เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
When Maple Leaves Are All Goneแ ว ว วั น.
TWO


  • /

    โจเอลทิ้งตัวลงบนที่ที่เขารู้สึกปลอดภัยที่สุดเตียงนอน เขาเพิ่งค้นพบว่าการออกไปทานอาหารกลางวันเพราะในตู้เย็นที่ห้องไม่เหลืออะไรให้ทำอาหารเองนั้นช่างเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้เอง คิดขึ้นได้ดังนั้นเขาก็กลิ้งตัวไปทางหัวเตียง หยิบสมุดจดเล่มเล็กที่ถูกใช้ไปกว่าครึ่งเล่ม ดินสอที่เขามักใช้คู่กันคงซุกซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งใต้ผืนผ้าห่มขาว สอดมือเข้าไปและความหามันอย่างไร้ทิศทาง จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น โจเอลจึงได้รู้ว่าของที่เขากำลังหาตกลงพื้นไปเสียแล้ว

                เขานิ่งไปเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเสียงที่ได้ยินคือเสียงของดินสอไม้ตกลงบนพื้นไม้

    “ใต้เตียงสินะ” โจเอลสรุปกับตัวเองเมื่อมองไปบนพื้นห้องและพบว่ามันถูกปูด้วยพรม

    เขาก้มตัวมองใต้เตียง ดินสอแท่งโปรดของเขาอยู่ใต้นั้นจริง ๆ แต่สิ่งที่เขาพยายามซ่อนมันมาตลอดก็เช่นกัน โจเอลหยิบมันออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ถือทั้งสองอย่างไว้ในมือหนังสือและดินสอ เขาวางอย่างแรกไว้บนตักและอย่างที่สองไว้ข้างตัว

    แรกเริ่มนั้นหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ของเขา มันเป็นของเพื่อนร่วมชั้นสมัยมิดเดิลสคูล ในวิชาที่เรียกว่าCommunication คลาสหนึ่ง มิสเตอร์โฮปได้ให้พวกเราอ่านหนังสือและนำเสนอข้อคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ตนอ่าน โจเอลและเพื่อนที่นั่งอยู่ทางขวาของเขาได้แลกเปลี่ยนหนังสือของกันและกันหลังจบคลาสนั้น พวกเขามีเรื่องพูดคุยกันมากมาย ทำความเข้าใจและรู้จักกันเสียใหม่ทั้งหมด โจเอลยังคงรู้สึกขอบคุณตัวเองเสมอที่ยอมหันไปตามเสียงเรียกในวันนั้น

     

    แต่ตอนนี้เขาชักจะอยากเอาไปคืนเจ้าของที่แท้จริงเสียแล้วสิ

                

                โจเอลทำอย่างนั้นจริง ๆ เขาถือหนังสือเล่มนั้นออกมาพร้อมถุงผ้าสำหรับการซื้อของที่ซุปเปอร์ เขาคิดเอาไว้ว่าจะซื้อของที่นั่นก่อน มันจะทำให้เขาพอมีเวลาตัดสินใจอีกหน่อยว่าควรทำอย่างไรต่อกับหนังสือเล่มนี้ แม้จะบอกอลิเซียแล้วว่าเขาจะเอาไปคืนอย่างแน่นอน แต่ตอนที่เดินถึงป้ายรถบัสตาข้างขวาของเขากลับกระตุกสองสามที และนั่นทำให้เขาเขวไปมากทีเดียว

                มากไปกว่านั้นคือโจเอลมีเรื่องให้ลังเลใจเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องแล้ว ชั้นวางนมถั่วเหลืองที่เขาซื้อเป็นประจำนั้นตอนนี้กลับว่างเปล่า เขาเป็นคนประเภทที่หากได้ลองชอบอะไรแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจอย่างอื่นเด็ดขาด แต่ครั้งนี้เขาคงต้องยอมให้ตัวเองเสียแล้ว โจเอลเดินไปทางซ้ายของตู้สำหรับแช่นมจนของตรงหน้าเปลี่ยนชีสชนิดต่าง ๆ เขาจึงเดินกลับ เขาทำเช่นนั้นอยู่สี่รอบเห็นจะได้ จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา เขาเลือกไม่ได้เสียที ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนไปซื้อไข่ก่อน โจเอลเดินไปที่โซนด้านสุดของซุปเปอร์ เขาเห็นชั้นวางของที่มีแผงไข่อยู่เต็มไปหมด แต่เท้าก็เขาต้องสะดุดกึกเมื่อพบว่าใครบางคนกำลังยืนอยู่ก่อนแล้ว 

             ที่ตาขวากระตุกคงเป็นเพราะอย่างนี้เองสินะ

                เดิมทีนั้นเขาคิดว่าจะนำหนังสือไปวางไว้หน้าบ้านของเจ้าของเก่าของมัน จากนั้นเขาจะวิ่งหนีออกมาและไม่หันหลังกลับไปมองอีก แต่ตอนนี้เจ้าของที่ว่านั่นอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้อีกต่อไป

                ทำเหมือนทุกทีสิ

                “เฮ้”

     

                เลียมมองของที่อยู่ในตะกร้าชอปปิ้ง ไข่ไก่หนึ่งโหล โยเกิร์ตสองสามถ้วย ผักกาด และของที่เขาเพิ่งได้มาอย่างไม่ค่อยเข้าใจหนังสือ

