เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
No Football No Lifeboringgee
Top 5 Great Liverpool Comebacks
  • 5. Liverpool VS Arsenal / FA CUP Final / 12.05.01


    เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม 2001 ที่มิลเลนเนียม สเตเดียม ซึ่งก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาลิเวอร์พูลเพิ่งคว้าแชมป์ลีกคัพที่สนามแห่งนี้มาหมาดๆ จากการเอาชนะ
    เบอร์มิงแฮมด้วยการดวลจุดโทษตัดสิน 5-4 หลังเสมอกันในเวลา 1-1 
     
    เกมนี้นอกจากจะเป็นการจัดเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศนอกอังกฤษเป็นเกมแรกแล้ว ยังเป็นการเจอกันของผู้จัดการทีมคู่แรกที่ไม่ใช่คนสหราชอาณาจักรโดยเชราร์ อุลลิเย่ร์ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล และ
    อาร์แซน เวนเกอร์ผู้จัดการทีมอาร์เซนอล เป็นชาวฝรั่งเศสทั้งคู่

    11 ตัวจริงลิเวอร์พูลประกอบไปด้วย ซานเดอร์ เวสเตอร์เฟลด์ มาร์คุส บับเบิ้ล สเตฟาน อองโชซ์ 
    ซามี่ ฮูเปีย เจมี่ คาร์ราเกอร์ แดนนี่ เมอร์ฟี่ย์ สตีเว่น เจอราร์ด ดีทมาร์ ฮามันน์ วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ 
    เอมิล เฮสกี้ และ ไมเคิ่ล โอเว่น

    เริ่มเกมมาอาร์เซนอลก็ทำประตูขึ้นนำไปก่อน เมื่อเวสเตอร์เฟลด์เตะเปิดบอลไม่ดี โรแบร์ ปิแรส จ่ายให้ ลุงเบิร์กล็อคหลบผู้รักษาประตูก่อนจะยิงผ่านมือเวสเตอร์เฟลด์เข้าไปเป็น 1-0 ในนาที่ 72 แต่แล้วใน
    นาทีที่ 83 ลิเวอร์ก็ได้ประตูตีเสมอ เมื่อแม็คอัลลิสเตอร์ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาเปิดลูกฟรีคิกจากด้านซ้ายเข้าไปในเขตโทษกองหลังอาร์เซนอลสกัดบอลไม่เด็ดขาด ก่อนที่โอเว่นจะเอี้ยวตัววอลเล่ย์ระยะ 6 หลาเข้าประตูไป

    หลังจากนั้นเพียง 5 นาทีลิเวอร์พูลกลับมาพลิกแซงชนะได้ในนาทีที่ 88 จากจังหวะสวนกลับแบร์เกอร์วางบอลยาวได้อย่างแม่นยำไปให้ไมเคิ่ล โอเว่น ใช้ความเร็วสปีดหนีโทนี่ อดัมส์ และลี ดิ๊กสัน ก่อนยิงเลียดผ่านเดวิดซีแมน เข้าเสาสองทำให้ลิเวอร์พูลพลิกกลับมาคว้าแชมป์เอฟเอ คัพท้ายเกมได้ในที่สุด
    ซึ่งปีนั้นลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยทริปเปิ้ลแชมป์ ขณะที่ ไมเคิล โอเว่น คว้ารางวัลบัลลงดอร์มาครองได้
    ในเกมนั้น ร็อบบี้ฟาวเลอร์ ได้ให้เกียรติเจมี่ เร็ดแน็ปป์ กัปตันทีมตัวจริงที่ประสบปัญหาการบาดเจ็บขึ้นไปชูถ้วยพร้อมกัน

    4. Liverpool VS Olympiacos / UEFA Champions League  / 08.12.04


    ปีแรกของการคุมทีมลิเวอร์พูลโดยราฟาเอล เบนิเตซผู้จัดการทีมชาวสเปน หลังพาทีมเก่าอย่าง
    บาเลนเซียคว้าดับเบิ้ลแชมป์มาครองได้ ทำให้เบนิเตซเป็นผู้ัจัดการทีมที่ถูกแฟนบอลลิเวอร์พูลคาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพอสมควร

    วันที่ 8 ธันวาคม ปี 2004 ลิเวอร์พูลเปิดรังแอนฟิลด์ลงแข่งขันยูฟ่าแชมป์เปี่ยนลีครอบแบ่งกลุ่ม
    นัดสุดท้ายกับโอลิมเปียกอสทีมจากประเทศกรีซ โดยมีเป้าหมาย 3 แต้มและยิงอย่างน้อย 2 ประตูขึ้นไป 11 ตัวจริงของลิเวอร์พูลประกอบไปด้วย คริส เคิร์กแลนด์ สตีฟ ฟินแน่น ซามี่ ฮูเปีย ยอร์นอาร์เน่ รีเซ่ 
    ฌิมมี่ ตราโอเร่ เจมี่ คาราเกอร์ แฮร์รี่ คีเวลล์ สตีเว่น เจอร์ราด์น ชาบี้ อลอนโซ่ อันโตนิโอ นูเยส และ 
    มิลาน บารอส 

