้ไม่ใช่พวกเด็กเหลือขอในวันนั้นที่บ้านเก่าของผมถูกพังทลาย เธอถูกจับแขนข้างหนึ่งโดยเด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้ม ผมเดินเข้าประชิดกำแพงกระจกทันที แต่แล้วจึงเห็นว่ามันคือการประคองเธอ เธอหันมามองและยิ้มให้ผม เธอดูเศร้าหมองเหลือเกินในตอนนั้น

     ..
    ไม่นานหลังจากเธอจากไป ผมก็ถูกปล่อยตัว มันเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงเมื่อมีเสียงของเธอเข้ามาในห้อง เสืองเหมือนผ่านลำโพงตัวเล็กสักตัวแต่ผมมองหาก็ไม่อาจเจอ แต่ก็ทำความเข้าใจได้ เธอให้ผมยอมทำตามทุกอย่างที่พวกมันอยากให้ทำ ผมถามคำถามมากมายแต่เธอไม่ได้ตอบเหมือนกับว่าเธอไม่ได้ยินและแค่พูดฝากเสียงเอาไว้.

    กำแพงกระจกทั้งหมดถูกเลื่อนขึ้น ผมลุกขึ้นยืนและเดินออกไป มันไม่ได้ยากแต่ก็ไม่ได้ง่ายนักสำหรับผม การเดินไกลกว่าการเดินภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กนี้ดูช่างแปลก ผมหันมามองห้องสี่เหลี่ยมนั้น สีขาวของมันดูหม่นหมอง หรือก็คือผมเองที่หม่นหมอง. ระยะทางที่ไม่ไกลแต่ก็ดูเหมือนไกล การเดินแต่ละก้าวให้ความรู้สึกเหมือนบางอย่างจากผมค่อยๆร่วงหล่นทีละเล็กทีละน้อย ผมหันไปมองข้างหลังเป็นบางครั้งราวกับจะหาเศษที่ร่วงหล่นนั่น แต่ก็ไม่มีอะไร ขาของผมเดินไม่ค่อยถนัดนัก นี่ก็ไม่แปลกอะไร เมื่อถึงลิฟท์ประตูก็เปิดออก แต่คนที่ออกมาไม่ใช่พวกที่เคยออกมาเพื่อทำลายผม เด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้มเพียงคนเดียว ตอนนั้นเสียงของเธอก็คอยย้ำเตือนผมเสมอๆ มันไม่มีความโกรธหรือเดือดดาลอะไรทั้งนั้น ผมเดินเข้าไปในลิฟท์ช้าๆ ยืนข้างเด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้ม เด็กหนุ่มไม่ได้ทำสีหน้าดุร้ายหรือไม่พอใจเขา เด็กหนุ่มยืนเอามือไพล่หลังและมองมาเป็นครั้งคราวราวกับจะตรวจสอบว่าผมยังอยู่ดี ภายในลิฟท์ไม่มีการบอกว่าอยู่ชั้นที่เท่าไหร่ และกำลังขึ้นหรือลง แต่ถ้ามันเป็นการปล่อยตัวมันก็ต้องเป็นลงข้างล่าง แต่ความคิดหนึ่งก็คอยถามผมเสมอ ผมจะถูกปล่อย จริงๆน่ะเหรอ และผมไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงทำแบบนั้น แต่ผมถามออกไป เสียงฟังดูตลกนักแต่มันก็ต้องใช้เวลา

    "เธออยู่ที่ไหน" ผมถามเด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้ม เด็กหนุ่มแค่ชำเลืองตามามองโดยที่ไม่ได้หันมา

    "ยังอยู่" เด็กหนุ่มเหลือขอ ตอบไม่ชัดเจน ผมจึงถามต่อ

    "จะได้เจอเธออีกมั้ย?" เด็กหนุ่มเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้มหันมามองจ้องผมตรงๆแล้วในคราวนี้

    "ขึ้นอยู่กับว่านายจะทำตัวอย่างไร" เด็กเหลือขอตอบกลับมา ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมคงต้องเป็นคนที่เรียบร้อย และเชื่อฟัง ผมถามเด็กเหลือขออีกครั้ง

    "เธอเป็นยังไงบ้าง?" เด็กเหลือขอฟังผมแต่ไม่ได้หันมามอง เขาถอนหายใจก่อนจะพูดว่า

    "นายดูไม่ออกจริงๆน่ะเหรอ" ก่อนจะหันมามองผม

    "เธอ.. ดูไม่ค่อยแข็งแรง"

    " ใช่ " เด็กเหลือขอตอบในทันที

    "เธอเป็นอะไรเหรอ?" และในตอนนั้นที่ลิฟท์เปิดออกและเด็กเหลือขอผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มก็ไม่ตอบกลับสิ่งใด และเหมือนจะไม่สนใจที่จะตอบกลับผมอยู่แล้ว ผมก้าวออกมาจากลิฟท์ สู่ชั้นล่างของตึก มันโล่งมากไม่มีสิ่งใด ไม่มีผู้คน คล้ายโรงแรมร้างที่ไม่ได้ร้างเพราะทุกอย่างสะอาดและใหม่ ผมเดินตามผู้ที่เด็กกว่าอย่างเร่งรีบและว่าง่าย ตอนนั้นเหมือนผมจะลืมบางสิ่งบางอย่างไป จากนั้นสายตาของผมก็ได้เห็นแสง แสงแดดจ้าที่ส่งผ่านประตูกระจกเข้ามา ผมต้องหยีตาโดยทันทีก่อนจะเดินออกประตูนั้นพร้อมเด็กเหลือขอ ผมหยุดชะงักเป็นทีๆเหมือนหวาดกลัวแสงแดด เด็กเหลือขอหันมามองผม

    "เธอรออยู่" เขาบอกแบบไม่จริงจัง แต่มันก็พอมีหวังให้ได้ก้าวออกไป ทันทีที่ร่างกายโดนแสงแดด ความร้อนวูบก็คือสิ่งที่รู้สึก ต่อมาความรู้สึกถึงชีวิตก็เริ่มสัมผัสได้ ผมลองเงยหน้าสู้แดดและหายใจลึกเข้าเต็มปอดเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี กลิ่นอากาศภายนอกมันช่างดีเหลือเกิน และผมรู้สึกได้ว่าแสงแดดของที่นี่ร้อนแรงเกินไปหรือเพราะผมไม่ได้สัมผัสแสงแดดมาเป็นเวลานาน ก่อนจะขึ้นรถยนต์สีดำที่จอดรอ ผมหันมามองตึกสูงที่ผมเคยอยู่ เงยหน้ามองขึ้นไปแต่ละชั้นหน้าตาเหมือนกันเมื่อมองจากภายนอก ผมเคยอยู่ชั้นที่เท่าไหร่นะ

    " 18 " และผมหันไปตามเสียง

    "คุณเคยอยู่ชั้นที่ 18 ถ้าอยากรู้นะ" เธอยิ้มให้ผม แล้วผมก็ยิ้มให้เธอ ตอนนั้นความดีใจและความหวังเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกได้ เธอนั่งอยู่ในรถและชะเง้อหน้าออกมาตอนที่ประตูรถเปิด เธอยังใส่ชุดเดิมจากเมื่อช่วงเช้า

    "ขึ้นมาสิ" เธอบอก และผมก็ขึ้นไป ผมได้นั่งข้างเธอ ส่วนเด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้มหายไปแล้ว อาจจะนั่งข้างหน้าก็เป็นไปได้ ประตูถูกปิดโดยคนที่ผมไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้า

    "เธอมารับฉันเหรอ"

    "ใช่ โทษทีที่ไม่ได้ขึ้นไปรับ ฉันอยากรู้ว่าคุณจะเชื่อฟังหรือเปล่า" เธอยิ้ม "แล้วก็คือ ฉันขี้เกียจน่ะ" ผมหัวเราะ มันอาจฟังดูแปลกๆแต่นั่นคือเสียงหัวเราะนะ ผมมั่นใจ ครั้งนี้รถที่ผมนั่งมองเห็นได้ทั้งสองข้างทาง จึงได้รู้ว่าผมอยู่ประเทศอะไร ด้วยภาษาและข้อความต่างๆตามป้าย เธออธิบายนั่นนี่และชี้ทุกๆอย่าง ผมมองดูและรับฟัง เธอทำทุกอย่างเหมือนทุกอย่างนั้นปกติดี เหมือนผมเป็นคนปกติที่ไม่เคยถูกกักขัง เหมือนผมเป็นเพียงคุณลุงที่มาท่องเที่ยวและเธอเป็นไกด์นำทางที่คุยเก่ง ชั่วขณะหนึ่งผมก็รู้สึกเช่นนั้น แต่มันก็แค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

    มีคำถามมากมายที่ผมอยากจะถามเธอ แต่เชื่อเถอะว่ามีบางอย่างที่ทำให้ผมไม่ได้ถามออกไป อาจเพราะสิ่งนั้นไม่ควรเอ่ยออกมาหรือพูดออกมา บางทีผมควรเก็บมันไว้ บางทีมันอาจดีต่อเธอ แต่อย่างน้อยผมก็ได้รู้จักชื่อเธอและนั่นทำให้รู้สึกดี เธออายุ 22 ปี ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าเธอน่าจะอายุ 18 - 20 ปี เธอถามอายุของผม ผมบอกเธอและเธอเรียกผมว่า น้า ไม่ใช่ ลุง ผมหัวเราะ. พอถึงจุดต่างๆหรือสถานที่ที่เธอเคยมาหรือชอบเธอจะบอกผมด้วยความตื่นเต้น และผมจดจำมัน. ผมถามเธอว่าเราจะไปไหนกัน เธอบอกว่าไปที่พักแห่งใหม่ เป็นโรงแรมในเครือของพวกนั้น ผมพยักหน้ารับและนิ่ง ไม่มีสิ่งใดพลุ่งพล่านเลย เธอแตะมือผม ผมมองหน้าเธอบอกว่าไม่เป็นไร.

    และเมื่อถึงที่หมายผมลงจากรถโดยมีเธออยู่ข้างๆตลอด ผมถามว่าเธอจะอยู่ที่นี่ด้วยไหม เธอพยักหน้า ตอนนั้นที่ผมเห็นเด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้ม เด็กหนุ่มเดินนำไป ตามด้วยเธอและผม และอีกสองสามคนที่ผมไม่รู้จัก ผมเดินอย่างระแวดระวัง สายตาของผมมองไปทุกๆที่โดยไม่จับจ้องที่ใด ที่นี่เป็นโรงแรมระดับห้าดาว สวยงามและสะอาดมากๆ พนักงานโรงแรมต้อนรับเด็กเหลือขอคนนั้นด้วยท่าทีแทบจะถวายชีวิต จากนั้นเราเดินไปขึ้นลิฟท์ แน่นอนว่าลิฟท์ของที่นี่ปกติ มีแผงปุ่มกดเช่นลิฟท์ธรรมดาทั่วไป เรากำลังขึ้นไปชั้นที่ 6 เมื่อถึงที่หมายแล้วเราก็ออกเดินไปสู่ห้องหมายเลข 614 เมื่อเปิดประตูเข้าไป เด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้มก็อธิบายว่าทำอะไรได้บ้างและไม่ได้บ้าง จากนั้นผมก็เดินเข้าสู่ห้องที่กว้างขวางและโอ่อ่า มันดูแปลกสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กมาหลายปีโดยไม่เคยออกไปไหน ผมถามเธอว่าจะพักห้องไหน เธอหัวเราะและบอกว่า ก็ห้องนี้ไง เธอบอกว่ามีการตกแต่งเพิ่มใหม่นิดหน่อยมีเตียงของเธออยู่ไกล้ๆเตียงของผม อย่างน้อยเธอก็ยังอยู่ แค่นี้ผมก็ยังมีหวัง ตอนนั้นผมขอบคุณเธอ เธอบอกว่าไม่เป็นอะไร เธอขอตัวเพื่อคุยกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม ผมแอบดู พวกเขายืนคุยกันเบาๆ ดูไกล้ชิดกันมากกว่าหญิงชายทั่วไป พวกเขาอาจเป็นมากกว่านั้นแต่ก็ไม่ใช่ บางอย่างบอกแค่ว่าพวกเขาสนิทกัน ดูจากสีหน้าเด็กเหลือขอที่มองเธอมีแต่ความกังวลใจและไม่สบายใจ ส่วนสีหน้าของเธอมีแต่ตลกขบขันและยิ้ม จริงๆแล้วผมพึ่งได้เข้าใจ มันเป็นนิสัยของคนแบบเธอเรื่องยิ้ม มันคือลักษณะและท่าทางที่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเวลาพูดหรือเล่า แต่นั่นมันก็ดี เด็กหนุ่มเหลือขอตบไหล่เธอเบาๆ เธอพยักหน้ารับและจากมา เด็กเหลือขอออกไปแล้ว เธอเดินมาหาผมแล้วบอกว่าจะนอนหลับพักผ่อนก่อนก็ได้ ไม่มีอะไรรบกวนผมแน่นอน และเธอยังบอกอีกว่าจะมีเสื้อผ้ามาให้ผมเปลี่ยน ผมถามเธอ

    "เด็กเหลือขอคนนั้น ที่ผมสีน้ำตาลเข้ม.. เขาเป็นใคร" เธอหัวเราะก่อนตอบว่า

    "เขาเป็นคนสนิท.. อืมก็ไม่เชิงนะ" เธอทำท่านึก "แต่ถ้าเป็นเรื่องประมาณนี้จะถือว่าสนิทของเขาคนคนนั้นน่ะ" เธอบอก

    "แล้วเธอสนิทกับเด็กเหลือขอนั่นเหรอ?" ผมถามเธอ

    "อืมม ฉันไม่ได้สนิทใจกับใครทั้งนั้นนะ ทุกอย่างที่ทำต่อกันคือมิตรภาพน่ะ เราจำเป็นต้องยื่นมิตรให้กันจากใจเพื่อสิ่งที่ต้องทำร่วมกัน อ้อแล้วถ้าจะคิดว่าเขาเป็นแฟนของฉันล่ะก็ ไม่ใช่เลยนะ" แล้วเธอก็หัวเราะราวกับว่ามันตลกมาก เธอไม่ได้โกหก แล้วผมก็ดันไปถามเธอต่อว่า

    "แล้วเธอมีคนรักหรือเปล่า?" เธอนิ่งไปแล้วผมรู้สึกผิด "ไม่เป็นอะไร ฉันขอโทษที่ถามเรื่องส่วนตัว"

    " มี " เธอตอบ "แต่มันก็แค่ เคยมีน่ะ เขาเป็นคนไม่ดีมากๆ และอยู่ในที่ที่ไกลออกไปกับทำเรื่องไม่ดีต่อไปตามประสาของเขา แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะเลวหรอกนะ เขาเป็นคนดีในแบบของเขา แต่เขาทำให้ฉันร้องไห้ทุกวัน ฉันเลย หนี" เธอย้ำคำว่า หนี "จากเขามา ช่วงแรกก็ปัญหาเยอะแยะ เพราะเขาดุร้ายมาก คนคนนั้นที่คุณเกลียดน่ะ ไม่ได้เทียบเท่าต่อความร้ายกาจที่คนรักของฉันมีหรอกนะ" เธอยิ้มเหนื่อยหน่ายและหลุบตาลงต่ำ ผมนิ่งเงียบไปและคิดอะไรต่อจากนั้นเกี่ยวกับที่เธอเล่ามา

    "ถ้างั้น ทำไมเธอถึงเลือกคบกับเขาทั้งที่เขาไม่ดี และตอนนี้เธอเลิกกับเขาแล้วเหรอ?"

    "ความรักมันก็เป็นแบบนี้แหละ บางครั้งมันก็ทำร้ายเรา บางครั้งมันก็เลือกไม่ได้เพราะรักไปแล้ว.. อืมมม คงอย่างนั้น คนอย่างพวกเราไม่ใช้คำว่าเลิกกันเท่าไหร่ จากก็คือจากกันมาไม่เจอกันอีกน่ะ" เธอตอบผม จากนั้นมีเสียงบางอย่างดังขึ้น และเธอออกเดินไปที่ประตู จากนั้นเดินกลับมาพร้อมกล่องสีน้ำตาลและถุงใสมีเสื้อผ้าข้างใน เธอบอกว่าก่อนจะไปรับผมเธอได้ขึ้นมาเตรียมของสำหรับผมไว้หมดแล้วในห้องน้ำ ส่วนของของเธอมีไม่มากนัก

    "ฉันก็เคยรักกับคนที่ดีนะ ดีมากๆเขาเป็นหมอที่รักษาฉันน่ะ แต่..เขาก็ตายไปแล้ว" อยู่ดีๆเธอก็พูดขึ้นมา ผมนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง อาจจะตกใจเล็กน้อย ก่อนจะถามเธอว่า

    "เธอไม่ค่อยแข็งแรง..."

