เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyleelit
ทำความรู้จัก Bluebeard พ่อหนุ่มเคราฟ้าจากซีรีส์ที่จิตที่สุดในตอนนี้
  • เชื่อว่าหลายคนคงเห็นตัวอย่างของซีรีส์เรื่อง You ของ Netflix ผ่านตามาบ้างแล้ว หากดูเผินๆ นี่อาจเป็นเรื่องราวของชายหนุ่มสุดแสนจะโรแมนติก ที่พยายามตื้อทุกวิถีทางให้หญิงรับรักตนให้ได้

    แต่แท้จริงแล้ว ภายใต้คำหวานและความเอาใจใส่นั้น มีเรื่องราวสุดจิตแสนดำมืดที่รอให้ผู้ชมค้นพบ

    #บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์

    Bluebeard

    หากใครที่อดทนความจิตของพ่อหนุ่มโจได้จนถึง episode สุดท้าย อาจสังเกตว่าชื่อของตอนนั้นคือ 'ปราสาทของบลูเบียร์ด' เป็นเรื่องแปลกมากที่ชื่อนี้ถูกกล่าวถึงในงานเขียนชิ้นสุดท้ายของเบคด้วย แต่เขาเป็นใครกันล่ะ แล้วมีความเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเรื่อง?

    เกริ่นก่อนละกันว่า Bluebeard เป็นนิทานคลาสสิกที่ถูกนำมาดัดแปลงอยู่หลายครั้ง โดยตัวเรื่องเล่าถึงขุนนางผู้มีอำนาจคนหนึ่ง เขาร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติเยอะ แต่โชคชะตาเล่นตลกที่เคราของเขามีสีผิดแผกไปจากชาวบ้าน นั่นก็คือมีสีฟ้าตามชื่อเรื่องนั้นแหละ ในจุดนี้ทำให้เขากลายเป็นที่รังเกียจเดียจฉันท์ในชุมชนมาก ครั้นจะหาเมียก็หาไม่ได้ เพราะสาวหนีหมด แต่มาวันหนึ่ง เขาก็ไปเจอพี่น้องคู่หนึ่งในหมู่บ้าน เลยขอทั้งคู่แต่งงานซะเลย

    แน่นอนว่าเด็กสาวทั้งสองคน ปฎิเสธในทันที แต่หนุ่มเคราฟ้าของเราก็เป็นสายเปย์มาก จัดงานเลี้ยง บอกให้เธอทั้งสองชวนพ่อแม่พี่น้องเข้ามางานปาร์ตี้ ประหนึ่งว่าเป็นฟูลมูนปาร์ตี้ในปราสาทของเขาเอง พวกเธอเริ่มสนุกกับงานที่เขาจัด และคนน้องก็พอจะทำใจกับสีเคราอันแสนประหลาดของเขาได้บ้างแล้ว วันต่อมาเลยตกลงรับรักบลูเบียร์ดไปโดยปริยาย

    ชีวิตของเด็กสาวก็เหมือนตกถังข้าวสาร อยากได้อะไรบลูเบียร์ดก็ประเคนให้ทั้งหมด จนกระทั่งวันหนึ่ง บลูเบียร์ดต้องออกไปนอกเมืองเพื่อทำการค้า เขาได้ให้กุญแจเอาไว้สามดอก ดอกนึงเอาไว้ไขเข้าห้องเก็บทอง อีกดอกเอาไว้เก็บสมบัติล้ำค่า บลูเบียร์ดบอกเธอว่าเธอสามารถเข้าไปดูสองห้องได้เต็มที่ อยากหยิบจับอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่มีข้อแม้เพียงอย่างเดียว คือเธอห้ามเข้าห้องสุดท้ายเป็นอันขาด ไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน

    บลูเบียร์ดเดินทางออกไป ทิ้งเด็กสาวไว้กับปราสาทและทรัพย์สมบัติ แน่นอน เธอไล่เปิดทีละห้อง ชวนเพื่อนมาปาร์ตี้ แฮงค์เอาท์กันลืมโลก ระหว่างเธอกำลังสนุกกับงานรื่นเริง เธอดันนึกขึ้นมาได้ว่า เธอยังไม่ได้เข้าไปดูในห้องสุดท้ายเลย แม้เธอจะแสดงท่าทีลังเลเล็กน้อย เธอไขกุญแจดอกนั้นเข้าไป ห้องนั้นดูเปล่าเปลี่ยว กลิ่นคาวฟุ้ง เธอย่างกรายเข้าไปในห้องเพื่อสำรวจว่าในนั้นมีอะไรกันแน่ แต่แท้จริงแล้ว นี่คือห้องเก็บศพบรรดาอดีตเมียของบลูเบียร์ดที่หายตัวไปกระทันหันต่างหาก

    ภาพที่เธอเห็นทำเอาเธอตกใจเสียขวัญมาก ถึงขั้นทำกุญแจหลุดล่วงลงจากมือ กุญแจตกลงไปในกองเลือด เธอรีบเก็บขึ้นมา แต่กุญแจดอกนั้นก็เปื้อนเลือดเสียแล้ว และไม่ว่าเธอจะเช็ดมันไปนานเท่าไหร่ เธอก็เช็ดมันไม่ออก ภายในวันนั้น บลูเบียร์ดกลับมากระทันหัน เด็กสาวพยายามบ่ายเบี่ยง แต่สุดท้ายก็ต้องคืนกุญแจให้บลูเบียร์ด ในบางเวอร์ชัน บลูเบียร์ดก็ฆ่าเด็กสาวทันที แต่บางเวอร์ชัน เด็กสาวก็รอดเพราะมีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยได้ทัน

    "แล้วถ้าปีศาจบลูเบียร์ดกับเจ้าชายรูปงามคือคนเดียวกันล่ะ"
    นี่คือประโยคหนึ่งในงานเขียนของเบค ส่วนตัวเรามองว่าซีรีส์เรื่อง YOU คือการนำเอาแก่นเรื่องของบลูเบียร์ดมาดัดแปลงเป็นเรื่องราวในบริบทสมัยใหม่ จะเห็นได้ว่าบลูเบียร์ดไม่ได้มีความเชื่อใจในตัวเด็กสาว เหมือนๆ กับโจที่ไม่ยอมเชื่อใจเบค