    เปิดฉากมานาทีที่ 26 โอลิมเปียกอสได้ลูกฟรีคิกบริเวณหัวหระโหลก ระยะหวังผลได้และเป็นริวัลโด้ปั่นด้วยเท้าซ้ายทะลุกำแพงลิเวอร์พูลเข้าไป คริสเคิร์กแลนด์ได้แต่ยืนมอง จบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 1-0 
    ลิเวอร์พูลถ้าอยากเข้ารอบต้องยิงถึง 3 ประตูเท่านั้น ครึ่งหลังลิเวอร์พูลเปลี่ยนเอาซินาม่า ปงโกลล์ลงมาแทนตราโอเร่ เริ่มเกมมาได้แค่ 2 นาที ปงโกลล์ก็ทำประตูตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จ เมื่อแฮร์รี่คีเวลล์กระฉากหนีกองหลังทางฝั่งซ้ายก่อนตัดเข้าเขตโทษและจ่ายไปที่หน้าตูปงโกลล์ยิงจ่อๆเข้าไปไม่มีพลาด

    เกมดำเนินมาถึงช่วง 10 นาทีสุดท้ายก่อนทดเวลาบาดเจ็บ ลิเวอร์พูลได้ลูกฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษ 
    อลอนโซ่บรรจงเปิดไปในเขตโทษ กองหลังโอลิมเปียกอสโหม่งสกัดมาเข้าทางคาราเกอร์ที่พยามเล่นบอลแต่ถูกผู้เล่นโอลิมเปียกอสเบียดล้มลง แต่ผู้ตัดสินไม่ว่าอะไร ปงโกลล์เล่นต่อพลิกตัวเปิดบอลไปทางเสาสองนูเยสขึ้นโหม่งผู้รักษาประตูเซพได้แต่นีลเมลเลอร์ตำสำรองที่เพิ่งลงมาได้ 2 นาที ซ้ำจ่อๆเข้าประตูไป ลิเวอร์พูลต้องการอีก 1 ประตูเพื่อเข้ารอบ 

    ลิเวอร์พูลยังโหมบุกอย่างต่อเนื่องจนนาทีี่ 86 คาราเกอร์เปิดบอลจากด้านซ้าย เมลเลอร์โหม่งตั้งมาให้ 
    เจอราด์นวิ่งเข้ามาตะบันซัดไกลเข้าไปตุงตาข่าย ลิเวอร์พูลนำ 3-1 และชนะไปด้วยสกอร์นั้นส่งผลให้
    ลิเวอร์พูลเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จ ก่อนท้ายที่สุดลิเวอร์พูลจะสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี่ยนลีคสมัย
    ที่ 5 มาครองได้สำเร็จ 

    3. Liverpool VS Westham / FA Cup Final / 13.05.06

    ฤดูกาลที่สองของราฟาเอล เบนิเตซในเกมลีคลิเวอร์พูลปิดฉากฤดูกาลด้วยอันดับที่ 3 มี 82 คะแนน แชมป์ลีคในฤดูกาลนั้นคือ เชลซี นำทีมโดยโชเซ่ มูริญโญ่ ส่วนบอลยุโรปลิเวอร์พูลในฐานะแชมป์เก่าหยุดอยู่ที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของเบนฟิก้า บอลถ้วยลีคคัพก็ตกรอบแต่หัววันโดยแพ้ให้กับคริสตัลพาเลซไป 

    เหลือเพียงรายการสุดท้ายที่ลงทำการแข่งขันในฤดูกาลนี้ เอฟเอคัพนัดชิงชนะเลิศยังคงจัดที่สนาม
    มิลเลนเนียม สเตเดียมตามเดิม ลิเวอร์พูลพบเวตส์แฮม 11 ตัวจริงของลิเวอร์พูลประกอบไปด้วย 
    เปป้เรน่า สตีฟฟินแน่น เจมี่คาราเกอร์ ซามี่ฮูเปีย ยอร์นอาร์เน่รีเซ่ สตีเว่นเจอร์ราด์น ชาบี้อลอนโซ่ 
    โมโม่ซิสโซโก้ แฮร์รี่คีเวลล์ ปีเตอร์เคร้าช์ ฌิบริลซิสเซ่ ในเกมลีคลิเวอร์พูลเอาชนะเวตแฮมได้ทั้ง
    เหย้าและเยือนแต่กับนัดชิงเกมนี้มันไม่ง่ายสำหรับพวกเขา 