    "ใช่แล้ว" เธอตอบพร้อมกับหัวเราะ

    จากนั้นเธอก็บอกให้ผมไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมลุกขึ้นและทำตามโดยดี และระหว่างที่อาบน้ำผมไม่ได้ยินเสียงเธอเลย จึงตะโกนถามและเรียก เธอก็ขานรับ ผมจึงค่อยสบายใจ ทำไมนะผมคิด มีมากมายหลายคำถามแต่กลับเอ่ยออกมาไม่ได้ในสิ่งที่อยากถาม. เมื่อผมทำความสะอาดร่างกายเสร็จ และเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เธอก็ชมผมว่าดูดีขึ้นมาก เธอนำเสื้อผ้าเก่าของผมไปใส่ถุงใส ผมถามว่าเธอไม่อยากอาบน้ำเหรอ เธอหัวเราะแล้วผมก็เขิน เธอบอกว่าตนอยู่ในชุดที่เหมาะสมแล้วก็ยังไม่ร้อน เธอบอกว่าจะพาผมไปพักผ่อน ผมแปลกใจเลยลองตัดสินใจถามเธอว่าทำไมอะไรๆถึงดูง่าย ทั้งที่เรื่องราวที่ผ่านมามันช่างยากเย็นจนชีวิตผมแทบจบลง เธอหยุดชะงักทันทีก่อนจะทำหน้านิ่ง ไม่พอใจเหรอผมคิด

    "มันไม่ได้ง่ายนะ ไม่มีอะไรง่ายเลย กับการทำให้คุณได้มาอยู่ตรงนี้" เธอพูดจริงจัง ไม่ยิ้ม และน้ำเสียงที่พูดดุกว่าเดิม ผมเลยคิดว่าบางทีเธออาจไม่ใช่เด็กสาวที่สามารถเล่นด้วยได้ตลอด

    "มีอะไรที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับเธอเพราะฉันหรือเปล่า?" ผมถามเธอ

    "ฉันคือสิ่งที่เลวร้ายอยู่แล้ว.." เธอมองผม ผมเดินเข้าหาเธอและไม่รู้จะทำอะไร เธอเงยหน้ามองผม

    "เธอไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเลย สำหรับฉัน"

    "ก็เพราะคุณ พึ่งได้พบเจอฉันไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ และก็เพราะฉันพยายามทำให้มันดี ในเมื่อฉันพยายามคุณก็ต้องพยายามนะ"

    ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่มือของผมจะยื่นไปสัมผัสคอของเธอ เธอก็ยื่นมือมาจับมันแล้วบอกว่า

    "แต่ตอนนี้เราต้องคุยกันก่อน"

    เธอกับผมนั่งคนละเตียง เธอถามผมถึงความรู้สึกที่มี และผมตอบกลับไป ถามอีกว่าอยากทำอะไร ผมตอบกลับไป จากนั้นเธอถามผมว่าอยากกำจัดคนคนนั้นอยู่ไหม ผมเงียบไป ก่อนจะคิดได้ว่า หากเป็นแต่ก่อนคงตอบทันที แต่ตอนนี้บางอย่างของผมได้แตกหักไปแล้วก่อนหน้านี้ หรือนานกว่านี้ไม่อาจแน่ใจ ผมมองดวงตาของเธอ ตอนนี้มันกลายเป็นดวงตาคู่นั้นที่ผมเห็นในความฝันไปแล้ว และผมไม่อาจโกหกจึงบอกเธอ ว่าแค่อยากให้มันตาย แต่คงไม่มีวันทำเองได้ เธอพยักหน้าเหมือนพอใจในคำตอบนั้นก่อนจะบอกว่า มันคนนั้นจะตาย แต่ไม่ใช่จากคุณ เธอพยักหน้ามั่นใจให้ผม และไม่รู้ทำไมผมถึงเชื่อคำๆนั้นจากเธอ ผมรู้สึกสบายใจเหมือนยกบางอย่างที่แบกไว้ออกไป ยกไปให้ใครสักคน คนที่จะทำให้มันคนนั้นตาย ผมเชื่อเธอเพราะเธอแตกต่าง เหมือนไม่ใช่เด็กวัยรุ่นทั่วไป แต่เธอเหมือน... เหมือนแม่มด

    แต่มันคนนั้นจะปล่อยให้ผมรอดจากไปจริงๆน่ะเหรอ
    เธอจะช่วยให้ผมรอดจากอสรพิษอย่างมันได้จนถึงตอนนั้น ตอนที่ผมจะได้กลับบ้านที่ไม่มีอยู่แล้วจริงๆน่ะเหรอ

    จากนั้นเธอก็เล่า ว่าเธอทำงานใช้หนี้ให้มันคนนั้น เพราะมันคนนั้นได้ให้ความช่วยเหลือ คือให้คนเข้ามาช่วยรักษาเธอตอนที่เธอกำลังแย่และไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนั้น มันคนนั้นให้เธอทำข้อตกลงคือต้องทำงานแรกทันทีที่ร่างกายของเธอไหว เธอจึงยอมรับข้อตกลงนั้นแม้ว่าหัวใจจะไม่ต้องการเลยก็ตาม เธอเล่าถึงงานแรกที่ทำ และมันทำให้ผมรู้จักอีกด้านของเธอ ทั้งเรื่องเพื่อนร่วมทีมสำหรับภารกิจ ทั้งเรื่องความหิวของเธอที่น่าเห็นใจ เธอเล่าถึงงานต่อๆมา และเล่าถึงเด็กเหลือขอผมสีน้ำตาลเข้มว่าเขาไม่ใช่เด็กเหลือขอ และผมเชื่อเธอ ก็ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องไม่เชื่อเธอ เธอเล่าถึงเรื่องราวเก่าๆในอดีตของเธอเล็กน้อย เล่าว่าเธอเองก็ไม่เคยพูดเหมือนอย่างที่ผมเป็น แค่ตรงกันข้ามตรงที่เธอไม่มีใครให้พูดด้วย และผมนิ่งฟัง เธอบอกว่าเธอไม่มีเพื่อนและอาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมและเธอเหงา เดียวดายมากๆ เธอบอกว่าหัวใจเธอเจ็บป่วย และป่วยที่จิตใจอย่างไร เล่าถึงสาเหตุที่มันเป็นอย่างย่อ ตอนนั้นที่ผมเห็นแล้วว่าเธออ่อนแอแค่ไหนและหัวใจเธอบอบช้ำมาก ผมเห็นใจเธอ และมองเธอใหม่อีกครั้ง เธอเล่าต่ออีกว่าเธอไม่แข็งแรงเพราะอะไรและเจ็บป่วยเพราะอะไร และมัน.. มันทำให้ผมตกใจมาก ตกใจมากจริงๆ เธอเล่าว่าผู้เป็นแม่ของเธอทำให้เธอเกือบตายเพราะยังรับเรื่องราวพวกนี้ไม่ได้ เลยปล่อยให้เธอนอนนิ่งๆและเกือบจะเน่าตาย แต่แล้วแม่ก็ทำใจยอมรับเพราะรักเธอมากกว่าสิ่งใด แต่บางอย่างของเธอก็แตกหักไปในตอนนั้นด้วยเหมือนกัน

    เธอเล่าเรื่องราวต่างๆมากมาย เล่าว่าตอนนี้ดีขึ้นแล้วจึงเล่าได้ ผมยอมรับเลยว่าผมสมเพชตนเองในทันทีที่ได้รับรู้เรื่องตรงนี้จากเธอ ผู้ชายอย่างผมเหมือนพึ่งทำเรื่องงี่เง่าไร้สาระมา และเด็กผู้หญิงที่ต้องพยายามหาความสุขใส่ตัวโดยไม่คิดที่จะสู้ต่ออะไรที่ทำร้ายเธอ เพราะเธอบอกว่า ทำไม่ไหว และไม่อยากทำ เธอบอกว่าเธอชอบอ่านหนังสือและรักหนักสือมาก ผมจึงพูดออกไปในทันทีว่าผมก็ชอบหนังสือ แต่ชอบเขียนมันมากกว่า ผมเขียนหนังสือเก่ง หรือพูดง่ายๆคือผมเคยเป็นครูที่น่ายกย่องมาก่อนนั่นเอง เธอยิ้ม และผมคิดอะไรได้มากมายในตอนนั้น ผมลุกขึ้นไปนั่งข้างเธอ และลองลูบหัวเธอบ้าง เธอมองหน้าผม และผมอยากสัมผัสเธอมากกว่านั้น เธอถามว่าผมอยากจูบเธอเหรอ ผมตกใจแต่ก็หัวเราะ มันคงน่าอายถ้ารู้สึกอยากมีอะไรกับเด็กสาวที่ช่วยเหลือตนเอง แถมเป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างจะแปลก เธอหัวเราะและบอกว่า ไม่ต้องคิดมากมันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายและคุณคงจะไม่ได้ผ่อนคลายมานาน ผมหัวเราะ เธอบอกว่าเธอเตรียมเรื่องอย่างนั้นเอาไว้ให้แล้ว ผมเลยถามว่าเธอเตรียมผู้หญิงให้ผมเนี่ยนะ เธอไม่ได้ตอบอะไรแต่ยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ผม เธอลุกขึ้นและผมลุกตาม ผมอยากสัมผัสเธอจริงๆนั่นแหละแต่เธอเหมือนไม่สนใจ แต่กลับบอกว่าได้เวลาไปเที่ยวแล้วนะ

    จากนั้นก็ผละจากผมแต่ผมคว้าเอวเธอไว้ และดึงเข้ามากอด เธอไม่ได้ขัดขืนและหันมากอดผม เธอลูบหลังผมเหมือนแม่ปลอบใจลูกและตบมันเบาๆ ผมจูบคอเธอ และเธอหัวเราะก่อนบอกว่า สงสัยผมต้องไปหาสิ่งที่เธอเตรียมเอาไว้ให้ก่อนจะไปเที่ยวซะแล้ว ผมบอกว่าถ้านั่นมันหมายถึงผู้หญิงคนอื่นผมก็ไม่อยากและไม่ต้องการ ผมมีความต้องการกับเธอมากกว่าแต่ก็ทำตามเธอ ไม่รบกวนใจเธอเพราะเธอมีค่ามากกว่านั้นและฉลาดมากกว่านั้น เธอไม่อ่อนไหว ไม่โอนเอนหรือสิ่งใด เธอพาผมออกจากห้องพักและผมเชื่อฟัง.

    จากนั้นมันก็เหมือนความฝันเมื่อเธอพาผมไปเที่ยว ซึ่งมันคือการท่องเที่ยวจริงๆ และไม่มีอะไรจะดีและแปลกที่สุดไปกว่านี้อีกแล้ว ผมได้รู้เรื่องเกี่ยวกับเธอ เรื่องใหม่คือผิวหนังของเธอไม่สามารถรับแสงแดดตรงๆได้นานหรือทนต่อความร้อนที่สูงมากไม่ได้ เธอแพ้ฝุ่นละกลิ่นควันต่างๆได้ง่ายมาก เธอสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลานั่นมันคงเป็นของคู่กายเธอ เธอพาผมไปในที่ต่างๆที่เวลาอำนวยให้ ผมเห็น ผมเรียนรู้ ผมตื่นเต้นและผมทำตัวน่าอาย แต่ไม่นานก็เริ่มชินและเป็นเหมือนคนทั่วไป เธอพาผมขึ้นรถไฟฟ้าและพาผมไปเดินห้างสรรพสินค้าที่ค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง เธอบอกชื่อห้างนั้นกับผม. เธอพาผมทานไอศกรีมเป็นครั้งแรกในชีวิต มันอร่อยแปลกๆสำหรับผม และเธอซื้อพายให้ผม มันทำผมร้องไห้ตอนที่กัดมันคำแรก เธอบอกว่าไม่รู้ว่าจะหาพายแอ๊ปเปิ้ลจากที่ไหน นี่มันก็แค่พายสัปรดน่ะ มันอร่อย ผมบอกเธอ เธอพาผมไปร้านหนังสือ แต่ละร้านไม่เหมือนกัน เธออธิบาย พาไปดู และให้ผมตั้งคำถามได้ เธอบอกว่าร้านหนังสือสีแดงจะเป็นร้านที่เธอใช้บริการเป็นประจำ เธอชี้หนังสือที่เธออ่านแล้ว ซึ่งมันก็เหมือนเกือบหมดร้านน่ะนะผมคิดในใจ ผมสนุกมากจริงๆ แม้บางครั้งบางอย่างของผมจะหายไปและมันทำให้ผมดูขาดบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้ มันก็ไม่สำคัญแล้ว เธอบอกผมว่าอย่าเดินสวนทางกับเวลาที่เหลือ แม้มันจะเหลือน้อยก็ตาม ผมจึงทำตามนั้น.

    เมื่อผมสังเกตุเห็นเธอเดินช้าลงจึงถามว่าอยากพักก่อนไหม เธอพยักหน้ารับ และเรานั่งพักกันตรงจุดที่มีเก้าอี้ให้พัก เธอบอกว่าหิว(อีกแล้ว) เธอลุกขึ้นขอตัวไปหาซื้อน้ำอร่อย(เธอเรียกแบบนั้น) ผมจึงนั่งรอคนเดียว ผมรู้ว่าเราถูกจับตามอง ไม่สิมันคือผมที่ถูกจับตามองต่างหาก ก็คงยากหากจะปล่อยผมอย่างง่ายดาย ผมสนใจมันน้อยลงและคิดเกี่ยวกับเธอแทน ผมรับรู้ความรู้สึกใหม่ๆ และคิดเกี่ยวกับตนเอง แบมือทั้งสองข้างและมองดู คิดถึงอดีตแล้วผมก็ตัดมันทิ้งไป แม้ว่าเธอจะเรียกอดีตผมกลับมาจนเกือบหมดแล้วในตอนนั้น แต่ผมก็ยังไม่อยากตอบรับมันเร็วนัก. เธอกลับมาพร้อมกับน้ำอร่อยสองแก้ว และถุงในมือ เธอยื่นแก้วหนึ่งให้ผม ผมรับมา มันคือกาแฟ ผมจิบมันและมันอร่อยมาก เธอบอกว่าลองเดาว่าผมอาจชอบกาแฟหรือถ้าไม่เคยลองก็น่าจะชอบเมื่อได้ลอง แต่เธอบอกว่าเธอไม่ดื่มกาแฟแม้ระยะหลังมานี้กลิ่นของมันเริ่มจะหอมบ้างแล้ว

    ผมชอบกาแฟ แต่ก็ไม่มีกาแฟที่ไหนอร่อยเท่าที่บ้านเกิดของผม และผมหยุดคิดถึงมัน. เธอมองดูเวลาผ่านมือถือและบอกว่ากลับกันเถอะ ผมก็ทำตามเธอ และเราเดินทางกลับ. เมื่อมาถึงห้องพักของโรงแรมเธอขอตัวอาบน้ำทันทีและผมก็นั่งพัก และนอนคิดอะไรต่างๆบนเตียง ผมเหนื่อยล้ามากอาจเพราะได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ แต่บางอย่างของผมกลับรู้สึกดีแม้บางอย่างของผมจะหายไป มันคืออะไรที่อธิบายไม่ได้ ถ้าถามเธอ เธออาจบอกได้ แต่ผมก็ไม่ได้ถามเธอเหมือนกับเรื่องอื่นๆที่ไม่ได้ถามออกไปแม้ใจจะอยากทำ เธอออกจากห้องน้ำมาแล้ว ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ดูน่ารักแต่มันก็ยังคงเป็นสีดำอยู่ดี ผมถามเธอเล่นๆว่าชอบสีดำเหรอ เธอตอบว่าเปล่า แต่เธอเป็นวัยรุ่นที่เท่ห์ ผมงงๆกับคำนั้นแต่ก็ช่างเถอะ บางทีวัยรุ่นพวกนี้อาจนิยมสีดำถ้านึกถึงสิ่งที่เคยพบเจอรวมถึงผู้คนที่ผ่านมา ผู้คนแบบคนพวกนี้มักนิยมสีดำเสมอ เหมือนที่-ที่ผมพึ่งจากมา-ที่เปลี่ยนแปลงให้ผมทำอะไรก็ได้ที่หลั่งเลือด. เธอเดินมาหาผม พร้อมกับขนมในมือและถุงที่ใส่บางอย่าง เธอคงหยุดทานอะไรไม่ได้จริงๆแหละนะผมคิด เธอนั่งลงที่เตียงของผม ผมลุกขึ้นนั่ง เธอยื่นถุงในมือให้ผม ผมรับมาและเปิดดู และมันทำให้ผมยิ้มกว้าง... มันคือสมุดสีน้ำเงินเข้มเล่มหนา ขนาดมันไม่ใหญ่มาก กำลังดี พร้อมกับดินสอไม้หนึ่งซองมีสี่แท่งและยางลบสองก้อนใหญ่กับเล็ก มีปากกาให้หนึ่งด้าม ผมหยิบมันออกมาอย่างเบามือราวกับว่ามันหักหรือพังได้ง่าย

    "คุณบอกว่าชอบเขียนหนังสือ" เธอยิ้มจากใจให้ผม "ฉันเลยซื้อสมุดให้คุณ ก็ใช้เวลาเลือกอยู่นะ ไม่รู้ว่าคุณจะชอบแบบไหน แต่ฉันก็เลือกซื้อแบบที่ตนเองชอบ แล้วค่อยมาอ้างว่า มันเป็นของขวัญจากฉันเอาไว้นึกถึงน่ะ" เธอหัวเราะ ผมชอบมันมากนะ ผมบอกเธอและเปิดดู สัมผัสมัน นานแค่ไหนแล้วนะ มันนานแค่ไหนแล้ว... น้ำตาผมไหลอีกครั้ง เธอมองดูและเช็ดให้ผม ผมขอบคุณเธออีกครั้ง เธอบอกให้ผมลองเขียนอะไรสักอย่างดู มันจะช่วยได้ จากนั้นเธอรีบลุกเดินหายไปและรีบกลับมาพร้อมกับกระดาษสีขาวไม่มีลายเส้น เธอให้ผมลองเขียนอักษรต่างๆดู เพราะเห็นว่าผมไม่ได้เขียนอะไรมานานมาก ผมทำตาม และมันดูไม่ค่อยคล่องอย่างที่เธอคิด แต่ไม่นานก็ทำได้ดี ผมยังเขียนหนังสือได้ เธอหยิบสมุดเล่มใหม่ของผมไป และขอปากกามาเขียน เธอเขียนลงในหน้าหลังสุดท้าย

    .. ไม่มีที่ที่สายไปแล้วสำหรับคนที่ยอมรับแล้วซึ่งทุกสิ่งวันหนึ่งเราได้พบกัน วันนั้นมันเป็นวันที่ดีวันนี้เราได้พูดคุยกัน และเราอาจจากลาเพียงเพื่อพบกันใหม่อย่าร้องไห้เลยไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัว เมื่อคนเราถูกปลดปล่อยแล้วขอให้ความสุขอยู่กับคุณ และอย่ากลัวที่จะมีความทุกข์ขอเส้นทางสายใหม่จงเกิดขึ้น..

    เธอเขียนชื่อของเธอลงท้ายข้อความนั้นก่อนจะเขียนเสริมว่า สมุดเล่มนี้จากเธอ มันเป็นของขวัญมอบให้ผม ลงวันที่ และเวลาชัดเจน พร้อมทั้งเมืองและประเทศ ผมรู้สึกดีและใจหาย

    "ความเศร้ามีพร้อมความสุขเสมอ" เธอเอ่ยขึ้นมา

    เธอคืนสมุดให้ผมและบอกว่า พรุ่งนี้ผมจะได้เดินทางกลับ ค่ำนี้จะมีเอกสารสำหรับการเดินทาง และเอกสารหลักฐานอื่นๆที่ผมจำเป็นต้องใช้ทุกๆอย่างรวมถึงเงินจำนวนหนึ่งมาให้ผม เธอบอกว่ามันเป็นของปลอมทั้งหมดแต่ปลอมในระดับS ก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ผมจะได้รับชื่อใหม่ในการเดินทาง เธอบอกว่าชีวิตผมมีแต่ความจริงที่จริงจังมามากแล้ว หัดปลอมแปลงนั่นนี่ซะบ้างแล้วเธอก็หัวเราะ ผมก็หัวเราะเหมือนกัน.

    จากนั้นเธอเขยิบเข้ามาไกล้ผมพร้อมกับพูดเบาๆเหมือนกลัวใครจะได้ยินว่า ผมคงไม่มีที่ให้ไปแล้วสำหรับคนที่เหมือนมีบางอย่างขาดหายไป เธอบอกว่ามีที่ที่แนะนำสำหรับผม เหมาะกับผม ให้ผมไปพักที่นั่นก่อนเริ่มชีวิตใหม่ เธอเขียนมันลงบนกระดาษที่เราเขียนเล่นกันและฉีกมัน เธอพับและรีดกระดาษอย่างดี เธอพูดที่อยู่นั้นออกเสียงก่อนจะบอกให้ผมท่องจำให้ขึ้นใจ และบอกวิธีไปแบบทางลัด ผมจำขึ้นใจได้ง่าย เพราะผมดีใจที่มีที่ให้ไป ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นที่ไหนแค่เธอบอกผมก็เชื่อใจ. จากนั้นเธอขอตัวไปจัดการธุระ ผมกังวลใจทุกครั้งที่เธอออกห่าง กลัวเธอจะหายไป แต่เธอทำปกติเหมือนทุกครั้งและบอกจะกลับมาพร้อมอาหารค่ำผมก็เบาใจ เธอบอกให้ผมลองใช้สมุดนั่นดู ลองเขียนสิ่งต่างๆ เมื่อเธอจากห้องพักไป ผมก็เริ่มเขียนมัน...