    จริงอยู่ที่ว่า หนังพยายามเหลือเกินที่จะนำเสนอว่าโจเป็นฮีโร่เข้ามากำจัดคนไม่ดีออกจากชีวิตของเบค เขาปกป้องเธอจากเบนจี้ อดีตแฟนหนุ่มที่ไม่จริงใจกับเธอ และพีช เพื่อนสาวที่เก็บข้อมูลพร้อมจะหักหลังเธอได้ทุกเมื่อ ไหนจะการสร้างให้เบคดูเป็นผู้หญิงหลายใจ เพื่อให้คนดูรู้สึกสงสารโจ แต่ทุกสิ่งที่เขาทำ คือการจำกัดกรอบชีวิตของเบคตามจริตของตัวเอง โดยไม่ถามถึงความสมัครใจของเธอด้วยซ้ำ
    .
    ต้องยอมรับเหมือนกันว่า แท้จริงแล้ว โจก็เป็นตัวละครที่น่าสงสาร ระหว่างเนื้อเรื่องของซีรีส์มักเผยให้เห็นถึงชีวิตวัยเด็กของโจและบาดแผลอันบอบช้ำที่เขาเข้าใจว่าคือความรัก โจเป็นเด็กบ้านแตก ถูกพ่อทำร้ายร่างกาย ส่วนแม่ก็ไม่กล้ามีปากเสียง ครั้นเมื่อออกมาอยู่เอง เขาก็เข้าไปอยู่ในสถานกักกัน จนกระทั่งคุณมูนี่ย์ ชายแก่เจ้าของร้านหนังสือ อุปถัมภ์รับเลี้ยงเขา .
    .
    มูนี่ย์ทั้งซ้อมและกักขังโจด้วยนามแห่งความรัก เขาอ้างว่าโจจะดีขึ้นถ้าหากทำตามที่เขาบอก และเมื่อความรุนแรงกลายเป็นวิธีการบอกรัก เราคงไม่คาดหวังให้โจแสดงความรักในรูปแบบที่เราและคนทั่วไปจะเข้าใจได้
    .
    ฉากหนึ่งที่เรารู้สึกสนใจมากๆ คือฉากที่กล้องแพนเข้าไปให้เห็นชั้นหนังสือในตอนสุดท้าย เราเห็นชื่อหนังสือคุ้นตาอยู่สองเล่ม นั่นก็คือ Strange Case of Dr. Jekyll and Mr. Hyde กับ A Room of One's Own ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงคุ้นชื่อกับเล่มแรกมากกว่า
    .
    โดยเล่มแรกกล่าวถึงชีวิตของแพทย์ผู้มีสองบุคลิกต่างกันสุดขั้ว ด้านนึงเป็นคุณหมอจิตใจดีมีเมตตา แต่อีกด้าน เขาคือฆาตกรใจโหด เราชอบการสอดแทรกคอนเซปต์ตัวละครผ่านวัตถุของเรื่องนี้ เพราะคุณหมอเจคิลและมิสเตอร์ไฮด์ ก็คือโจนั่นแหละ ภายนอกเขาเป็นคนสุภาพ ใส่ใจรายละเอียด ปกป้องเด็กอย่างพาโคจากพ่อเลี้ยงผู้โหดร้าย แต่อีกด้านเขาคือคนโรคจิตจอมบงการ หากมีอะไรมาขวางหน้าระหว่างเขากับเบค เขาก็จะกำจัดทั้งหมด
    .
    แล้ว A Room of One's Own ล่ะ?
    เล่มนี้ เราเชื่อว่าถ้าไม่ได้เรียนวรรณกรรมมา ต้องไม่เคยเห็นแน่ๆ คนเขียนเล่มนี้คือเจ้าแม่แห่งวงการนักเขียนหญิง เวอร์จิเนีย วูลฟ์ โดยเล่มนี้จริงๆ จะเรียกว่าเป็นนิยายก็ไม่ใช่ เพราะถ้าจะเรียกให้ถูกก็คงเป็นบทความมากกว่า วูลฟ์เล่าถึงปัจจัยที่จะทำให้ผู้หญิงในศตวรรษที่ 20 เขียนนิยายเป็นของตัวเองได้ และการที่เธอจะเขียนนิยายสำเร็จพวกเธอจะต้องมีเงินและ 'ห้อง' เป็นของตัวเองหากพวกเธอจะมาสายนี้จริงๆ
    .
    แนวคิดในบทความของวูลฟ์ปรากฎอยู่ในชีวิตนักเขียนของเบค เธอเป็นนักศึกษาป.โทวิชางานเขียนสร้างสรรค์ สภาพคล่องทางการเงินของเธอนั้น ไม่สู้ดีซะเท่าไหร่ ยิ่งรวมกับไลฟ์สไตล์ที่ไม่แมชกับฐานะ ทำให้เธอขาดส่งงานอยู่หลายครั้ง จนเกือบต้องเอาตัวเข้าแลกกับอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่แล้ว
    .
    ในแง่หนึ่งเราว่ามันคือการเย้ยหยัน มันตลกมากที่เบคไม่สามารถเขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้าที่โจจะเข้ามาบงการชีวิตของเธอ และยิ่งตลกไปกว่านั้นคือ เธอเริ่มเขียนงานได้ดี ตอนเธอโดนขังอยู่ในห้องกระจกชั้นใต้ดินของร้านหนังสือ ซึ่งล้อไปกับไอเดียของวูลฟ์ว่าหากเธอจะเขียนหนังสือเล่มดีๆ สักเล่มได้ เธอต้องมีห้องและเงิน ซึ่งเบคมีทั้งสองอย่าง เพียงแต่ว่าเธอคือนักโทษดีๆ นั่นแหละ
    .
    โดยรวมเราแอบประหลาดใจกับฉากจบนิดหน่อย ที่มีตัวละครที่เราคิดว่าตายแล้ว กลับมามีซีนอีกครั้ง เพราะเห็นว่าจริงๆ แล้วผิดจากบทในหนังสือไปด้วย ก็ได้แต่หวังว่าซีซันหน้าจะมีคำอธิบายดีๆ นะ
    .
    อย่าลืมกดไลค์เพจแล้วติดตามว่าเราจะรีวิวเรื่องไหนต่อไปล่ะ

    #Leelit #NetflixThailand

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in