                We Have Always Lived in the Castle

                เขารับมันมากจากมือของผู้ชายที่เขาเจอที่ร้านอาหารเมื่อตอนกลางวันนี้ คนเดียวกันกับที่ทำท่าโกรธเขาจนเดินหนีออกจากร้านไปโดยไม่ได้จ่ายค่าอาหาร เกี่ยวกับเรื่องนั้น จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิดไป และเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ไม่เข้าใจว่าตนเอง ผู้ชายคนนั้น และหนังสือเล่มนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร 

    ให้ตายเถอะ น่าปวดหัวชะมัด

                

                

                

                เราเดินมาถึงที่หมายในที่สุด หาดทรายสีดำนุ่มฝ่าเท้า คุณยังคงเดินออกไปเรื่อย ๆ สู่ท้องทะเล ผมเดินตามไปจนถึงตัวคุณ น้ำทะเลสูงเกือบถึงเท่า ตอนนั้นเองผมที่ผมพบว่าความสูงของเราเท่ากัน หรือไม่ผมอาจสูงกว่าคุณไม่กี่นิ้ว คุณหันหน้ามาทางผม แรงลมทะเลพัดผมสีน้ำตาลทองลู่ไปกับใบหน้า คุณปัดมันออก

                “ไปหาอะไรดื่มกันมั้ย”

     

                ช่างสมกับเป็นเขา ตอนนี้เราอยู่ในสวนหลังคาเฟ่ ในมือมีแก้วกระดาษคนละใบ ผมวางของตัวเองลงข้างตัวตอนที่เราทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นหญ้า พิงหลังกับต้นไม้ใหญ่ ผมไม่ได้คิดจะดื่มมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

                “ขอโทษนะที่ผมต้องมาถามเอาป่านนี้...” ผมเอ่ยขึ้นอย่างเกรง ๆ “คุณช่วยเล่าเรื่องของเรา...ผมหมายถึงเรื่องของผมน่ะ คุณช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือเปล่า”

                “เรื่องของนาย...” เขาทำท่าว่ากำลังใช้ความคิด “ไม่รู้สิ ฉันไม่คิดว่าเรารู้จักกันหรอกนะ”

                “ทำไมคุณพูดอย่างนั้น” เสียความรู้สึกนิดหน่อยที่อีกฝ่ายบอกเช่นนั้น เราไปสำรวจกันมาทุกที่รอบเมืองนี้แล้ว นั่นเพราะเขาเห็นว่าผมจำอะไรเกี่ยวกับเมืองนี้ไม่ค่อยได้จึงได้เสนอตัวพาผมทบทวนความทรงจำทุกครั้งที่เขาคุยกับผม หรือเรียกชื่อผม ราวกับว่าเรานั้นเคยรู้จักกันมาเนิ่นนาน แต่ทุกครั้งที่ผมถาม คำตอบของเขาจะนำมาซึ่งข้อสงสัยที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เขาไม่เพียงหลีกเลี่ยง แต่กลับจงใจทิ้งเบาะแสบางอย่างไว้ให้ผมด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจนถึงตอนนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรซักนิด  

                

    “ฝนตกหนักอย่างนี้คงต้องรอเวลาอย่างเดียวแล้วล่ะนะ” เสียงของเขาปลุกผมจากภวังค์ เรานั่งกันอยู่ที่โต๊ะตัวในสุดของร้านอาหารซักแห่งแถวย่านอัพทาวน์ มันทั้งเล็กและมืด ผมรู้สึกได้ถึงความอับชื้นรอบตัว เราถูกกักขังไว้ด้วยเสียงของสายฝนและท้องฟ้า เขาวางบางอย่างตรงหน้าผม

    “เบียร์ซักกระป๋องมั้ย ระหว่างรอ”

    “รออะไรเหรอ”

    “เวลาไง” เขายกกระป๋องเบียร์ที่ส่งให้ผมขึ้นจิบ

    “มันทำไมเหรอ” ผมถามอย่างคนพาซื่อ

    “ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอก ก็แค่พอตอนพระอาทิตย์ขึ้นนายก็จะตื่นเท่านั้นเอง”

    “ผมฝันอยู่งั้นเหรอ”

    “ฉันดูเหมือนความฝันหรือเปล่าล่ะ” เขาประสานมือตัวเองแล้ววางไว้บนโต๊ะ ส่งยิ้มให้ผม “...นายชอบมันมั้ย”

    “ผม...”

    “นายเมาแล้วล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้” เขาไม่ฟังผมอีกแล้ว โจเอลลุกขึ้น สะพายกระเป๋าเป้ขึ้นไหล่

     

    เขามีเป้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

     

    “ไปก่อนนะ แล้วกันเจอกัน” เขาเคาะโต๊ะสองครั้งก่อนผละออกไป

                “เดี๋ยวสิ ข้างนอกนั่น...ฝนยังตกอยู่เลยนะ” ผมตะโกนบอกเขาผ่านฝูงชนมากมายที่อัดแน่นในร้าน

                “ถ้าเป็นความฝันก็ไม่เป็นไรใช่มั้ยล่ะ”

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in