    เธอกลับมาพร้อมมื้อค่ำจริงๆ เธอนำอาหารมาจัดวางบนโต๊ะอาหาร แต่แล้วเธอก็ขอให้ผมช่วยยกโต๊ะไปไว้ที่ระเบียง ผมก็ทำตามและมันก็ดีใช้ได้ ห้องพักนี้ระเบียงกว้างขวางและมองเห็นวิวของเมืองเป็นอย่างดี มีแม่น้ำ เธอบอกชื่อของมันราวกับได้ยินผมคิดนั่นนี่หรือสงสัยอะไร แต่มันก็ดีแหละนะ. เรานั่งทานอาหารด้วยกัน อาหารพื้นบ้านของประเทศนี้อร่อยมาก มันมาจากครัวของโรงแรม เธอบอกว่าโรงแรมนี้มีร้านอาหารชื่อดังข้างล่าง อาหารที่นี่เลยอร่อยมาก ผมทานเยอะมากจริงๆแต่เธอก็ทานเยอะด้วย เราคุยกันมากมายและเลี่ยงที่จะไม่พูดเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ. เมื่อทานอาหารเสร็จ ทุกอย่างถูกจัดเก็บเรียบร้อยเธอให้ผมไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย เธอมีเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ผม และผมทำตามเธอ ผมตะโกนเรียกเธอเวลาอาบน้ำ เรียกชื่อเธอ เธอขานรับตลอดและผมได้ยินบางอย่าง เสียงผู้หญิงอีกคนหรือเปล่านะ. พอเสร็จจากธุระส่วนตัวผมก็ออกมาพร้อมเสื้อผ้าตัวใหม่

    และนั่นคือเจ้าของเสียง ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ผมนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะคิดได้ว่านี่คงเป็นสิ่งที่เธอพูดไว้ว่าเตรียมบางอย่างให้ผม ผมมองไปที่หล่อน ช่างแตกต่างจากบรรดาผู้หญิงที่ขายช่วงล่างทั่วไปหรือที่ผมเคยเจอ แตกต่างจากที่เคยได้ลอง หล่อนเหมือนเด็กสาวทั่วไป เหมือนไม่เคยด่างพล้อย เธอทักทายผมและหัวเราะร่าก่อนจะบอกว่าผมอึ้งในความงามของเพื่อนเธอเป็นแน่ เพื่อนเหรอผมคิดคำนั้นในใจ เธอแนะนำว่าหล่อนเป็นเพื่อนของเธอเอง หล่อนทักทายผมอย่างง่าย ธรรมดา หล่อนสวยน่ารักและผิวพรรณดี หุ่นหล่อนดีมากและสูงเท่าผม ช่างแตกต่างจากเธอโดยสิ้นเชิง เธอหัวเราะก่อนบอกว่าอย่าเปรียบเทียบอะไรในใจเกี่ยวกับฉันนะมันน้อยใจ ผมเลยหัวเราะบ้าง ก่อนเธอจะขอตัวมาคุยกับผมสองคน หล่อนก็นั่งเรียบร้อยแถมมีหนังสือมาอ่านรออีกด้วย เธอบอกผมว่า เพื่อนเธออาจดูเหมือนหญิงขายบริการแบบที่คุณเลยใช้บริการกับเคยเจอ แต่เพื่อนของเธอแตกต่างมาก แตกต่างออกไป หล่อนมาจากที่.... เธออธิบายและผมเข้าใจ เข้าใจแล้วว่าหล่อนเป็นผู้หญิงระดับไหนแม้จะต้องนอนกับผม หรือมาบริการผม. ผมบอกเธอว่าไม่จำเป็นเลย แต่เธอกลับบอกว่า เธอเข้าใจผู้ชาย และเข้าใจผม อย่าฝืนและผมต้องทำตามใจและพักผ่อนอย่างผู้ชายบ้าง ผมควรจะเขินอายดีไหมที่มีเด็กสาวมาพูดแบบนั้นกับผม แต่ไม่หรอก เหมือนผมรู้จักเธอมากกว่านั้นไปแล้วผมพยักหน้ารับและยอมรับว่าตื่นเต้นมาก

    เมื่อเธอขอตัวออกไปผมเห็นเธอถือถุงขนม(อีกแล้ว)ติดมือไปด้วย จากนั้นผมอยู่กับหล่อนสองคน หล่อนบอกชื่อตนเองกับผม ผมก็บอกชื่อของผมไป หล่อนพยักหน้ารับและปิดหนังสือ หล่อนเดินมาไกล้ผมและถามว่าผมต้องการเมื่อไหร่ก็ได้เสมอ หล่อนไม่รีบร้อนและไม่ได้เคี่ยว ไม่รุกก่อน หล่อนดูจะเป็นผู้ดีจริงๆนะ ผมอยากลองคุยกับหล่อนดูก่อนแม้ว่าบางอย่างในกายผมจะถูกปลุกให้ตื่นแล้วก็ตาม หล่อนคุยดี ฉลาดและตลก หล่อนไม่ฝืนและดูเป็นธรรมชาติ แค่เพียงเคลื่อนไหวร่างกาย ใจผมก็หวั่นไหวไปด้วย เหมือนหล่อนจะรู้งานจึงลุกมาไกล้ผมและตอนนั้นผมก็เป็นฝ่ายรุกทันที หล่อนเร่าร้อนมากและผมเป็นฝ่ายทำให้หล่อนพอใจก่อน หล่อนชอบสิ่งที่ผมทำและผมชอบมันมากกว่า ในเมื่อหล่อนต้องมานอนกับคนอย่างผม ผมก็อยากทำให้ดี จากนั้นหล่อนก็เป็นฝ่ายรุกและให้ตายเถอะ หล่อนชอบเป็ยฝ่ายรุกและมันทำให้ผมแทบขาดใจ จูบของหล่อนดีเหลือเกิน เนื้อหนังของหล่อนที่ผมลูบไล้ บีบเค้นมันสุดยอดมาก สำหรับเรื่องอย่างนี้หล่อนแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่ผมเคยสัมผัสจริงๆ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่หล่อนทำให้ผมมีความสุข ไม่รู้จริงๆ และผมก็เริ่มเป็นฝ่ายรุกที่ดุร้ายบ้าง หล่อนยอมเพราะผมมาดร้ายใส่และหล่อนชอบ ผมก็ชอบมัน เกมส์ยังดำเนินต่อไป จนมันสิ้นสุดลงตอนไหนผมก็ไม่อาจรู้

    เมื่อหล่อนกำลังจะจากไปผมใส่เสื้อผ้าให้หล่อน สวมบราให้และจูบหน้าอกหล่อน เหมือนหล่อนดูจะพอใจจึงจูบคอผม. ผมถามหล่อนว่าเป็นเพื่อนกับเธอเหรอ หล่อนตอบว่าใช่ แต่ก็บอกว่าเธอไม่ค่อยรับใครเป็นเพื่อนเท่าไหร่สำหรับเธอหล่อนอาจเป็นเพียงแค่มิตรเฉยๆ ผมพยักหน้าและถามว่าพอจะรู้ไหมว่าเธอมีปัญหาอะไรบ้างกับมันคนนั้น หล่อนบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน แล้วบอกอีกว่าเธอมักชอบท้าทายมันคนนั้นเพราะไม่ยอมก้มหัวให้ เธอเป็นคนหัวแข็ง หัวรั้น ผมพยักหน้ารับ ผมถามอีกว่ามันคนนั้นทำร้ายเธอไหม หล่อนลองนึกและบอกว่าอาจมีบ้าง เหมือนสั่งสอนเธอแต่ก็จะทำต่อเมื่อเธอทำให้เขาเคืองหรือไม่พอใจก่อน ผมถามว่ารู้อะไรเกี่ยวกับผมและมันคนนั้นไหม เธอส่ายหน้าผมจึงเริ่มเข้าใจ หล่อนมาทำในสิ่งที่ต้องทำจริงๆ แต่หล่อนกลับบอกอีกว่าไม่รู้อะไรมากก็จริง รู้แต่ว่าเธอลำบากเพราะผมมาก เธอทุ่มเทกับงานนี้มากและที่ต้องทุ่มเทก็เพราะต้องการให้ผมอยู่รอดในตอนจบ ซึ่งมันก็ยากมากจริงหรือไม่ เธอถามผมก่อนจะบอกต่อว่า คนที่มีปัญหากับมันคนนั้นไม่เคยได้อยู่รอด ผมก็เห็นด้วยจึงสงสัยว่าทำไมมันคนนั้นถึงยอมทำตามเธอให้ผมยังอยู่ได้ถึงตอนนี้ เพราะอะไรนะ.

    เมื่อหล่อนกลับไป ผมยืนคิดอะไรคนเดียวอยู่ตรงระเบียง ผมมองลงข้างล่างและเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า ผมหลับตา... ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วผมเคยบินลงจากที่สูง และดิ่งลงสู่เบื้องล่าง อาจเพราะเรื่องของผมยังมีต่อ ชีวิตผมจึงไม่ได้จบลงที่ตรงนั้น และวันนี้ผมอยู่ที่นี่. ผมกลับเข้ามาข้างใน เดินตรงสู่ห้องนอน ผมหยิบสมุดและดินสอมาเขียนมันต่อ.

    เธอกลับมาพร้อมเอกสารต่างๆ มีรูปถ่ายของผมมากมายที่ผมไม่ได้ไปถ่ายเองสักใบ หนังสือเดินทางและอื่นๆมากมาย เธอบอกว่าเธอไม่ค่อยรู้เรื่องเอกสารพวกนี้เพราะไม่ค่อยได้เดินทางแบบคนปกติทั่วไปบ่อยนัก แต่ก็พยายามบอกให้ผมเข้าใจ ผมบอกว่าทำได้และเข้าใจเนื่องจากผมต้องเดินทางบ่อยตอนยังอยู่อีกที่หนึ่งก่อนมาที่นี่ เธอเอากระเป๋าเดินทางมาให้ผม ภายในนั้นใส่เสื้อผ้ามาให้พร้อมหมดแล้ว และอะไรอีกบ้างผมก็ไม่ได้ดูจนทั่ว เธอทำให้ผมทุกอย่างจริงๆ ผมดึงแขนเธอลงมานั่งข้างๆกันและถามคำถาม

    "ทำไมมันถึงปล่อยฉันได้ง่ายๆ ก็ใช่ที่เธอบอกว่ามันไม่ได้ง่าย.. แต่ช่วยบอกหน่อยได้มั้ยว่าเพราะอะไรมันถึงยอม" เธอทำหน้าไม่พอใจ และถอนหายใจก่อนจะบอกว่า

    "บางเรื่องมันก็เป็นเรื่องที่อธิบายยาก เราต่างก็มีอาวุธลับส่วนตัวเอาไว้ฟาดใส่กันยามจำเป็นน่ะ เมื่อถึงเวลาฉันก็งัดมันออกมาใช้กับเขา เขาก็เกือบไม่ยอมหรอกนะ แล้ววิธีนี้ก็คงใช้ได้แค่ครั้งนี้ ครั้งต่อไปก็คงไม่มีแล้ว" เธอบอกผม

    "มันทำร้ายเธอบ้างมั้ย?" ผมถามอย่างรวดเร็ว เธอพยักหน้าเหมือนไม่สนใจ

    "ก็มีบ้าง มันเป็นเรื่องเล็กสำหรับฉันนะ คือแบบว่าชีวิตฉันมันมีปัญหาตามร่างกายอยู่ตลอดเรื่องเจ็บตัว"
    ผมเรียกชื่อเธอ เธอมองมา "ฟังนะ มันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว.. มันไม่จำเป็นแล้ว หากฉันจะต้องตาย ฉันก็ได้ยอมรับมันแล้ว แค่ขอให้เธออย่าทำอะไรที่ต้องเหนื่อยหัวใจเพียงเพราะมาช่วยคนอย่างฉันเลย.. นะ" ผมบอกเธอจากใจจริง เธอยื่นมือมาลูบแก้มผม

    "ชีวิตคุณจริงจังมามาก" เธอพูด "คุณพึ่งได้รู้จักคำว่ารักไม่นานก็ต้องเสียมันไป มันอาจจะไม่กี่ปีแต่เชื่อเถอะว่าความสุขมันเร็วเสมอ คนที่แสนดีและน่านับถืออย่างคุณต้องถูกเปลี่ยนเป็นอื่นและหลงลืมตนเองไป มันเลวร้ายมากนะ และฉัน" เธอยกมือทาบหน้าอกตัวเอง "ยินดีช่วยหากทำได้ ชีวิตฉันมันสั้นนัก ฉันอยากช่วยชีวิตคนอื่น มันตลกนะที่ฉันอยากถูกทำร้าย ฆ่าให้ตายมากกว่าต้องมานอนป่วยตายน่ะ" บอกแค่นั้น เธอก็รีบก้มหน้าลงและเก็บของบนเตียงโดยไม่สนใจจะพูดอะไรต่อ

    ผมบอกเธอว่าขอโทษ และเธอก็ขอโทษผมกลับเช่นกัน. คืนนั้นเธอเข้านอนพร้อมกับผม เธอนอนเตียงที่อยู่ข้างเตียงของผม ผมนอนมองเธอ มองผู้หญิงที่พึ่งเจอไม่ถึงหนึ่งวันเต็ม แต่กลับมีอิทธิพลต่อผมได้มากมาย. เธอนอนตะแคงข้างหันหลังให้ผม ก่อนหน้านี้เธอเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือ เธอบอกว่าเล่นเกมส์นี้มานานแล้ว เธอชวนผมเล่นแต่ผมปฏิเสธเธอไป ตอนนี้เธอนอนนิ่ง-บ้างก็พลิกไปมาเหมือนเด็กน้อย ผมลุกขึ้นมาหยิบสมุดและดินสอจากนั้นผมเขียนมันต่อ... ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอนอนมองผม เธอบอกว่าปกติเธอจะหลับช่วงตีสี่หรือตีห้า เหตุมาจากเธอมักจะฝันร้ายและกลัวการนอนหลับ นี่เป็นเรื่องใหม่ที่ผมรู้ ผมเก็บสมุดและดินสอ จากนั้นผมลุกไปที่เตียงของเธอ เธอไม่ได้ห้ามแค่ทำหน้าสงสัยใส่ผม ผมบอกว่าไม่ทำอะไรเธอแน่นอนแค่อยากนอนเตียงเดียวกับเธอ เธอบอกว่าเธอรู้และไว้ใจผม ผมขึ้นไปนอนข้างๆเธอและขอนอนกอดเธอ เธอไม่ได้ว่าอะไรและนอนเฉยๆ ผมกอดเธอ ตัวเธอมันช่างเล็กมากแต่สัมผัสนั้นมันช่างอบอุ่นเหลือเกิน ผมจูบผมของเธอ กระซิบที่หูของเธอ เธอเป็นแม่มดหรือเปล่า ตอนนั้นที่เธอหัวเราะร่าอย่างจริงจังก่อนจะพลิกตัวมามองผม อาจใช่ เธอยิ้มแล้วผมก็จูบหน้าผากเธอ มิน่าฉันถึงแพ้ทางเธอง่ายนัก เธอเป็นแม่มดนี่เอง เธอไม่ตอบคำพูดนั้นของผม แต่หัวเราะ ก่อนจะบอกราตรีสวัสดิ์ ผมก็บอกเธอเช่นกัน ไม่นานจากนั้นเธอก็หลับ ยามหลับปากเธอจะเผยอเล็กน้อย ผมจูบเธอเบาๆที่หัวไหล่ ขมับ และผมของเธอเบาๆอยู่บ่อยครั้ง ทุกอย่างนี้คงเพราะความไม่ปกติในตัวเธอที่ทำให้ผมยอมแพ้และไม่สามารถขัดขืนได้ ผมคิดอย่างนั้น

    ผมยังคงนอนกอดเธออยู่อย่างนั้น ทุกอย่างเงียบ ผมนอนเล่นผมของเธอ เส้นผมเธอพันรอบนิ้วของผม ผมนอนไม่หลับอยู่แล้ว เวลาที่จะเสียไปหากผมหลับนั้นมันมีค่าเมื่อพรุ่งนี้ผมต้องไปจากที่นี่. ผมล้มเลิกอะไรในใจไปบ้างไม่อาจคิด บางอย่างของผมอ่อนแอและพังไปแล้ว บางทีการเดินทางไปยังที่ที่เธอบอกอาจช่วยเยียวยาผม ถ้าผมสามารถไปถึงที่นั่นได้อย่างราบรื่นจริงๆ
  • ep.3 (the end) / (ตอนที่ 3 too little) จบ

    ธอตื่นมาเห็นผมยังไม่ได้นอน แต่ก็ไม่ได้ทักอะไรเหมือนเข้าใจดี เราต่างแยกย้ายทำธุระส่วนตัว วันนี้เธอใส่กางเกงยีนส์สีดำรัดรูปแบบเดิมแต่มีรอยขาดเล็กน้อยที่หัวเข่า เสื้อยืดรัดรูปแขนยาว-มันมีสีเทาเข้ม เธอสวมถุงเท้าสีขาวและใส่รองเท้าผ้าใบสีเทามีลายรูนส์ที่เธอเขียนเอง เธอมัดผมหางม้า รวบขึ้นสูงและปล่อยลงมา วันนี้เธอดูทะมัดทะแมงอย่างเห็นได้ชัด

    เราทานอาหารเช้าง่ายๆกันอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรกันมาก ไม่นานเราก็เตรียมตัวออกเดินทาง เราออกจากโรงแรมกันตั้งแต่เช้ามืด และเธอบอกว่าแปลกใจที่ไม่เห็นกลุ่มเพื่อนที่นัดหมายไว้ หนึ่งในนั้นมีเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม เธอดูกังวลใจอย่างเห็นได้ชัดและความกังวลนั้นส่งต่อมาที่ผมด้วย ผมไม่กลัวอะไรอยู่แล้วแต่ผมกลัวแทนเธอ เมื่อกลุ่มคนที่พาเราเดินทางวันนี้ไม่มีสักคนที่เธอรู้จัก เราเดินทางด้วยรถยนต์อย่างเคย เธอนั่งพลางเล่นมือถือ ดูผ่านๆเหมือนเธอกำลังพิมข้อความหาใครสักคน เธอเห็นผมมอง เลยบอกผมว่ากำลังส่งอีเมลหาเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มคนนั้น ผมถามว่าสิ่งนี้มันแปลกมากเหรอ เธอพยักหน้ารับก่อนบอกว่าเมื่อคืนนี้ เธอและคนอื่นที่จะทำงานในส่วนเรื่องของผมได้วางแพลนกันอย่างดีว่าใครจะทำหน้าที่อะไรกันบ้าง และทำในเวลาไหนบ้าง แต่วันนี้กลับไม่มีสักคนที่อยู่ในทีมที่วางไว้เมื่อคืนเลย เธอสงสัยมาก แต่แล้วก็บอกผมว่าคงไม่แปลก ไม่มีอะไรง่ายเพียงแต่ครั้งนี้ผมอยู่รับรู้เรื่องไม่ง่ายสำหรับเธอด้วย.

    และมันก็จริง
    เพราะจากนั้นไม่นานรถที่เราเดินทางก็ไม่ได้มุ่งหน้าสู่ที่หมาย เธอเป็นคนสังเกตุเห็นเพราะผมไม่รู้จักอยู่แล้วว่าที่ไหนคือที่ไหน เธอไมสามารถถามคนขับรถได้เพราะมันถูกกั้นกลางด้วยกระจกสีดำระหว่างคนขับและคนนั่งหลัง เธอหันมามองหน้าผมด้วยความห่วงใยแต่ผมกลับห่วงเธอแทน ผมยิ้มให้จากใจก่อนบอกว่าไม่เป็นอะไร ก็อย่างที่ผมบอกเธอว่ามันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดจากนี้ผมยินดีรับมันเสมอ เพราะผมคิดว่าจริงๆแล้วผมได้ตายไปนานแล้ว เพียงแต่บางส่วนของผมไม่ได้ย่อยสลายแค่นั้นเอง และเมื่อได้พเธอ มันก็เหมือนช่วยตอกย้ำว่าอะไรก็สายไปหมดแล้ว และเธอก็มาเพื่อย่อยสลายผม มาเพื่อปลดปล่อยผมต่างหาก ใช่แล้วเธอบอกอย่างนั้นและเธอก็ทำหน้าที่นั้นอยู่ตั้งแต่ที่เราเจอกัน เธอกำลังปลดปล่อยผมเหมือนที่เธอเคยพูดเอาไว้

    "ใช่ ฉันมาเพื่อปลดปล่อยคุณ แต่การจะปลดปล่อยใครสักคนหนึ่ง ก็ต้องรู้ด้วยว่าเขาเป็นใคร และจะปลดปล่อยเขาจากอะไร และอะไรที่มันผูกมัดเขาไว้"

    เธอก็ทำอย่างนั้นกับผมเรื่อยมา... จากนั้นเราต่างให้กำลังใจกันถึงสิ่งที่ต้องเจอ

    เป็นเวลานานจากนั้น รถหยุดเคลื่อนที่ มันจอดที่ใดที่หนึ่ง ประตูถูกเปิดออกและเธอเป็นคนก้าวออกจากรถเป็นคนแรกแต่ยังไม่ทันที่เท้าของเธอจะถึงพื้น ชายสองคนก็เข้ามาจับเธอแน่น เธอไม่ได้ตกใจเหมือนคุ้นเคยกับการถูกทำแบบนั้น แต่เธอดิ้นและพยายามหนีออกจากตรงนั้น ผมพุ่งพรวดลงไปและถูกกันไว้ด้วยการข่มขู่ว่าจะทำให้เธอเจ็บ เธอบอกเขาว่าไม่เป็นอะไร แต่ครั้งนี้ผมไม่อาจเชื่อเธอจากใจ แต่ก็ยอมทำตาม เธอถูกพาเดินไปข้างหน้า และผมถูกกันตัวไว้ด้วยปืนอย่างไม่ต้องสงสัย พวกมันให้ผมเดินตามเธอ

    มันเหมือนโกดังเก็บของ ของโรงงานแต่ก็ไม่เชิงด้วยความเร่งรีบจึงไม่อาจสังเกตุอะไรได้ในทันที ผมมองแต่หลังของเธอเพราะกลัวว่าจะคาดกัน ไม่นานเราก็เข้ามาในโกดัง เธอถูกปล่อย แต่ผมยังถูกกันล้อมด้วยชายสามสี่คน พวกนี้ตัวสูงกว่าผมทั้งที่ผมก็สูงมากอยู่แล้ว. และมันคนนั้นก็เดินมาพร้อมกับเด็กเหลือขอห้าหกคนตามเคย ทั้งท่าทาง การตีสีหน้า ทุกอย่างของมันคนนั้นไม่เปลี่ยนแปลง แต่ครั้งนี้ตัวผมเองที่เปลี่ยนไป ความห่วงใยที่มีต่อเธอมันกลบความเดือดดาลของผม มันมองผมแต่กลับเดินไปหาเธอ ทันทีที่ถึงตัวเธอมันก็ตบหน้าเธออย่างแรง เธอไม่ทันตั้งตัวจึงเซถลา แต่ไม่ยอมล้มลงทั้งที่คนทั่วไปต้องล้มฟุบแน่ แต่เธอมึนงงและมองหาผม ผมวิ่งเข้าไปหาเธอและถูกซ้อมเล็กน้อยพร้อมกับเสียงของเธอที่พูดออกมาซ้ำๆว่าไม่เป็นอะไร-ไม่เป็นอะไร เธอบอกให้ผมอย่าเคลื่อนไหว ทั้งที่ตอนเธอพูดเธอยังมองไม่เห็นอะไรเพราะแรงจากการโดนฟาดด้วยฝ่ามือของคนชั่วนั่น ผมกัดฟันเม้มปากด้วยความโมโห แต่ครั้งนี้มันคือความเจ็บปวด เธอตั้งสติได้และยืนตรง เธอบอกมันคนนั้นว่าทำอย่างนี้ทำไม ไหนบอกว่าจะทำตามสัญญา มันคนนั้นเชิดคางใส่เธอและบอกว่ามันทำอยู่นี่ไง แต่เธอทำผิดและทำเกินที่สั่งเอาไว้ เธอเถียงมันทันทีด้วยน้ำเสีย
    ที่โกรธเกรี้ยวว่าทุกอย่างที่ทำนั้น มันก็รู้เห็นมาตลอดและตกลงกันก่อนหน้านี้แล้ว และบอกมันอีกว่าวันนี้ผมต้องได้ไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย มันยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนบอกเธอว่าแน่นอน น้ำเสียงเย้ยหยันที่ผมได้ยินจนชิน มันหันหน้ามาทางผมและบอกว่าผมจะได้ไปจากที่นี่อย่างแน่นอน เธอรีบบอกมันว่าเธอจะไปส่งผมให้ถึงที่จนกว่าจะมั่นใจแต่มันส่ายหน้าช้าๆให้เธอ เธอเอียงคอพูดโวยวาย เหมือนลูกสาวกำลังไม่พอใจพ่อที่กำลังไม่ยอมทำตามใจเธอ มันคนนั้นก็ไม่สนใจอะไรที่เธอพูด และในตอนนั้นผมเองที่พูดขึ้น


    ผมเรียกชื่อเธอ เธอหันมา
    "ไม่เป็นอะไร เหมือนที่เราคุยกันก่อนหน้า ว่ามันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ.." เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ มันคนนั้นยกมือสั่ง ไม่มีคำพูดใดจากมัน จากนั้นชายสองคนก็เข้ามาจับเธอ แขนสองขางเธอถูกจับแน่น

    "อยากให้ฉันตายใช่มั้ย?" ผมถามมัน มันหันมามองหน้าผม มองเหมือนผมคือสิ่งที่ไม่มีความหมาย

    "ฉันเป็นคนที่ทำตามสัญญานะ แต่มันก็น่าลองถ้านายเต็มใจ นายทำให้ฉันเสียเวลาอยู่เหมือนกัน" มันเดินมาไกล้ พร้อมกับปืนที่จ่อหัวผม ลำตัวผม ขาผม "ดูสิ แค่ไม่กี่ชั่วโมงนายก็หลงเธอซะแล้ว ต้องยอมรับว่าฉันไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก เธอไม่ได้เป็นคนดีมากมายอะไรนักหรอกนะ" มันบอกผม

    ผมแยกเขี้ยวให้มัน


    "
    พวกแม่มดมันไม่ได้มีเอาไว้คลั่งไคล้หรอกนะ" ครั้งนี้ผมไม่ได้ยิ้ม แต่มีคำถามที่ต้องการคำตอบ

    "เธอเป็นแค่เด็กสาวที่เจ็บป่วย" ผมบอกมัน มันหัวเราะใส่หน้าผม

    "ก็อาจจะ" มันพูด "แต่ก็มีบางอย่างที่นายเองก็อธิบายไม่ได้.. ใช่มั้ย?" ผมฟังเฉยล้วหันไปมองดูเธอ เธอร้องไห้ มันทำให้เธอร้องไห้ ผมอยากบอกว่า อย่าร้องเลย แต่ก็ไม่มีเสียงใดออกมา

    "อย่าทำอะไรเธอเลย" ผมบอกมัน "ได้โปรด" ผมอ้อนวอน และมันทำหน้าเหลือเชื่อต่อสิ่งที่ผมพูดออกมา ก่อนจะเงยหน้าหัวเราะ

    "ดูสิ ดู.. อะไรทำให้นายเปลี่ยนเพียงชั่วข้ามคืน ปกตินายต้องกระหายอยากฆ่าฟันฉันไม่ใช่เหรอ?" มันมองผม เอียงคอถามผม และผมกัดฟันแน่น

    "ฉันยอมแพ้ ถ้ามันทำให้เธอไม่ต้องเดือดร้อน" มันเลิกคิ้วให้ผม

    "อย่างนั้นเหรอ?" มันพูด "งั้น.. คุกเข่าอ้อนวอนหน่อยสิ" มันบอกผม

    "ไม่ต้องทำนะ" เธอตะโกนมา "มันก็แค่เกมส์กวนประสาท เขาก็แค่กดดันคุณ" เธอบอกผม "ถ้าเขาอยากทำให้ฉันเจ็บ ต่อให้คุณตายเขาก็ทำ ดังนั้นอย่าทำอะไรเลยจะดีกว่า" เธอทำหน้าไม่พอใจใส่มันและมองมาที่ผมด้วยความเศร้าหมอง มันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

    "เอาล่ะ ได้เวลากลับบ้านของนายแล้ว" มันพูดแค่นั้นและถอยหลังไปหาเธอ ชายสองคนปล่อยเธอให้มัน และมันจับแขนเธอแน่น แน่นมากและเหวี่ยงตามที่มันเดิน เธอหันมามองผมและตะโกนก้อง

    "ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น! คุณต้องกลับบ้านนะ คุณต้องไป! จะต้องไปในที่ที่คุณควรไป ไปให้ได้! คุณ-จะ-ต้อง-ไป-จาก-ที่นี่! อย่าเชื่อใคร อย่าฟังใคร จงเชื่อใจฉัน! ได้โปรด... ฉันขอให้คุณโชคดี" และเธอยิ้มให้ผม ก่อนที่มันจะกระชากและเหวี่ยงเธอลงที่พื้น เธอพยายามลุกขึ้นช้าๆ เธอทำหน้าเจ็บปวดและผมเจ็บปวดมากที่เห็น ผมตะโกนและวิ่งไปแต่ถูกล็อคคอไว้ เธอยังพูดคำเดิมๆ และบอกว่านี่เป็นเกมส์ให้ผมโอนเอน กดดัน สุดท้ายเธอบอกว่า "อย่าทำให้ฉันผิดหวังเลยนะ" ผมหลับตา น้ำตาของผมไหล และมันไหลบ่อยเหลือเกินในช่วงนี้ เธอถูกมันดึงขึ้น มันล็อคตัวเธอด้วยแขนข้างเดียว เธอเดินเซเพราะความเจ็บปวดที่ร่างกายได้รับ ผู้หญิงตัวเล็กแค่นั้นเอง ทำไม....

    ผมจะไม่ทำให้เธอผิดหวัง ผมยอมทำตาม
    มัน ผมจะกลับไปและหาทางติดต่อกลับมาหาเธ. ผมยอมเดินถอยหลังกลับ โดยที่ยังมีคนคุมพร้อมกับปืนที่จ่อมา รคันเดิรอผมอยู่ แต่ไม่มีเธอที่รออยู่แล้ว ผมเดินคอตกขึ้นรถอย่างว่าง่ายคล้ายไม่ใช่ตัวผม เมื่อขึ้นรถผมก็เจอเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มนั่งนิ่งอยู่ในรถ ประตูถูกปิดและรถก็เคลื่อนที่ออกเดินทาง.

    "เธอจะเป็นอะไรมั้ย?" ผมถามเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม และไม่มีคำตอบใด

    "ทำไมนายไม่มาหาเธอ" ทั้งที่ผมรู้ว่าเด็กพวกนี้ทำทุกอย่างตามคำสั่งของมันคนนั้นอยู่แล้วแต่ก็อดที่จะถามไม่ได้ เด็กหนุ่มเม้มปากและคิ้วขมวด เขาหันไปทางอื่น ไม่มองมาที่ผม

    "นายเป็นเพื่อนเธอหรือเปล่า?" เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหันกลับมา และยังคงเม้มปาก

    "เพื่อนจะไม่ทำอย่างนั้นต่อกัน" เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาเข้มคงหมายถึงตัวเองที่ไม่ยอมทำตามนัดหมาย และสิ่งที่ตกลงกับเธอไว้

    "นาย
    มีคนที่ต้องคอยทำตามคำสั่งนี่" ผมพูดออกไปอย่างไม่มีความหมายใด ไม่สนใจด้วยว่าจะมีการตอบกลับหรือไม่

    "เธอ.. ไม่เคยคิดว่าฉันเป็นเพื่อนหรอก" เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดขึ้นมา ผมฟังและไม่ได้ตอบสิ่งใด

    "เธอ.. ยอมรับแต่พวกเพื่อนมหัศจรรย์ของเธอ พวกเพื่อนที่แสนดีพวกนั้น แค่นั" เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเอ่ยอย่างน้อยใจหรือไม่พอใจ ครั้งนี้ผมสงสัยและต้องการคำตอบ

    "ใครคือพวกเพื่อนมหัศจรรย์ของเธอ" ผมถาม เด็กหนุ่มมองมา และยิ้มมุมปาก

    "ก็พวกเด็กประเภทเดียวกันกับที่ช่วยนายไว้จากการดิ่งลงสู่พื้น.. เมื่อนานมาแล้วไง" เท่านั้นเอง ความทรงจำในวันนั้นของผมก็กลับมา ใช่..ตอนนั้นมีคนช่วยผมไว้ กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่ดูทันสมัย มีน้ำใจ ผมจึงได้รู้ว่าเธอมีความเกี่ยวข้องกับเด็กกลุ่มนี้

    "อ้อ-แต่ก็ไม่ใช่พวกนั้นที่ช่วยนายหรอกนะ พวกเด็กมหัศจรรย์มีอยู่ทุกที่ทั่วโลก ที่นายเจอนั่นก็คงเป็นพวกที่ประจำอยู่ประเทศนั้นๆ ก็แค่นั้น.." ผมรู้ได้จากน้ำเสียงที่เด็กหนุ่มพูด มันคือการประชด คำว่าพวกเพื่อนมหัศจรรย์ ไม่ได้มาจากใจจริงหรือคำชม มันเป็นแค่ความไม่พอใจระคนอิจฉา

    "เธอชอบคนมีน้ำใจ" ผมพูด และผมคิดถึงเธอ.. มากเหลือเกิน ผมเป็นห่วงเธอ

    "ฉัน.. อยากให้เธอมาอยู่กับพวกเรา" เขาพูดขึ้น ผมจึงหันไปจ้องหน้าเด็กหนุ่มทันที

    "อยู่กับพวกนาย อยู่กับมันน่ะเหรอ?" ผมขึ้นเสียง แต่เด็กหนุ่มยังคงเฉยเมยต่ออารมณ์ของผม

    "ใช่ ถ้าเธอไม่ดื้อรั้นเธอก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่เธอไม่เชื่อฟังใคร และไม่ทำเรื่องร้ายๆกับใคร มันจึงไม่ตรงกับเส้นทางของเรา แต่ถ้าเธอมาอยู่กับเรา เธอจะดีขึ้นทั้งเรื่องการอยู่อาศัยและอื่นๆ เชื่อเถอะว่ามันจะดีต่อเธอ" ผมฟังเฉย และไม่พอใจค่อนข้างมาก

    "นายไม่สงสารเธอเลยเหรอ? ที่มันคนนั้นของนายทำร้ายเธอ รุนแรงกับเธอน่ะ" ผมขึ้นเสียง เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหันมามองผมอย่างรวดเร็วด้วยความไม่พอใจ เขาเม้มปากและคราวนี้กัดฟัน กรามของเขาเกร็งอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มไม่ตอบ แต่หันไปทางอื่น

    "เคยทำอะไรด้วยความคิดของตัวเองบ้างมั้ย?" ผมถามเด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลเข้ม และเขาไม่ตอบคำถามนั้นของผม

    "เธอไม่ได้มีเวลามากมายเหมือนอย่างเรา" เด็กหนุ่มพูดขึ้น น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาหันมามองผมด้วยแววตาที่เสียใจ เด็กพวกนี้เสียใจเป็นด้วยเหรอผมคิด

    "และนั่นมันหมายถึง เธอควรได้อยู่อย่างที่หัวใจของเธอต้องการ ในเมื่อร่างกายเธออ่อนแอเจ็บป่วยขนาดนั้น มันก็ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะถูกทำร้าย" ผมย้ำเตือนเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล เขานิ่ง.

    ไม่นานจากนั้นผมก็ถึงที่หมายสำหรับการเดินทาง ผมลงจากรถพร้อมเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม เขาเดินนำผม พาผมไปจัดการนั่นนี่ และก่อนจะกลับ เด็กหนุ่มยื่นโทรศัพท์มือถือให้ผม บอกว่าเธอลืมให้ผมเมื่อคืนนี้ งั้นเหรอผมคิด. โทรศัพท์มือถือถูกเปิดเครื่องเอาไว้แล้ว

    จากนั้นเด็กหนุ่มก็จากไป ตอนนี้ผม
    เหลือตัวคนเดียวแล้ว ความอ้างว้างเข้าปกคลุมใจของผม ในหัวสมองผมมีแต่เธอ. เมื่อมีเวลาเหลือผลองเรียกหาพระเจ้า ทั้งที่ไม่เคยมีพระเจ้าในใจผมมานานจนจำวันสุดท้ายที่ระลึกถึงไม่ได้ ผมขอให้เธอปลอดภัย ผมสวดภาวนาในใจเงียบๆ จากนั้นผมหยิบสมุดที่เธอให้เป็นของขวัญออกมาจากกระเป๋าพร้อมดินสอ ผมอ่านข้อความหน้าสุดท้ายที่เธอเขียน ผมทุกข์ใจเหลือเกินและน้ำตาผมไหลอีกครั้ง จากนั้นผมเขียนบางอย่างต่อ... ผมเขียนด้วยภาษาที่พวกเราเข้าใจ หากสมุดเล่มนี้ตกไปอยู่ในมือคนทั่วไปก็จะไม่มีใครอ่านมันได้ ผมหวังอย่างนั้น ผมเขียนมันเกี่ยวกับเธอ...



    โทรศัพท์มือถือสั่น ผมหยิบมันมาดูและมีเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรเข้ามา ใจหนึ่งผมไม่อยากรับ อีกใจผมก็อยากรู้ จึงกดรับสายและฟัง...

    เสียงเธอร้องไห้คร่ำครวญ ผมเรียกชื่อเธอ เสียงเธอโดนทำร้าย และผมทุรนทุราย

    เสียงเธอเรียกชื่อผม และพูดซ้ำๆไปมาให้ผมกลับบ้าน ไปในที่ที่ควรไป เธอเหมือนเสียสติ เธอพูดกับตัวเอง ใครทำร้ายเธออยู่ผมคิดกระวนกระวายใจ ต้องเป็นมันแน่ๆ มันต้องการให้ผมได้ยินเสียงเธอถูกทรมาน ผมเรียกชื่อเธออีกครั้ง จากนั้นผมได้ยินเสียงมันพูดกับเธอ "ฉันทำตามสัญญา แน่นอนเธอพูดถูก ฉันต้องยอมให้กับอาวุธลับที่เธอใช้กับฉัน และฉันก็คิดนะว่ามันก็ไร้ค่าพอๆกับเธอที่ไร้ค่าลงไปทุกที แม้เธอจะช่วยให้ฉันไม่เสียเวลากับมัน แต่กทำให้ฉันต้องปล่อยมันคนที่ทำให้ฉันเสียเวลา และฉันจะปล่อยมันแน่ แต่ตอนนี้" เสียงมันทำบางอย่างให้เธอเจ็บ "ฉันต้องปลดปล่อยเธอก่อนสาวน้อย ฉันไม่ชอบให้ใครหยามฉัน โดยเฉพาะเธอ มันคาใจฉันมานานเกินไป.." เธอร้องไห้ และเสียงลั่นไกที่คุ้นหูก็ดังขึ้น ผมสะดุ้งและโทรศัพท์มือถือหล่นจากมือ ผมตัวสั่นและมือสั่นขณะก้มเก็บมัน ผมหยิบมันมาแนบหูเพื่อฟัง มันคุยกับผม "ฉันก็ไม่ได้อยากทำนะถ้านายฟังอยู่ แต่เธอตกลงแล้วว่าต่อให้ช่วยนายได้ จะฆ่าเธอทิ้งซะก็ได้ คิดเสียว่ามันคือการแลกเปลี่ยน มันยังไม่คุ้มด้วยซ้ำนะถ้าเทียบกับสิ่งที่ฉันเสียเวลาไป เอาล่ะ กลับบ้านซะสิ"
    จากนั้นสายก็ถูกตัด

    ผมทรุดตัวลงกับพื้น มีคนแตะตัวผม
    มีคนถามผมว่าไม่สบายหรือเปล่า ผมพยายามลุกขึ้นเก็บของใส่กระเป๋าและออกเดิน ผมเดินโดยที่ไม่รู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วนอกจากเสียงลั่นไกนั่น เธอจากไปแล้ว ผมไม่ได้ยินเสียงเธออีกแล้ว น้ำตาผมไหลอีกครั้ง มีเสียงทักผม และผมไม่รู้จักคำเหล่านั้น มันเหมือนคำที่ก้องอยู่ในน้ำ ร่างกายผมเหมือนล่องลอย การเดินให้ความรู้สึกเบา เธออยู่ที่ไหนกันนะผมคิด เธอจะร้องไห้เหมือนผมอยู่หรือเปล่า ผมเดินไปโดยไม่รู้จุดหมาย ผมรู้เพียงอยากอยู่บนที่-ที่สูง อยากสัมผัสอากาศและมองท้องฟ้า ไม่นานผมก็ได้อยู่บนที่-ที่สูงพอ แม้ไม่มีท้องฟ้าให้มอง มีแต่ผู้คนเดินสวนกันไปมา ผมมองคนพวกนี้เป็นเพียงเส้นสีดำทื่อๆที่ลอยไปมา และผมก็ออกเดินไปมาเช่นกัน ผมเดินและคิดเกี่ยวกับเธอ เธอมาเพื่อปลดปล่อยผม แต่แล้วเธอกลับจากผมไป ในตอนนั้นเองที่ผมคิดได้ว่า ผมถูกเธอปลดปล่อยแล้วหรือยัง... ผมหยุดนิ่งและนั่งลง

    จากนั้นผมลุกขึ้นและเดินต่อ ยังต้องสู
    งกว่านี้อีกนิดสินะผมคิด และเมื่อถึงที่หมายผมก็เดินล่องลอย ให้ความรู้สึกเหมือนเดินทวนน้ำ ตอนนั้นคำพูดเธอที่บอกว่า อย่าเดินสวนทางกับเวลาที่เหลือ แล้วนี่ผมกำลังเดินสวนทางกับมันอยู่หรือเปล่านะ ผมหยุดเดิน ใช่แล้ว เพราะว่าผมเดินสวนกับเวลาที่เหลือของตัวเองมานาน เรื่องร้ายๆจึงมีไม่จบสิ้น เวลาของผมอาจหมดลงไปนานแล้ว แต่ผมเดินสวนทางกับเวลาเพื่อยื้อมัน...

    และในตอนนั้น ผมได้ยินเสียงเธอ ผมขานรับ และหันไปมองตามเสียงทันที เธออยู่ตรงนั้น ผมลูบหน้าตนเองและเปล่องเสียงออกมาด้วยความโล่งและทุกข์ใจ มันเหมือนเธอในความฝัน และมันใช่เธอ
    จากนั้นความมืดที่แปลกแยกก็ได้เข้ามาปกคลุมที่ตรงนี้ที่ผมอยู่ ผู้คนหายไปแล้ว และผมออกวิ่งไปหาเธอ เธอยิ้มให้ผมก่อนจะเอ่ยว่า "ฉันมาเพื่อปลดปล่อยคุณ" ผมกอดเธอและร่วงหล่นอย่างตั้งใจ ผมร่วงลงและดิ่งลงสู่เบื้องล่าง ผมกำลังถูกปลดปล่อยและครั้งนี้ผมไม่เดินสวนกับเวลาที่เหลืออีกแล้ว.... ผมถูกปลดปล่อยแล้ว

    .
    .
    ในที่ที่ไกลจากแสง ผมเห็นเธอ
    ที่นี่ถูกปกคลุมด้วยความมืดที่แปลกแยก แต่มันกลับชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ มีบ้านที่อยู่ห่างไกล และท่องดอกไม้ตรงที่เธอยืน ผมเห็นแม่น้ำและมีหมอกสีขาวตัดกับความมืด

    ผมเดินตรงไปหาเธอ เธอยิ้มให้ผมและยื่นมือออกมา ผมจับมือเธอสัมผัสมือเธออีกครั้ง ได้เห็นเธออีกครั้ง เราได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง เธอพาผมไปเดินเล่น และเธอออกวิ่งนำไป เธอค่อยๆเดินห่างจากผมไปทีละเล็กทีละน้อย ก่อนจะหยุดรอผม ผมเดินตามเธอ เมื่อถึงตัวเธอผมจึงกอดเธอเอาไว้แน่น ผมขอโทษเธอซ้ำๆและเธอบอกแค่ไม่เป็นอะไร ผมมองเธอ เธอยิ้มและบอกว่า

    "ฉันพาคุณมาส่งบ้าน" จากนั้นผมจึงมองรอบตัวใหม่อีกครั้ง ที่นี่.. บ้านของผม?

    "มันจะดูมืดมิดแค่ตอนที่ฉันยังอยู่ แต่ไม่นานมันจะสว่างและสวยดังเดิม" มองเธออีกครั้ง

    "เธอจะจากฉันไปเหรอ?" เธอยิ้มให้กับคำถามของผม

    "ไม่มีการพรากจากในที่แห่งนี้ มีแต่การพบเจอ และจะจาก-ก็เพื่อการพบเจอกันใหม่อีกครั้ง" เธอจับมือผมไปสัมผัสใบหน้าเธอ

    "ฉันมีบางอย่างจะบอกคุณ"

    และในตอนนั้นมันเหมือนความฝันซ้อนความฝันอีกที

    อีกที่หนึ่ง

    เด็กสาวคนหนึ่งกำลังร้องไห้ เธอถูกทำร้ายร่างกาย แต่ไม่ได้ตาย เธอถูกยิงแต่ไม่ได้โดนตัวเธอ มันแค่เป็นการข่มขู่และจากนั้นไม่รู้ว่าความทรมานมีมากแค่ไหนที่เธอได้รับ ด้วยร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้ว มันทำให้เธอช็อคและหมดสติไป เธอถูกประคองและอุ้มขึ้นจากพื้น เธอแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ทำร้ายเธอ เขาอุ้มเธอที่ร่างกายเหมือนไร้กระดูก และเดินออกจากที่นั่น เพื่อไปสู่อีกที่หนึ่ง ไม่มีเสียงใดคัดค้าน ไม่มีคำโต้แย้ง และไม่มีคำถามใด เธอถูกรักษาหลังจากนั้น เขาพูดว่าต้องให้เธอรอด...

    .....................

    "เธอรอด.." ผมพูดได้แค่นั้น

    "ฉันเสียใจ.. ฉัน"

    "ไม่ ไม่ ไม่หรอก.." ผมจับไหล่เธอ "ฟังนะ"
    "เธอทำหน้าที่ของเธอและมันเสร็จสมบูรณ์แล้ว.. เธอปลดปล่อยฉันแล้ว และครั้งนี้ฉันรู้สึกดีกว่าครั้งไหน.. มันไม่มีอีกแล้วความเจ็บปวดและทรมาน ไม่มีอีกแล้ว.. อะไรก็ตาม ซึ่งมันก็ดี.."

    "คุณยังมี.." เธอยิ้ม ผมยิ้มตอบกลับแม้จะไม่รู้ความหมายของเธอ

    "ฉันจูบเธอได้มั้ย?" เธอหัวเราะ ผมจึงเขินอายแม้จะไม่ได้อยู่ในวัยนั้นแล้ว

    "ฉันเหมือนหลานสาวของคุณนะ แค่หอมแก้มก็พอแล้วล่ะ" แล้วเธอก็เขย่งตัวมาหอมแก้มผม

    "อายุเราห่างกันแค่สิบกว่าปีเอง" ผมพูด และเธอหัวเราะชอบใจ แต่ผมพอใจแล้ว แค่นั้นก็พอ มันดีกว่าอะไรทั้งหมด เธอพยักหน้าให้กับผม และจับมือผม เธอพาผมออกเดินอีกครั้ง ข้ามทุ่งดอกไม้ จากนั้นเธอก็พูดขึ้น

    "ฉันส่งคุณได้แค่นี้ คุณจะมีความสุขอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลาที่คุณต้องออกเดินทางอีกครั้ง เมื่อถึงวันนั้น คุณจะรู้" เธอก้มหัวให้ผมเหมือนเคารพ และผมไม่อยากให้เธอจากไปไหน

    "เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว.." ผมพูด

    เธอยิ้ม

    "ไม่เป็นอะไร ผมพยักหน้าให้เธอ"
    เรากอดกันครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะเอ่ยขึ้น

    ..
    ไม่มีที่ที่สายไปแล้วสำหรับคนที่ยอมรับแล้วซึ่งทุกสิ่ง
    วันหนึ่งเราได้พบกัน วันนั้นมันเป็นวันที่ดี
    วันนี้เราได้พูดคุยกัน และเราอาจจากลาเพียงเพื่อพบกันใหม่
    อย่าร้องไห้เลย
    ไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัว เมื่อคนเราถูกปลดปล่อยแล้ว
    ขอให้ความสุขอยู่กับคุณ เส้นทางสายใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว
    ...

    ขอบคุณ ผมบอกเธอ และเธอบอกลาผม บอกผมอีกว่าที่นี่จะสดใสเมื่อเธอจากไป ผมบอกเธอว่าผมคุ้นเคยต่อความมืดนี้แล้ว คุ้นเคยแล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เธอพยักหน้ารับคำๆนั้นและโบกมือลาก่อนจะออกวิ่งจากผมไป วิ่งช้าๆคล้ายเด็กสาวกำลังวิ่งเล่นอย่างมีความสุข เมื่อสุดสายตาจากผมแล้วความมืดที่แปลกแยกก็พลันจางหายไป มันจากไปพร้อมกับเธอ ที่นี่กลับมามีสีสันอีกครั้ง ทุกอย่างมันคือความจริง ความทรงจำมากมายจากสิ่งต่างๆรอบตัวกำลังไหลเข้าสู่หัวใจของผม ผมรู้สึกดีต่อสิ่งที่ได้เห็น สิ่งนั้น สิ่งนี้ ผมมองรอบตัวราวกับเด็กที่ตื่นเต้น จากนั้นมีคนเรียกชื่อของผม..

    ภรรยาของผม เธอเรียกชื่อของผม
    และในตอนนั้นเอง ผมได้ลืมเด็กสาวอีกคน เด็กสาวที่มีความมืดแปลกแยกปกคลุม บางอย่างได้ลบเธอออกไปจากความทรงจำของผม... ผมออกวิ่งไปหาภรรยาและจากนั้นทุกๆคนก็กลับมา ลูกชายของผมวิ่งมากอดผม และผมกอดทุกๆคุน เราพูดคุยกันเหมือนวันปกติ ผมเดินกลับบ้าน และในตอนนั้นที่ผมหันกลับไปมองทุ่งดอกไม้สีขาว บางอย่างทำให้ผมอยากมองมัน จากนั้นผมหันกลับมาและออกเดินสู่บ้านของตนเอ...

    เธอลืมตาตื่นขึ้นมา และรู้สึกได้ถึงร่างกายนี้ มันช่างทรมานแต่หัวใจของเธอทรมานยิ่งกว่า แต่อย่างน้อยก็ได้บอกลา เธอพยายามขยับแขนและมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ขาพร้อมกับเท้าทั้งสองข้าง มันคือการทดสอบอย่างหนึ่งของเธอเพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างยังปกติ แม้ตอนนี้กล้ามเนื้อทุกจุดของเธอจะปวดร้าว หัวใจของเธอเหนื่อยล้าและหายใจค่อนข้างลำบาก เธอนอนนิ่งจ้องมองเพดาน จากนั้นน้ำตาของเธอก็ไหล เธอรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างแม้ว่าจะหลับอยู่ และเธอไม่ได้หยุดพักเหมือนที่ร่างกายนี้แน่นิ่งต่อหน้าคนอื่นๆ เธอยังคงออกเดินทางและทำหน้าที่ของเธออยู่ และเธอทำสำเร็จแล้ว เธอได้ปลดปล่อยใครคนหนึ่งจากหลุมดำที่ฝังเขามานาน เธอดึงเขาขึ้นมาจากหลุมนั่นและพาไปส่งบ้านเรียบร้อยแล้ว
    .
    .
    .

    วันต่อมาเธอนั่งอยู่บนเตียงนอนสำหรับรักษาร่างกายของเธอ นั่งนิ่ง. ประตูถูกเปิดออกและใครคนหนึ่งก็เข้ามา เด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลเข้ม คิ้วสีน้ำตาล และนัยต์ตาสีน้ำตาลเข้มนั่นเอง เขาเรียกชื่อเธอ
    "หวัดดี" เขาบอกกับเธอ และเธอพยักหน้าตอบ

    "เธอโอเคบ้างแล้วใช่มั้ย?" เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงที่กังวล

    "นายคิดว่ายังไงล่ะ" เธอถามกลับด้วยเสียงที่แหบพล่า เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะยื่นบางอย่างให้เธอ

    "ฉันคิดว่าน่าจะเอามาให้เธอ" เด็กหนุ่มพูดสมุดเล่มหนึ่งถูกยื่นมา เธอจ้องมองมันและรับมันมาด้วยมือที่สั่นเทา หัวใจของเธอทำงานหนักอีกครั้ง

    "คนของเราเข้าไปจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับเขา"

    "เกี่ยวกับ-ศพ-ของเขา" เธอแก้คำให้

    ชายหนุ่มพยักหน้า
    "ใช่ เราจัดการทุกอย่างให้คนภายนอกไม่ติดใจอะไร ทั้งข้อมูล หลักฐานและอื่นๆ เขาจะเป็นเพียงคนภายนอกทั่วไปที่จบชีวิตตนเอง เขาจะมีบ้านเกิดมี.. ครอบครัว หรืออะไรก็ตามที่คนจัดการเรื่องนี้จะสรรค์สร้างขึ้น" เด็กหนุ่มอธิบายให้เธอฟัง และเธอฟังแต่ตามองแค่สมุดเล่มนั้นที่อยู่ในมือ

    "เราจัดการสิ่งของที่เขาพกพา... สิ่งนั้น สมุดนั่น ฉันคิดว่าควรเอามาให้เธอ"

    "ใช่ มันควรเอามาให้ฉัน นายเปิดอ่านมันแล้วสินะ ถึงได้รู้ว่าต้องเอามันมาให้ฉัน"

    " ใช่ " เด็กหนุ่มยอมรับ

    "ขอบคุณ" เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ประชด "ฉันให้เขาเป็นของขวัญ แต่แล้วของขวัญที่ให้ กลับถูกส่งกลับมา" เธอมองสมุดเล่มนั้น และความเศร้ามันทำให้เธอดูตัวเล็กลงกว่าเดิม

    "ฉันขอโทษ"

    "ไม่เป็นไร" เด็กสาวตอบกลับทันที

    "ขอโทษที่.. ที่ทำให้เธอไม่พอใจ" เด็กหนุ่มพยายามพูดจากใจอีกครั้ง

    "นาย.. นายเอามือถือให้เขาใช่มั้ย?" เธอมองหน้าเขาพร้อมด้วยสายตาที่ซึมเศร้า

    " ใช่ " เขายอมรับอีกครั้ง

    "นายก็รู้!" เธอขึ้นเสียง "ว่าไม่ควรให้ไป! ฉันบอกนายคืนนั้นแล้วว่าอย่าให้เขา" เขาก้มหน้ารับฟังเฉยๆ
    "สุนัขที่แสนดีมักซื่อสัตย์ต่อเจ้านายเสมอ" เธอพูดแค่นั้น และมองหน้าเขาตรงๆเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรดี เขาโกรธ และไม่พอใจ แต่นั่นก็รวมถึงความเสียใจด้วย

    " ใช่ " เขาตอบ

    "รู้อะไรมั้ย ฉันก็เคยมีสุนัขที่ซื่อสัตว์นะ มันชื่อว่าลัคกี้" เธอบอกเขา

    เด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มลุกขึ้นทันทีและขอตัวกลับ เธอไม่ได้โต้ตอบอะไร. ก่อนจะเดินออกจากประตูใครคนหนึ่งก็กำลังเดินเข้ามา เขาต้องหงุดชะงักและก้มหัวให้ด้วยความเคารพ คนคนนั้นแค่พยักหน้าให้เล็กน้อย และเขาเดินจากมาก่อนจะหันกลับไปมองอย่างลังเล

    ใครคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอหันไปมองแล้วรีบกอดสมุดไว้แน่น"ส่งมันมาให้ฉัน" เขาพูดอย่างเรียบง่าย และมายืนอยู่ข้างเตียงของเธอ

    "คุณบอกว่าเขาจะได้กลับบ้าน"

    "แล้วฉันทำอะไร"

    "ต้องให้ฉันบอกจริงๆเหรอ"เธอนอนกอดสมุดแน่นกว่าเดิม และไม่มองหน้าเขา เพราะมันจะทำให้เธอคลุ้มคลั่ง

    "มันทำตัวของมันเอง ไม่มีใครทำอะไรหรือบังคับ มันจะกลับบ้านก็ได้ แต่มันก็ไม่ได้ทำ มันเลือกเอง"

    "หรือว่าคุณบีบให้เขาเลือกล่ะ" ทีนี้เธอหันไปมองเขา เขามองเธอแต่ก็แค่นั้น สีหน้านั้นก็ไม่ได้บอกอะไรไปมากกว่าเธอไม่มีความหมายสำหรับเขา

    "ส่งมันมา" เขาบอกเธอ

    "มันไม่มีอะไรที่คุณคิดว่ามี" เธอพูด

    เขาเอื้อมมือมาจะแย่งไปจากเธอ แต่เธอก็จับมันแน่นและกอดมันไว้ในลำตัวก่อนจะนอนคว่ำ เขาก็ยังคงจับเธอและพลิกมา พยายามแย่งสมุดจากเธอ เธอเริ่มกรีดร้องเพราะความโมโห เขาบีบแขนเธอและกดหัวเธอ เธอไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้เขาอยู่แล้ว ตอนนี้เหลือแค่มือเดียวที่จับสมุดนั่น เขาดึงจากมือเธอ แค่ออกแรงนิดเดียวมันก็ไปอยู่ในมือเขา เมื่อได้มันเขาก็ผละจากเธอ เธอรีบยันตัวลุกขึ้นนั่งและพยายามไขว่คว้าเอาสมุดคืน เขาถอยห่างจากเตียงของเธอและเธอพยายามลงจากเตียง

    "หมอบอกกับฉันว่าเธอยังเดินไม่ได้.. ใช่มั้ย?" เขาพูด
    น้ำเสียงเย้ยหยันจากเขามันทำให้เธอลงจากเตียง และลงไปกองกับพื้นทันที ความเจ็บปวดพลุ่งพล่าน หัวใจเธอทำงานหนักอีกครั้ง เธอไม่อาจร้องครวญ ได้แค่หายใจหอบถี่และตัวสั่นเทา เธอเงยหน้าไปจ้องหน้าเขาและพยายามคลานไปหา เขามองดูเธอ ไม่เคลื่อนไหว จากนั้นเขาย่อตัวลงมาก่อนจะชูสมุดให้เธอดู และส่ายสมุดไปมา

    "มามะ มาสิ" เขาหยอกล้อเธอ

    เธอพยายามคลานไปหาเขา น้ำตาเธอไหลอาบแก้มเพราะความเจ็บปวดหรือเสียใจเธอเองก็ไม่อาจรู้ รู้เพียงความคลุ้มคลั่งที่มีมันสามารถพาเธอให้คลานไปหาเขาได้ เมื่อถึงตัวเขา เขาก็ยืนขึ้น และชายตามองลงมาที่เธอ แต่ไม่ยอมก้มหน้า เธอจับขาเขาและบอกว่า

    "สมุดเล่มนั้นฉันให้เขาเป็นของขวัญ เอามันคืนมาให้ฉันเถอะ ที่คุณอยากได้น่ะมันไม่มีในนั้น เขาไม่ได้เขียนอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอยากรู้เลย... เชื่อฉันหน่อยจะได้มั้ย"

    เขาผละจากเธอและกำลังจะออกไป เธอพยายามไขว่คว้าอากาศที่ว่างเปล่าเมื่อเขากำลังจะไป
    "คุณมันบัดซบ"คำสั้นๆของเธอเรียกให้เขาสนใจ เขาหันกลับมาและตรงมาที่เธอ ย่อตัวลงกระชากผมเธอ
    "เธอมันก็ไม่ต่างกัน" เขากระซิบที่หูของเธอ "เราต่างก็บัดซบเหมือนกันสาวน้อย" พูดจบเขาก็กระชากเธอให้ยืนขึ้น เขาพูดแกล้งให้เธอยืน แล้วถามว่าทำไมถึงยืนไม่ได้ ถามหยอกล้อว่าทำไมถึงล้ม เมื่อเขาปล่อยมือจากเธอ เธอก็ล้มลงและร้องไห้ เธอร้องด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็ปล่อยโฮร้องไห้ เธอเอามือเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม และมองหน้าเขา

    "สักวันหนึ่ง.." เธอพูดขึ้น เขามองมา"สักวันหนึ่งคุณจะได้ลิ้มรสความสิ้นหวัง สักวันหนึ่งจะไม่มีใครมองเห็นคุณ สักวันหนึ่ง.."เธอพูดยังไม่ทันจบเขาก็ตรงมาหาเธอ ดึงเธอให้ลุกขึ้นและเหวี่ยงไปที่เตียงของเธอ เขาจับหัวเธอกดลงบนเตียง และก่อนที่เธอจะขาดใจตายในอีกไม่ช้า เสียงหนึ่งก็เรียกเขา เขาหันมอง เด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มมองเขา และบอกให้เขาหยุด บอกว่าเธอกำลังจะตาย เขาก้มลงมองเธอและดึงเธอมาไกล้ๆเด็กหนุ่ม ก่อนจะตบหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้ายให้เด็กหนุ่มเห็น เด็กหนุ่มยืนมองเธอโดนทำร้ายโดยไม่ไหวติง ไม่ขยับเขยื้อน คนคนนั้นขยับเสื้อคลุมให้เขาที่ก่อนเดินมาหาเด็กหนุ่ม "เธอมันก็แค่คนบ้า" เขาบอกเด็กหนุ่มและเดินออกไป. เด็กหนุ่มเรียกเขา และตามมา

    "สมุดนั่น ผมตรวจสอบมันก่อนแล้ว มันไม่มีอะไรที่สำคัญสำหรับเรา.. ผมเลยเอามันมาให้เธอครับ"

    "เหรอ.." เขาตอบแค่นั้น และเดินจากไป ทิ้งเด็กหนุ่มไว้ให้ยืนเดียวดาย

    เธอถูกอุ้มขึ้นจากพื้น และวางลงบนเตียงโดยเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม หมอกำลังดูแลเธอต่อจากนั้น เด็กหนุ่มถอยออกมา และเห็นเธอชำเลืองตามองเขา ดวงตาเธอริบหรี่เหมือนเปลวเทียนที่กำลังมอดดับ เขาทำภาษามือบอกเธอ เธอจะได้สมุดคืน เธอกระพริบตาหนึ่งครั้งให้เขา..
    .
    .

    ในเวลาต่อมา สมุดถูกเปิดและมันเขียนเกี่ยวกับเธอ.. .
    .
    วันต่อมา
    เธอนอนตะแคงอย่างที่เธอถนัด ตอนนั้นเธอคิดว่าอยากกลับบ้านและอยากอ่านหนังสือสักสามสี่เล่ม. ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาและเธอไม่สนใจจะหันไปดู เธอยังคงคิดเกี่ยวกับหนังสือเหมือนเดิม. เธอจดจำเสียงฝีเท้าของคนที่รู้จักและจดจำกลิ่นตัวของพวกเขาได้ เธอรู้ว่าใครมา เขายืนอยู่ข้างหลังเธอ ไม่นานเขาก็เดินจากไป และเธอจึงพลิกตัวหันมาและเห็นสมุดเล่มนั้นวางอยู่ข้างตัวเธอ เธอหยิบมันขึ้นมา สัมผัสและเปิดอ่านมันอีกครั้ง เมื่ออ่านจบแล้วเธอก็นอนกอดสมุดแน่น

    เมื่อถึงเวลาที่เธอจะได้กลับบ้าน จริงๆมันก็แค่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กที่รกและเหม็นอับทุกครั้งยามที่ต้องเปิดประตูเข้าไป แต่เมื่อเข้าไปแล้วกลิ่นอับก็จะหายไปเพราะความชิน. เด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มเป็นคนขับรถไปส่งเธอ ระหว่างทางเธอขอให้เขาแวะไปที่ที่หนึ่ง และเขาทำตาม. เมื่อถึงที่หมายเธอบอกเด็กหนุ่มให้รอในรถ และเธอลงจากรถเดินเข้าซอยเล็กๆที่ดูโทรมๆ เด็กหนุ่มมองตามอย่างอดสงสัยไม่ได้จึงเปิดประตูลงมาและจะเดินเข้าซอยตามหลังเธอแต่....

    ทางเดินหายไปแล้ว เด็กหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลเข้ม-ยืนเกาผมสีน้ำตาลเข้มของเขา เธอไปไหนนะ เขาคิดในใจ เขาหันมองรอบตัว ที่นี่มัน.. แปลก

    เธอหยุดยืนมองเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล จากนั้นออกเดินต่อเธอหยุดที่หน้าประตูบาหนึ่ง มันเป็นตึกแถวโทรมๆเรียงติดกัน เธอไม่ค่อยชอบที่สกปรก ทรุดโทรมได้แต่ห้ามสกปรก ที่นี่จัดอยู่ในหมวดทรุดโทรมแต่ยังไม่สกปรกสำหรับเธอ เธอเคาะประตู ไม่มีเสียงตอบรับ เธอเอ่ยบางคำออกไป ประตูจึงเปิดแง้มและเธอก็แง้มหน้าเข้าไปดูเล็กน้อย ก่อนจะค่อยเข้ามาข้างในทั้งตัว ประตูปิดของมันเองซึ่งก็ดีเพราะเธอขี้เกียจจะปิดมันอยู่แล้ว ภายในนี้รกไปด้วยข้าวของทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ แม้กระทั่งทางเดินก็ต้องยกขาสูงเพื่อหลบสิ่งของเหล่านั้น มันรกแต่มันก็สะอาดสะอ้าน ภายในมีกลิ่นหอมฉุนของดอกไม้และสมุนไพรต่างๆและเธอก็ปวดจมูกจนได้เฮ้อ.. มีคนเรียกชื่อเธอ

    เธอหันไปตามเสียงเรียกจึงพบหญิงสาวในชุดยิปซีแสนสวย กระโปรงยาวพริ้วไหวเช่นเดียวกับผมของหล่อนที่ยาวมากกว่าผมของเธอ มันเป็นสีแดงเข้มและหยิกเป็นลอนใหญ่สลวย เธอก็คิดว่ามันสวยแหละนะ หล่อนเดินออกมาพร้อมกับอุ้มแมวสีดำที่สวมสร้อยไข่มุกสีขาว เจ้าแมวสีดำตัวอ้วนคู่ปรับของเธอ เธอห้ามใจไม่ให้น้ำลายไหลก่อนจะเสร็จธุระ เธออยากหม่ำมัน

    "วันนี้คงเป็นวันหายนะของฉัน" หล่อนบอกอย่างเหนื่อยหน่ายพลางลูบขนแมวอย่างเบื่อหน่าย

    "แหม ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ฉันมีเรื่อง..."

    "ไม่เอาา.." หล่อนตอบก่อนเธอจะจบประโยคหง่าวววว พร้อมกับเสียงร้องของเจ้าแมวอ้วนสีดำที่ช่วยยืนยันคำพูดของเจ้านายมัน

    "..อยากให้ช่วย" เธอต่อประโยคเดิมให้จบ จากนั้นหยิบสมุดเล่มหนึ่งจากกระเป๋าออกมาและยื่นให้หล่อน หล่อนรับมา มองดู ขณะมองดูดวงตาของหล่อนเปลี่ยนสี เธอชอบมองคนประเภทแบบหล่อนที่ดวงตาเปลี่ยนสีได้ยามต้องใช้มันทำบางอย่าง เหมือนใครคนหนึ่งที่เธอเคย..รัก เขาอาจไม่ใช่คนประเภทนี้แต่ดวงตาของเขาสวยงามกว่า ไม่ได้เปลี่ยนสีแต่มีบางอย่างไหลวนไปมา คล้ายลูกไฟกลิ้งอยู่ในดวงตาของเขา เธอชอบมันมากจริงๆ

    "สติ.. สติ" หล่อนเรียกเธอ และเธอก็มีสติอีกครั้ง"สมุดเล่นกล ใช่มั้ย?" หล่อนเอียงคอถาม

    "คงงั้น"

    "อยากให้ฉันทำอะไรกับมัน" หล่อนถาม ดวงตาฉายแววใคร่รู่

    "เผามัน"หล่อนนิ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ

    "คราวนี้ไปทำอะไรมาอีกล่ะ" หล่อนถามด้วยน้ำเสียงไม่ได้สนใจจริงจัง เธอจึงไม่ได้ตอบ.

    หล่อนปล่อยแมว จากนั้นเดินหายเข้าไปด้านหลัง แมวสีดำตัวใหญ่ยืนเฝ้ามองเธออยู่ที่พื้น มันมองหน้าเธอ

    "ยัยอ้วน" เธอบอกมัน และมันขู่ฟ่อ แยกเขี้ยวใส่เธอ. สักพักหล่อนก็เรียกเธอ กวักมืออย่างหน่ายๆให้เธอเข้าไป เธอเดินไปที่ด้านหลังและเห็นว่าหล่อนกำลังจัดเตรียมบางอย่างเพื่อจุดไฟ

    "ไฟสีฟ้านะ" เธอย้ำ หล่อนพยักหน้ารับ ก่อนจะเริ่มทำในสิ่งที่เธอรอคอย หล่อนร้องเพลง และท่องคำในภาษาที่เธอไม่เข้าใจ มากมายหลายอย่างจากนั้น หล่อนก็จุดไฟ ดวงไฟสีฟ้าลุกพรึบ

    เธอหยิบสมุดเล่มนั้นมา กล่าวบางอย่างกับมัน และโยนมันใส่ดวงไฟ ตอนนั้นเองที่เธอรอ หล่อนก็รอ ยัยแมวอ้วนสีดำก็รอ มันกระโดดขึ้นมาบนเก้าอี้ไกล้ๆเธอและจ้องมองไปที่เปลวไฟ บางอย่างที่รอคอยก็เกิดขึ้น.....

    เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว สมุดก็ถูกทำลายไปแล้วเธอก็ไม่มีห่วงอะไรในเรื่องของเขา เขาถูกปลดปล่อยแล้วจากทุกสิ่ง มันยากเกินกว่าที่เธอจะเก็บมันไว้ หัวใจเธออ่อนแอเกินกว่าจะเก็บมันเอาไว้ ทันทีที่มันถูกเผาทำลาย เธอก็ใจหายอยู่เหมือนกัน แต่ก็แค่ตอนนั้น

    "ฉันไม่ได้อะไรเลยย.." หล่อนลากเสียงยาว

    "ได้ความตื่นเต้นไง"

    "ชีวิตฉันเคยเจอความตื่นเต้นมามากกว่านั้น" หล่อนบอก

    "จ้ะจ้ะ.."

    "แล้วคราวนี้มีอะไรแลกเปลี่ยนบ้างมั้ย?" หล่อนเลิกคิ้วสูง เชิงถาม

    "ไม่มีอะไรเลย.." เธอทำท่าแบมือบ๋อแบ๋ประกอบเพื่อความสมจริง "มีแต่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม อยากได้มั้ย?" เธอถามหล่อนแล้วก็ต้องหัวเราะตัวเอง

    "หืมม.." หล่อนทำท่านึก "ออววหล่อจัง ฉันชอบสีน้ำตาลของเขา" หล่อนพูดและทำเป็นเขินอาย

    "เธอจะร่ายคาถาพรู้ดๆอะไรสักอย่างใส่เขาก็ได้นะ ให้เขาอยู่กับเธอสักคืน"

    "ไม่อาวดีกว่า ฉันไม่ชอบเด็กหนุ่มมนุษย์ ไม่เร่าร้อนพอ" แล้วสองสาวก็หัวเราะ

    "ฉันอยากได้สักสองเหรียญเงินหรือหนึ่งเหรียญทองก็ยังดี" หล่อนทำหน้าอ้อนวอน

    "ฉันไม่มี เธอก็รู้อยู่แล้ว"

    "อ่ะอ่ะก็ได้ ก็ด้าย เฮ้ออ.." หล่อนถอนหายใจยาวและดูเล็บตัวเอง

    "ฉันกลับก่อนนะ"

    "อืม.. โชคดีละกัน และอย่าวิ่งเข้าหาเรื่องร้ายๆบ่อยนักล่ะ ชีวิตเธอไม่ได้ยืนยาวนักนะ หาความสุขแท้จริงให้ตัวเองบ้าง" หล่อนบอกด้วยความจริงจัง และเธอรับมาด้วยความจริงใจ เธอพยักหน้าลา หล่อนก็เช่นกัน บางครั้งเพื่อนก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเป็นเพื่อนกัน เธอคิด.

    เมื่อกลับไปที่รถ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลก็ยืนรออยู่นอกรถ

    "ไปไหนมา" เขาถาม

    "ธุระ.. ส่วนตัว" เธอบอก

    "อืมม.." เขาอืมแค่นั้นแล้วก็เปิดประตูให้ เธอพยักหน้าขอบคุณก่อนจะขึ้นไป.

    เราออกเดินทาง ครั้งนี้ฉันกลับบ้าน... หรือห้องแคบๆของฉันจริงๆสักที... เธอคิด....หลังจากเรื่องราวเหล่านั้นฉันก็เจ็บป่วยทางจิตใจ และมันปราศจากการบำบัดหรือเยียวยาฉันร้องไห้ และร้องไห้ ฉันเห็นภาพหลอนและก็นะ.. ก็เจ็บป่วย หลังจากผ่านเรื่องที่กระทบต่อจิตใจมาก็ต้องพักฟื้น ฉันต้องการหนังสือแต่ก็ไม่มีอยู่ดี จนวันหนึ่งในความว้าเหว่ของฉัน น้าสาวได้ติดต่อมา เธอถามว่าฉันเป็นอย่างไรบ้างเพราะเห็นกลับจากภารกิจแล้วน่าจะ.. แย่ลง ฉันก็เล่าแค่ว่า แย่ และเคว้งคว้าง เธอบอกจะมาหาฉันในตอนเย็นหากเสร็จธุระเร็ว ฉันจึงรอ อย่างน้อยก็จะได้มีผู้คนมาให้พูดคุยบ้าง แต่ค่ำแล้วเธอก็ยังไม่มาฉันเลยคิดว่าคงไม่มีใครมาแล้ว แต่แล้วประตูก็ถูกเคาะ ฉันลุกไปเปิดประตูจึงเห็นว่าน้าสาวมาหาและจากนั้นเธอก็พาฉันออกไปภายนอก และวันนั้นฉันก็ได้หนังสือ มันเป็นสองเล่มแรกที่น้าสาวฉันซื้อให้ ซึ่งมันดีต่อใจ ต่ออายุหัวใจของฉันไปได้อีก...

    วันเวลาผ่านไป ฉันได้สมุดเล่มใหม่มา ใจยังลังเลที่จะเขียนมัน แต่แล้วฉันก็เขียนมันฉันเขียนมันเกี่ยวกับเขา.....

    ชายคนหนึ่งถูกปลดปล่อยจากหลุมดำแล้วโดยเด็กสาว-ผู้มีความมืดที่แปลกแยกปกคลุม..

    ...........................................................................................
    the end
    ....................
    (ตอนที่ 4 ตอนต่อไป จะเป็นเรื่องราวก่อนหน้านั้น
    คล้ายๆจะเป็นการบอกเล่าให้เข้าใจ หรืออาจเป็นตอนพิเศษก็ย่อมได้อีกเช่นกัน)
  • แถมท้าย

    เล่าว่า : ... ชายคนหนึ่งกำลังหนีบางสิ่งอยู่ในที่-ที่ไกลจากบ้าน เมื่อบ้านเขาหายไป เขาจึงมีความลับบางอย่างในจิตใจ และเดินทางโดยมีเส้นตรงที่ขนานกับพื้น เขาสร้างเส้นทางนี้ขึ้นมาเองเพราะเส้นทางสายเก่าถูกตัดขาดเนื่องจากมันถูกคนอื่นทำลายเมื่อนานมาแล้ว เขาล้มเหลวต่อสภาวะที่สูญเสีย ชั่วขณะหนึ่งเขาก็ได้สูญเสียตนเองไปด้วยเช่นกัน หลงลืมตนที่เคยเป็นและเข้าสู่ใครอีกคนที่ไม่ใช่เขาแต่ก็คือเขา.

    ในเวลาต่อมา เขาได้หันไปหาสถานที่แห่งหนึ่งที่มีไว้ชำระบาปตลอดเวลา (เพราะมันต้องคอยทำบาปอยู่ตลอดเวลา) มันคือการคร่าชีวิตผู้อื่น และเขาหวังที่จะพึ่งพามันด้วยกำลังและความแค้นฝังใจที่มีผลักดันให้เขาเดินเข้าหาที่นี่

    "เมื่อเจ้าเดินเข้า ประตูจะเปิดออก แต่เมื่อเจ้าคิดจะออก ประตูจะถูกปิดตาย"

    คำสลักบนประตูมีไว้ให้อ่าน เขาคิดเช่นนั้นและเดินเข้าไป... เขาอาศัยอยู่ที่นั่นถูกทำลายเพื่อให้ได้เกิดใหม่ และถูกทำให้เป็นคนใหม่ที่ลืมคนเก่า คนเก่าที่ได้ตายจากใปในวันนั้นที่ทางสายเก่าถูกตัดขาด คนนี้ที่ตื่นมาไม่ใช่เขาแต่ก็คือเขา เขาคนนี้ทำได้ทุกอย่างที่ต้องหลั่งเลือด เขากลายเป็นนักล่าเพียงเพราะเขาต้องการทำลายบางสิ่งที่ทำลายเขา การมีชีวิตอยู่ที่นี่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะอยู่รอดและรู้จักที่จะกำจัดหากจำเป็น เขาไม่พูดอะไรมากหากไม่ต้องการรู้อะไรอื่น. การทำให้ผู้อื่นหลั่งเลือดครั้งแรกในชีวิตเขา มันกลายเป็นการชำระล้างคนเก่าที่ยังเคยมีอยู่ในตัวเขาไปจนหมดสิ้น และเขาทำมันต่อมาเรื่อยๆตามหน้าที่ใหม่ๆและการฝึกฝนใหม่ๆ ที่นี่ไม่มีเพื่อนให้คบหามีแต่เพื่อนร่วมงานที่ชอบการหลั่งเลือด เขาไม่สนใจรสชาติของสิ่งใดอีกแล้วในตอนนั้น.

    จนวันที่เขารอคอยไกล้มาถึง วันที่เขาได้รับข่าวสารที่ต้องการและเขาวางแผน... เขาขอสร้างหน้าที่นี้ขึ้นมาเองและให้เหตุผลที่รอคอยมาทั้งชีวิต และเขาได้รับอณุญาต. ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ออกเดินทางไปสู่ที่ที่ห่างไกลสำหรับเขา เมื่อถึงที่หมายเขาเปิดเผยตัวตนและปล่อยข่าวสารบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขา ใครบางคนที่เขารอคอยจะต้องได้รับรู้ ร้อนรนและตามหา และเขาจะทำเป็นหนีด้วยความหวาดกลัว และปล่อยให้คนคนนั้นต้องคอยมองและหวาดระแวงเขาคิดอย่างนั้น เขาเฝ้าติดตามมัน สะกดรอยและหาข้อมูล เขาซุ่มและเก็บตัวในที่ที่เล็กและแคบ มีแค่ทางออกที่ชัดเจนสำหรับเขาเป็นพอ หากยามคับขันมาถึงตัว.

    แล้ววันหนึ่งที่เขารอคอยก็ได้มาถึง เขาซุ่มมองคนคนหนึ่ง มันคือคนที่เขารอมาทั้งชีวิต ครั้งแรกที่เห็นความเดือดดาลได้พลุ่งพล่าน เลือดในกายของเขาร้อน ความโกรธเกรี้ยวเปลี่ยนเขาเป็นสัตว์ในทันที พลันเขาก็ได้ปลดปล่อยบางอย่างเพื่อสังหารคนคนนั้น.

    แต่ตรงกันข้าม เมื่อสิ่งที่เขาต้องการสังหารกลับไม่มีอยู่จริงจากจุดที่เขาคอยเฝ้ามอง นี่เขาทำพลาดสิ่งใด เขาคิด ความผิดหวังเริ่มจู่โจมเขา และในตอนนั้นเองที่ความรู้สึกชาได้แล่นไปทั่วร่างอย่างบังคับไม่ได้ ร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวและความมืดก็เข้าปลกคุมเขาและมันปลกคุมหัวใจของเขาด้วยเช่นกัน.

    เมื่อลืมตาตื่นเขาถูกทรมานอยู่ เสียงมากมายคล้ายสัตว์ถูกทรมานหลั่งไหลออกจากปากของเขา เขาทั้งด่า สบทและมากมายที่คนอย่างเขาจะทำได้. ไม่รู้นานเท่าไหร่จากการทรมาน ถูกมัด ถูกดึงทึ้ง และห้อยตัวโอนเอนแม้สองเท้าจะถึงพื้นแต่สองแขนก็ถูกยกขึ้นและสองมือถูกมัดแน่นจนเลือดคลั่งใต้ผิวหนัง.

    และเมื่อคนคนนั้นเดินเข้ามา แม้แต่ในสายตาที่พล่าเลือนจากความพกช้ำ เขาก็ยังคงจดจำได้ดีว่าคนที่เดินมาหาเขาคือใคร เขาจำทุกๆอย่างได้แม้แต่เสียงสุดท้ายที่มันคนนั้นฝากไว้ มันทำให้เขาตะโกนคำรามสุดเสียงที่แหบพล่า เป็นการคำรามเหมือนสัตว์ร้ายที่ต้องการขย้ำคู่ต่อสู่และอยากฆ่าให้ตาย แต่ในตอนนี้ มันก็ไม่ต่างจากการคำรามแห้งๆเพื่อป้องกันตัวของสัตว์ที่ไม่อยากถูกทำร้ายหรือไม่อยากโดนฆ่านั่นเอง. มันคนนั้นย่อตัวจ้องหน้าเขา ความยิ่งใหญ่ที่มันมีคงจะสามารถทำได้ทุกอย่างแม้เพียงแค่กระดิกนิ้วให้เขาตาย และเขาคงตายในทันที ความน่าเกลียดที่มันมีคือความไม่แยแสต่อทุกสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของมันเอง มันมาพร้อมกับความโหดร้ายที่มีชื่อเสียง เขาอยากถุยน้ำลายใส่หน้ามันแต่คอช่างแห้งผากและปากช้ำเกินกว่าจะขยับเขยื้อน. มันถามถึงสิ่งต่างๆด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มันหยอกล้อด้วยท่าทีที่สุขุม มันมองด้วยสายตาที่เขาอยากควักออกมาและขย้ำบี้ให้เละ.

    บางอย่างที่เขาคนเดียวเท่านั้นรับรู้ บางสิ่งที่เขาคนเดียวเท่านั้นทำได้ บางเรื่องที่มันคนนั้นต้องการเพื่อให้ได้มาซึ่งบางสิ่ง และความผิดบางอย่างที่มันต้องการชำระล้างนั้น ขึ้นอยู่กับเขา และเขารู้ดีว่าถือไพ่เหนือกว่า เขาจะไม่มีวันตายหากมันไม่ได้ตายก่อน และมันจะไม่ได้อะไรหากเขาไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา. และคำถามที่เขารอก็เกิดขึ้น มันถามถึงบางสิ่ง และต้องการบางอย่าง เขาแสยะยิ้มปล่อยให้มันมองฟันที่เต็มไปด้วยคราบเลือดของเขา เขาหัวเราะในแบบที่คนไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะทำได้ จากนั้นเขาถูกซ้อม แน่นอนว่ามันไม่ยอมใช้มือของตัวเองมาเปรอะเปรื้อนต่อคนอย่างเขาแม้ว่าดวงตาของมันที่มองมา กล้ามเนื้อที่เกร็งและมือที่กำปั้นแน่นจะบ่งบอกว่ามันอยากทำ.

    ความคิดหนึ่งได้เข้ามาในหัวของเขา และเขาได้เชื่อต่อสิ่งนั้นว่าคือทางเดียวที่จะรอดเพื่อได้ทำลายมันอีกครั้ง ทางเดียวคือเขาจะไม่พูดอะไร ไม่อีกเลย.

    จากนั้นหลายสิ่งที่ทรมานร่างกายก็เกิดขึ้น แต่ด้วยความทรมานที่เคยถูกทำลายมาก่อนหน้านี้มันทำให้เขาไม่สนใจสิ่งใด เขายั่วยุด้วยสิ่งที่รู้ ท่าทางที่บอกมันว่าเขามีบางอย่างแน่นอน มันทำให้เขาสะใจที่ได้เย้ย และเขาโดนทรมานต่ออย่างสาหัสหลังจากนั้น.

    จนวันหนึ่งที่เขากำลังจะตาย มันบอกว่าเขาจะตายไม่ได้ (หากการทรมานทำให้คนอย่างแกบอกอะไรไม่ได้ ก็คงต้องหาทางอื่น แกคงคิดว่าตัวเองสำคัญและจะยังไม่ตายใช่หรือไม่ อาจใช่นะ) แม้ว่ามันจะพูดอย่างนั้นแต่มันกลับทำหน้าราวกับว่าได้ชนะเขาแล้ว.

    จากนั้นเขาถูกปล่อย แต่ยังคงถูกล่าม ผูก และหลายสิ่งที่เป็นเครื่องมือสำหรับผูกมัดให้เขาหนีไม่ได้ บางอย่างเขาพึ่งเคยเห็น บางอย่างก็พึ่งได้ลิ้มลอง มันช่างทรมานหากเป็นเขาอีกคนแต่นี่ไม่ใช่เขาคนนั้นแล้ว. เขาถูกจับโยนลงน้ำทั้งที่ยังถูกมัดคอ มันคงเป็นการทำความสะอาดอย่างหนึ่งที่ทำให้บาดแผลแสบและปวดร้าว เหงื่อไคลไหลออกแม้จะไม่ได้ขัดถู เขาดื่มน้ำแทบจะทั้งหมดนั่นจนเกือบสำลัก ทางเดียวที่จะได้ดื่มน้ำจนอิ่มเขาคิดอย่างนั้น จากนั้นเขาถูกดึงขึ้นและถูกเป่าด้วยลมร้อนที่ทำให้ผิวหนังแห้งจนเกือบละลาย แผลที่โดนน้ำมาแห้งจนแดงและเริ่มแฉะเพราะความร้อนที่มากเกินไป เกิดเป็นความปวดแสบร้อนทำให้เขาตะโกนก้อง และเมื่อมันคิดว่าแห้งดีแล้วจึงพาเขาไปรักษาบาดแผลโดยการถูกขึงตึงบนเตียง แขนขาถูกล็อค เมื่อทำแผลเสร็จมีการฉีดยาให้ในตอนท้าย. จากนั้นไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เขาสับสน มึนงงและอ่อนล้า บางอย่างอาจเป็นยาที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายเขา ทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรง ทุกอย่างถูกบังคับให้เคลื่อนไหวโดยที่ตัวเขาไม่ได้คัดค้าน.

    เขาถูกเคลื่อนย้าย เครื่องบินลำหนึ่งที่เขาต้องขึ้นมัน มันจะพาเขาไปที่ใดกันนะ และแล้วเขาก็ล่องลอย ลอยออกไปในที่ที่ไกล ปลายทางที่เขาจะไปคงเป็นที่สุดท้ายสำหรับเขา เขาคิดว่าตนเองทำผิดมาทั้งหมด ตนเองอาจโง่เขลาก็เป็นได้. ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่มันนานเหลือเกินสำหรับเขาเมื่อเครื่องลงจอด เขาถูกพาลงมา. จากสิ่งที่เขามองเห็นอย่างแรกของสถานที่นี้คือป่าเขา ที่นี่อาจเป็นประเทศใดประเทศหนึ่งในเอเชีย มันดูแตกต่างจากที่ที่เขาจากมา เหมือนเป็นอีกซีกโลกหนึ่งก็เป็นไปได้ บางอย่างบอกเขาในใจว่าที่นี่คงเป็นที่สุดท้ายสำหรับเขาแล้วจริงๆ เขาคิดซ้ำๆและโมโหตัวเองตลอด. เขาถูกเคลื่อนย้ายโดยรถยนต์คันหนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดให้เห็นสำหรับเขา.

    เมื่อถึงที่หมายเขาถูกเคลื่อยย้ายเข้าสู่ตึกสูงที่ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนนัก ทุกอย่างไม่มีความชัดเจนอีกแล้วสำหรับเขา. มันนำเขาไปรักษา ทำความสะอาดแบบที่สมควรต้องทำ จากนั้นเขาถูกนำไปขังไว้ในห้องสี่เหลี่ยมโล่งไม่มีสิ่งใดนอกจากห้องน้ำ และเขาไม่ได้หนี. จากนั้นคือช่วงที่ทรมานสำหรับเขา เขาถูกทรมานทางจิตใจผ่านเรื่องราวในอดีตที่อยู่ไกล เขาถูกทรมานด้วยสิ่งนี้ หลากหลายวิธีที่มันใช้กับเขา ทำให้เขาเข้าใจว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่ทรมานคนได้มากกว่าการถูกทำร้ายผ่านเนื้อหนัง เขาถูกกัดกินได้อย่างน่ากลัวจนสิ่งที่เคยเหมือนความไกล้ตายของเขานั้นอยู่ห่างไกลออกไป ไม่นานเขาก็อ่อนแอและทรุดลง.

    ตลอดเวลานั้นเขายังคงพูดบ้างเล็กน้อยแม้ส่วนใหญ่จะเป็นการตะโกนก้องและร้องโหยหวนเพราะความเจ็บปวด เขาไม่มีบาดแผลอะไรเพิ่มเติมแล้ว แต่หัวใจเขาต่างหากที่ได้รับบาดแผล มันทำให้เขายอมพูด แต่เขาไม่ได้พูดในสิ่งที่มันต้องการสักที ตอนนั้นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเขาคือการหวังว่าจะรอดพ้นจากที่ตรงนี้ เพื่อทำให้มันคนนั้นได้หลั่งเลือด.

    ไม่นานจากนั้น การถูกทรมารในวันหนึ่งทำให้เขามีความคิด คิดว่าความเงียบนั้นช่างดี มันช่างปลอดภัย แค่เงียบก็น่าจะปลอดภัย. การทรมารเขายังคงมี แต่เขาไม่มีสิ่งใดให้มันเห็นจากการถูกทรมานเหล่านั้นและครั้งต่อๆมา และมันยังคงหาทาง แต่ไม่เป็นผล.

    จากนั้นไม่นานเขาก็ลืมวิธีที่จะพูด ไม่พูดสิ่งใดอีกเลยแม้แต่จะครวญครางจากการถูกทรมารก็ไม่มีอีกแล้ว บางอย่างพังทลายสิ่งที่จะเปล่งเสียงของเขา เขาคิดว่าหากตายก็ต้องตายด้วยความสะใจที่มันไม่ได้อะไรจากเขา แต่เขาไม่ได้ตายและการทรมานกลับถูกยกเลิก.

    เขายังคงเงียบและถูกปล่อยตัวอีกครั้ง ถูกพาไปทำความสะอาดร่างกายเพราะเขาไม่เคยทำแม้จะมีห้องน้ำในห้องขัง จากนั้นเขาถูกเคลื่อนย้ายอีกครั้ง มันก็แค่อีกชั้นหนึ่งจากชั้นที่อยู่และเขาก็ยอมเคลื่อนไหวตามที่มันต้องการทุกอย่าง.

    ชั้นที่เขาจะต้องอยู่ ทั้งชั้นถูกทำใหม่ทั้งหมดเพื่อเขา มันโล่งและมีเพียงห้องเดียวอยู่สุดทางเดิน ทั้งชั้นคือสีขาว และห้องนั้นคือสีขาว เขาถูกเคลื่อนย้ายเข้าห้องนั้นผ่านกำแพงที่ทำจากกระจก มันถูกดึงเลื่อนขึ้นไว้ด้านบนเมื่อเขาถูกนำตัวเข้ามาภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กนี้ มีเพียงเตียงนอน ห้องน้ำ มีช่องอะไรสักอย่างไกล้เตียงนอนและในห้องน้ำ เขารู้ในภายหลังว่ามันคือช่องรับอาหารอัตโนมัติและเสื้อผ้าที่จะสวมใส่. วันแรกและวันต่อมาจากนั้นเขายังคงคิด และหาทาง ยังคงวิ่งวุ่นและพยายามหนี ในเมื่อไม่มีการทรมาน ไม่มีสิ่งใดรบกวนเขาจึงเพิ่มพลังด้วยการทาน กิน ดื่ม ออกกำลังกายเท่าที่ทำได้ในห้องแคบๆ แต่บางอย่างกดดันเขา และเขามักจะตะโกนก้องเพื่อเปล่งเสียงออกมา เขายังคงไม่เอ่ยสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดออกจากปากของเขา...

    จากนั้นต่อมา ซึ่งไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่มันส่งใครบางคนมา ใครสักคนคล้ายนักบำบัดหรือพวกนักจิตวิทยา พวกนี้ไม่ได้มาเพื่อทำร้ายหรือฆ่าฟันเขา แต่มาเพื่อรักษาและทำให้เขาพูด เขาหัวเราะเยาะมันด้วยการเบ่งเสียงให้ดูเหมือนจะพูด รายแรกเป็นเพียงชายวัยกลางคนที่เขาพุ่งเข้าขย้ำคอจนเหวอะและจับโยนใส่กำแพงกระจก มันดิ้นชักกระตุกและเขายืนมองอยู่นิ่งๆ ภายในปากยังมีเลือดรสเค็ม มันติดอยู่ที่ลิ้นของเขา

    ไม่มีการลงโทษเขาที่ทำอย่างนั้น ไม่มีการทรมาน มีแต่การดูแล ทำความสะอาด รักษา เขาไม่ขัดขืนเพราะยังไงก็ไม่สามารถทำได้. และเขาไม่เคยเห็นมันคนนั้นอีกเลยจนเริ่มหงุดหงิดใจว่ากำลังสูญเปล่าในเวลานี้ จนวันหนึ่งมันก็ได้มาหาเขา มายืนอยู่หน้ากำแพงกระจก. เขายิ้มแยกเขี้ยวแล้ววิ่งเข้าใส่ เขาทุบกระจกและพยายามพังมัน ส่วนมันคนนั้นแค่ยิ้มแล้วพูด เสียงของมันเข้ามาในห้องของเขาแม้ตัวมันเองจะยืนอยู่ภายนอก มันถามถึงสิ่งที่เขารู้ และต้องการอะไรเดิมๆ แค่ครั้งนี้เปลี่ยนวิธีการพูดแบบใหม่แต่ท่าทางยังคงเดิม หยิ่งเย้ยหยันและไม่แยแสสิ่งใด หยอกล้อเขาและทำเหมือนตนชนะอยู่ตลอดเวลา และเขายังคงทุบกระจกต่อตรงจุดที่ตรงกับหน้าของมัน.

    และในตอนนั้นเองที่กระจกร้าว.. ชั่วขณะหนึ่งสีหน้ามันเปลี่ยนไป แค่เพียงครู่เดียวมันก็ทำให้เขารู้สึกดี เขาถอยกลับไป และออกแรงกระโดดทุ่มตัวกระแทกใส่กำแพง และกระจกร้าวกว่าเดิม มันถอยหลังและสบทบางคำก่อนจะแสยะยิ้มให้แล้วเดินจากไป เขารีบถอยออกมาไปเลื่อนเตียงนอนมาไว้กลางห้อง เขาจับมันยกด้วยกำลังทีมีเพื่อให้มันตั้งตรง จากนั้นผลักมันใส่กำแพง มันค่อยๆเอนลงและทุ่มใส่กำแพง กำแพงกระจกแตกและร้าวเป็นรู เขาขยับเตียงให้กระจกแตกเพิ่มจากแรงเคลื่อนที่เสียดสีของเตียง จากนั้นเขาก็ทุบมันด้วยมือเปล่า ดึง ทุบ เมื่อเป็นรูพอลอดตัวออกไปได้ เขาจึงทำแม้จะไม่ได้ราบรื่นและมีบาดแผลมากมาย แต่มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไร เขาวิ่ง เขาหนี ด้วยใจที่ลิงโลดแม้จะยังคงกังวลใจถึงสิ่งที่ดูง่าย. ชั้นนี้ไม่มีบันไดนอกจากลิฟท์ตัวเดียวที่มี เขาวิ่งถลาไปที่มันแต่แล้วมันก็เปิดออก

    กลุ่มคนสี่คนที่ดูก็รู้ได้ ว่ามีไว้เพื่อฆ่าก็ออกมา-เขากระโจนเข้าใส่ทันทีเช่นกันทั้งสู้และฟาดฟันเต็มที่ และเมื่อสองคนแรกถูกล้มได้ แต่ที่เหลืออีกสามเขาคิดว่าคงรับมือไม่ไหวแน่ แต่กระนั้นเขาก็เกือบทำได้แล้วถ้าหนึ่งในนั้นไม่ใช้อาวุธ เขาบ้าคลั่งทั้งอารมณ์และความโมโหจนถึงที่สุด เขาคำรามและมันดังกว่าครั้งไหนๆ.

    วันเวลาผ่านไป กระจกถูกซ่อมแซมและมันหนากว่าเดิม ขาเตียงนอนถูกทำให้ยึดติดกับพื้น บาดแผลเขาได้รับการรักษาและมันดูเหมือนได้รับความเมตตา เมื่อแข็งแรงขึ้นเขาพังกระจกใหม่ และมันเกือบสำเร็จ แต่ไม่นานกำแพงกระจกก็ถูกทำใหม่และมันหนาขึ้นอีก จากนั้นเขาก็เกือบทำลายมันได้อีก และมันก็ถูกทำใหม่อีกครั้งและครั้งนี้มีการเพิ่มจำนวนกำแพงกระจกถึงสิบสี่แผ่น รวมกำแพงที่กั้นห้องเขาไว้จึงเป็นสิบห้าแผ่น แต่ละแผ่นมีระยะห่างประมาณหนึ่งเมตร เขาทำลายมันไม่ได้อีกแล้วแม้จะลองทำบ่อยครั้ง.

    วันเวลาผ่านไปมีคนถูกส่งมาอีกครั้ง รายที่สองมาในมาดสุขุมดูมั่นใจในตัวเอง อายุยังดูไม่มากนักแต่ก็ไม่อาจเดา คำพูดคำจาแต่ละอย่างถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสวยหรู อ่อนโยนจนเลี่ยนสำหรับเขา เขานั่งขดตัวบนเตียงแล้วทำเป็นล้มตัวลงนอนฟัง ผู้มาเยือนยิ้มอย่างดีอกดีใจก่อนจะผงะ เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขาที่ไม่ใช่การยิ้มอย่างคนที่เชื่อฟัง เขายิ้มแล้วค่อยๆดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ผู้มาเยือนพยายามปลอบใจเขาด้วยคำพูดที่เพ้อเจ้อของพวกนักบำบัด เขาทำเป็นเชื่อฟังก่อนจะทำท่าแสร้งนอนลงอีกครั้งจากนั้นก็..

    ค่อยกระโจนพุ่งเข้าใส่ เขาผลักผู้มาเยือนติดกำแพงก่อนจะบีบคอมันด้วยมือของเขา เมื่อผู้มาเยือนดูท่าจะไม่รอดเขาก็ปล่อยให้มันล้มกองตรงพื้นอ้าปากพะงาบหายใจติดขัด ก่อนเขาจะกระทืบซ้ำตรงหน้าอกอย่างแรง ผู้มาเยือนที่หน้าสงสารสำลักคำพูดที่ดูตลก เสียงที่เปล่งออกมาน่าขำสำหรับเขา และเขาหัวเราะ เขาจับมันลุกขึ้นแล้วโยนใส่กำแพงกระจกอย่างสุดแรง มันทรุดลงกองกับพื้นแล้วเขาก็เดินเข้าหาและใช้เท้ากระทืบตรงกลางลำคอผู้มาเยือนเป็นครั้งสุดท้าย.

    วันเวลาผ่านไปกับการคำราม ตะโกนก้องและเดียวดาย การทรมานเริ่มกลับมาอีกครั้งด้วยเสียง เสียงของผู้ที่ตายแล้วจากบ้านเกิดของเขา มันไม่มีอยู่จริง มันทำอะไรเขาไม่ได้หรอกนอกจากแค่อาเจียนพุ่งเป็นระยะๆแค่นั้น.

    วันหนึ่งมันคนนั้นมาหาเขา และก่อนมันมา เขาถูกทำให้อ่อนแรงด้วยบางอย่างอาจมาจากอาหารหรือน้ำดื่ม มันเข้ามาหาเขาในห้องสี่เหลี่ยม ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งไหนๆเมื่อเข้ามาสิ่งแรกที่มันทำคือต่อยหน้าเขา ใครจะไปคิดว่าผู้ชายวัยกลางคนจะมีแรงเท่ากับคนหนุ่มหรือมากกว่าคนหนุ่มทั่วไป มันซ้อมเขาและข่มขู่เขาอย่างเลือดเย็นด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความหมายอะไร เขาทำได้แค่หัวเราะ ร่างกายกระตุก ตอนนี้เขามั่นใจอย่างหนึ่งแล้วว่า ครั้งหนึ่งมันคนนี้ก็ต้องเคยอยู่ในที่ที่ถูกฝึกมาอย่างเข้มงวดและอันตราย การทำร้ายที่มันทำกับร่างกายเขา ไม่ใช่ป่าเถื่อนแต่เป็นวิถีของคนที่ถูกฝึกมาแม้จะใส่อารมณ์ลงไปมากกว่าความตั้งใจก็ตาม เขาก็ทำเช่นเคยเหมือนที่มันเคยมาหาเขา แต่ครั้งนี้เขาเงียบไม่มีการเยาะเย้ยหรือยิ้มหยัน แล้วมันก็จากไปด้วยความว่างเปล่า ไม่ได้อะไรจากเขา เขาคิดเสมอว่าคนอย่างมันจะเก็บเขาไว้นานสักแค่ไหนนะ.

    จากนั้นเป็นเวลานาน เขาคิดว่าอาจหลายเดือนรายที่สามถูกส่งมา รายนี้เป็นผู้หญิง หล่อนทั้งสวย-งดงามและรู้จักที่จะยั่วยวน หล่อนยอมพลีกายเพื่อให้เขาพูด คงไม่ใช่นักบำบัดซะแล้วถ้ารู้จักเรื่องนี้ดีขนาดนี้เขาคิด เขาทำเป็นยอม แสดงท่าทางอ่อนไหวและตื่นเต้นที่ได้เห็นผู้หญิง ทำเป็นไม่คุ้นเคย มีขัดขืนเพราะไม่ไว้ใจเล็กน้อย หล่อนพูดจาหว่านล้อมต่างๆนาๆเขาคิดว่าเล่นกับหล่อนซะหน่อยคงไม่เป็นอะไร เมื่อมีผู้หญิงมาให้เขาได้ปลดปล่อยถึงที่ ทำไมต้องปล่อยให้มันจบเร็วนัก หล่อนยอมมีเซ็กส์กับเขา จริงๆต้องบอกว่าเขายอมหล่อนแม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะเป็นฝ่ายรุกด้วยความโหยหาและต้องการ เขาปลดปล่อยเต็มที่แทบจะบีบเค้นหล่อนไม่ให้เหลืออะไรติดตัวกลับไป และดูเหมือนหล่อนจะชอบจากใจ ทั้งเสียงที่ครวญครางทั้งอาการที่แสดงออกมา

    เมื่อเสร็จแล้วหล่อนก็ค่อยๆหว่านล้อมเขา เขาร้องไม่พอใจในลำคอก่อนจะจับหล่อนมาไว้ใต้ลำตัวอีกรอบ แต่ครั้งนี้หล่อนเป็นฝ่ายขัดขืน จะด้วยว่ารอบแรกมันพึ่งจบไปไม่นานหรือจะเพราะว่ามันเกินหน้าที่ที่ให้หล่อนมาทำ จะยังไงหล่อนก็สู้แรงเขาไม่ได้ ทั้งกรีดร้อง ทั้งขัดขืน แต่เขาก็ยัดเยียดใส่หล่อนจนได้ ครั้งนี้แม้หล่อนจะไม่สมยอมแต่เขาก็พอใจ พวกมันรู้จักเขาน้อยเกินไปถึงใช้ผู้หญิงที่ขายช่วงล่างมาล่อลวง คงคิดว่าเขาจะไม่กล้าทำอะไรผู้หญิงสินะ เมื่อหล่อนผละจากเขาได้ก็พยายามทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม พล่ามสินะเขาคิด เมื่อเขาลุกขึ้นก็เดินไปหาหล่อน จับหน้าหล่อนมามองตรงๆก่อนจะจูบ หล่อนยังไม่ทันได้ขัดขืนเขาก็จับคอหล่อน และบิดมัน

    เพียงแค่กริ๊กเดียวเสียงนั้นมันทำให้เขาพอใจ หล่อนฟุบลงไปกองกับพื้นด้วยร่างกายเปลือยเปล่าตัวเขาก็เช่นกัน และเขารู้มาตลอดว่าถูกเฝ้ามองดูอยู่ ภายในห้องนี้แม้จะไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่ามีการถูกดู เขาก็รู้เสมอว่ามันต้องมี เขาแสดงสีหน้าเย้ยหยันและพยายามหันมองไปทั่วห้อง...

    จากนั้นวันเวลาผ่านไปเนิ่นนาน และเขากลับมาถูกทรมานทางจิตใจอีกครั้ง ถูกรักษาซ้ำๆวนไปมา เขาปรับตัวกับการมีชีวิตอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กนี้ได้แล้ว อาหาร น้ำดื่ม เสื้อผ้ามีพร้อม การทรมานกัดกินเขา แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ช่วยให้เขาอดทนและเก่งขึ้นในเรื่องการไม่เอ่ยสิ่งใด จากตอนนั้นถึงตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเป็นปกติแล้วที่จะไม่พูดสิ่งใด การคำราม ร้องครวญต่อความทรมานที่ได้รับคือการระบายอย่างหนึ่ง ที่ผ่านมามันคงคิดว่าเขากลายเป็นบ้าและพยายามใช้นักบำบัด นักพูดมาทดลองกับผม น่าขำนักที่มันไม่ได้ผล และมันคนนั้นก็รู้ดีว่าเขาเป็นอะไร เพียงแต่มันอยากลอง.

    การไม่รู้วันเวลาสิ่งนี้ทรมารเขาอย่างหนึ่ง ช่วงแรกถึงกับทุรนทุรายแต่ตอนนี้เขาปรับตัวได้แล้ว และมันคนนั้นยังคงมาหาเขา ทิ้งระยะห่างแต่เพียงพอดีในทุกครั้ง และทุกครั้งเขาถูกเล่นสนุกด้วยคำพูด บางคำกัดกินเขา บางคำเยาะเย้ยเขา บางคำทรมานเขา บางครั้งมันก็ทำร้ายร่างกายเขา. แล้วก็เหมือนเดิม เขายังคงถูกรักษา เยียวยาและทำแผล พักฟื้น ต่อด้วยการทรมานทางจิตใจ มันหลอกหลอนเขาและมันทำให้เขาป่วย ใช่แล้วเขาป่วยแต่ลึกๆแล้วเขารู้ เขาปล่อยให้มันเล่นงาน จนนานวันบางครั้งเขาท้อแท้และหลงลืมเป้าหมาย แต่แค่เพียงครู่เดียวเขาก็กลับมาตั้งเป้าหมายใหม่ดังเดิม.

    ประมาณหลายเดือนต่อจากนั้น รายที่สี่ก็ถูกส่งมา รายนี้เป็นหนุ่มน้อยนักบำบัดที่เก่งกาจทีเดียว ดูจากท่าทางที่คล่องแคล่ว สองแขนกวัดแกว่งราวกับจะสร้างสิ่งที่คิดกลางอากาศได้ น้ำเสียงที่สรรค์สร้างขึ้นเพื่อโน้มน้าวใจคน เป็นเพียงหนุ่มน้อยผู้ก้าวหน้าทางการบำบัดผู้คน เขายอมรับเลยว่า เจ้าเด็กคนนี้ทำให้เขาสนุกและเกือบเคลิ้มที่จะเอ่ยบางคำออกไป เพียงเพราะเรื่องที่หนุ่มน้อยพยายามพูดให้ผิด แล้วอยากให้เขาแก้เพราะมันเป็นสิ่งที่คนนิสัยอย่างเขาจะต้องคัดค้านทันที เกมส์นี้เขาเกือบพลาดท่าให้เจ้าหนุ่มน้อยนี่ไป แต่เขาก็ยังยอมที่จะยิ้มจากใจในรอบ.. ไม่รู้สิว่ามันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว เอาเป็นว่าเขายิ้มและหัวเราะให้หนุ่มน้อยคนนั้น เด็กหนุ่มคิดว่าตนก้าวหน้าแล้วจากความรู้สึก เลยรุกต่อทันที แต่เขาเบื่อแล้วเนี่ยสิ

    ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มเห็นว่าท่าจะไม่ดีแล้วจากสีหน้าของเขาจึงพยายามพูดจาที่พวกนักบำบัดใช้กัน พล่าม และน่าเบื่อ เขาจึงลองใช้ภาษามือเพราะคิดว่านักบำบัดน่าจะรู้จักแน่นอน หนุ่มน้อยพยักหน้า เขาทำภาษามือบอกให้เด็กหนุ่มออกไป ที่นี่ไม่มีสิ่งที่เด็กหนุ่มจะรักษาได้ เด็กหนุ่มทำท่าเหมือนอยากลองพยายามต่อเพราะเห็นเขายอมสื่อสารกลับมา แต่แล้วก็ยอมที่จะกลับ ความกลัวของเด็กหนุ่มคงเริ่มก่อตัวจากสายตาของเขาที่เด็กหนุ่มสัมผัสได้ เด็กหนุ่มกำลังผละจากไป. ตอนนั้นเองที่เขาคิดว่า ทำไมต้องปล่อยเด็กหนุ่มไปให้มันกลายเป็นช่องโหว่ มันจะดูเหมือนเขาแพ้ทางพวกเด็กๆ มันอาจได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ของเขา แต่ที่เขาเลือกจะปล่อยเด็กหนุ่มนักบำบัดคนนี้ไปเพราะเห็นบางอย่างในตัวเขา ความมุ่งมั่น ดูเป็นเด็กดีที่พยายามทำเต็มที่ และความสามารถของเขาก็ใช้ได้ดีทีเดียว แค่ต้องหาประสบการณ์ให้มากกว่านี้ ยอมรับเลยว่าเขารู้สึกเหมือนถูกดึงย้อนกลับไปในอดีตแต่แล้วเขาก็หยุดคิดและนิ่ง.

    ก่อนที่เด็กหนุ่มนักบำบัดจะเดินไปถึงกำแพงกระจก เขาเดินตามหลังเพียงแค่ไม่กี่วินาที จากนั้นเสียงดังกริ๊กที่เกิดจากการหักและบิดของกระดูกทำให้เด็กหนุ่มล้มฟุบลง... ครั้งนี้เขายืนมองอยู่เงียบๆก่อนจะถอยออกมาแล้วยิ้มเย้ยหยันอย่างที่เคยไปทั่วห้อง เพียงแต่ครั้งนี้หัวใจเขารู้สึกเศร้า....

    วันเวลาผ่านไปมันนานเท่าไหร่ไม่รู้หลังจากนั้น ไม่มีการทรมานหรือการมาเพื่อข่มขู่ เขายังคงใช้ชีวิตอยู่ด้วยการหายใจ แต่บางอย่างของเขาได้ตายจากไป ในตัวเขามีบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้และเขาก็ยังคงอยู่กับมัน. นานๆครั้งมันคนนั้นจะมาหาเขา ไม่ได้เข้ามาในห้องของเขา แต่จะยืนอยู่หน้าห้องที่มีกำแพงกระจกกั้นกลาง มีคำถาม คำพูด และมากมาย เขายังคงเงียบ และไม่ได้ฝืนใจอีกต่อไปแล้ว การไม่พูดอะไรมันกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ธรรมชาติของเขาไปแล้ว แต่ความโกรธและอาฆาตยังคงมีทุกครั้งที่ได้เห็นมัน เขาเกลียดทุกอย่างเกี่ยวกับมัน เกลียดที่มันไม่มีความแยแสต่อสิ่งใด และในทุกครั้งเขาจะตะโกนก้องใส่มันด้วยความโทสะ เพื่อหวังว่ามันจะรับรู้และรู้สึกถึงสิ่งที่เขาเก็บไว้.

    จากนั้นต่อมา เมื่อถึงเวลาที่มันคนนั้นสมควรมาหาเขา ก็ไม่มีใครมา. วันเวลายังคงเดินไป การไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำให้เขาเริ่มตาย กำลังจะตายลงอย่างช้าๆด้วยความที่ถูกทำลายจนเปราะบางก่อนหน้านี้ ตอนนี้มันนานมากกว่าหนึ่งปีมาแล้วแน่นอน จากที่เด็กหนุ่มถูกเขาฆ่าตาย รายที่ห้าคงไม่มีอีกแล้วเพราะมันเลยช่วงเวลานั้นมาแล้ว แม้ทุกอย่างจะเป็นการคาดเดาจากความคิดของตนเอง แต่มันก็ตรงทุกครั้งหรือไกล้เคียงมาโดยตลอด.

    วันแล้ววันเล่าเขาก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นเรื่อยมา วันเวลาก็ยังคงผ่านไปนานกว่านั้นเรื่อยๆ ต่อไปอีกเรื่อยๆจนบางวันเขาหลงลืมบางสิ่ง บางวันเขาไม่รับรู้อะไร และบางวันเขาลืมว่าตนต้องหนี มีอย่างเดียวที่ยังไม่ละเลยจากใจคือการทำทุกอย่างเพื่อให้มันคนนั้นตาย.


    ....................................................
    -good bye

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in