    เริ่มเกมอย่างสูสีแต่เป็นเวตแฮมที่ออกนำไปก่อนจากการผิดพลาดของกองหลังลิเวอร์พูล เมื่อสคาโลนี่เปิดบอลเข้ามาจากด้านขวา เหมือนไม่มีอะไรแต่คาราเกอร์ก็ทำให้มีอะไรจนได้ สกัดผิดเหลี่ยมเข้าประตูตัวเอง เวตแฮมขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 21 ถัดมาไม่กี่นาทีความผิดพลาดของลิเวอร์พูลก็ส่งผลให้เสียประตูที่สอง เมื่อเรน่าซองแตกรับบอลจากลูกยิงเอเธอริงตันไม่อยู่ และเป็นดีนแอชตัสรับส้มหล่นยิงเข้าไปง่ายๆ เวตแฮมหนีไปเป็น 2-0 ลิเวอร์พูลไม่ยอมแพ้สตีเว่นเจอร์ราด์นวางบอลยาวเกือบครึ่งสนามไปในเขตโทษให้ฌิบริลซิสเซ่ เอี่ยวตัววอลเลย์ด้วยขวาเข้าประตูไป ลิเวอร์พูลไล่มา 2-1 ในนาทีที่ 32 และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นั้น

    ครึ่งหลังลิเวอร์พูลส่งมอริเอนเตสลงสนามแทนแฮร์รี่คีเวลล์ที่บาดเจ็บ และลิเวอร์พูลก็ตีเสมอได้สำเร็จ
    ในนาทีที่ 54 อลอนโซ่เปิดบอลโด่งไปในเขตโทษบริเวณเสาสองปีเตอร์เคราช์ที่ตัวสูงกว่าใครเพื่อนโหม่งตั้งมาบริเวณจุดนัดพบเจอร์ราด์นเอี่ยวตัววอลเลย์เต็มๆ เสมอ 2-2 ดูเหมือนโมเมนตั้มเริ่มเอียงมาฝั่งหงส์แดงบ้างแล้วแต่แล้วจังหวะบุกของเวตแฮมพอล คอนเชสกี้ลากมาริมเส้นฝั่งซ้ายก่อนกึ่งยิงกึ่งเปิดบอลลอยบอลเสียบมุมเสาด้านขวาอย่างสวยงามไป เรน่าหมดสิทธิ์เซฟ เวตแฮมกลับมานำอีกครั้งในนาทีที่ 64 
    เบนิเตซตัดสินใจส่งตำรองลงมาอีก 2 คน คือแยน ครอมแคมป์มาแทนอลอนโซ่ ที่ไม่สมบูรณ์และฮามันน์ลงเล่นแทนปีเตอร์เคราช์ เวลาที่เหลือลิเวอร์พูลยังทำประตูตีเสมอไม่ได้ จนเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
    รีเซ่โยนยาวเข้าไปกรอบเขตโทษ ผู้เล่นเวตแฮมโหม่งสกัดออกมา และเป็นเจอร์ราด์นอีกแล้วที่สร้างปาฏิหาริย์ด้วยการยิงไกล 30 หลา เข้าไปตุงตาข่าย ลิเวอร์พูลโกงความตายได้อีกครั้ง 

    เกมต้องจบลงด้วยการยิงลูกโทษตัดสินชี้ขาด เปเป้เรน่าแก้ตัวจากการผิดพลาดในเกมได้ด้วยการเซพ ลูกโทษของบ๊อบบี้ ซาโมร่า พอล คอนเชสกี้ และแอนทอน เฟอร์ดินานด์ผู้ยิงลูกสุดท้ายส่งผลให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์เอฟเอคัพสมัยที่ 7 ได้สำเร็จ

    2. Liverpool VS Dortmund / Uefa Europa league / 14.04.16


    ลิเวอร์พูลภายใต้การนำทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อช่วงต้นฤดูกาลต่อจาก
    เบรดเดน ร็อดเจอร์ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังจบเกมเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้แมตช์สุดจืดชืด
    กับเอฟเวอร์ตัน เพิียงไม่กี่เดือนคล็อปป์สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลให้กับลิเวอร์พูล เข้าคุมทีมได้ไม่นานแต่พาทีมเข้าชิงได้ถึง 2 รายการ นัดชิงรายการแรกลีกคัพพบกับเมนเชสเตอร์ซิตี้ที่สนาม
    เวมบลีย์ ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายอกหัก แพ้ด้วยการดวลจุดโทษไปอย่างน่าเสียดาย และนี่คือความหวังรายการสุดท้ายที่เหลืออยู่ ยูฟ่า ยูโรป้าลีค โดยโคจรมาพบกับทีมเก่าของคล็อปป์อย่างดอร์ทมุนด์ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งในนัดแรกที่เวสท์ฟาเลนชตาดิโยนบ้านของดอร์ทมุน ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่นิดหน่อยจากกฏประตูทีมเยือน เลคแรกเสมออยู่ที่ 1-1 ผู้ทำประตูคือ ดิวอค โอริกี้ 

    11 ตัวจริงของลิเวอร์พูลประกอบไปด้วย ซิมง มิโญเล่ต์ นาธานเนียล ไคลน์ เดยัน ลอฟเลน มามาดู ซาโก้
    อัลเบอร์โต้ โมเรโน่ เอ็มเร่ ชาน เจมส์ มิลเนอร์ ฟิลิปเป้ คูติญโญ่ อดัม ลัลลาน่า โรเบอร์โต้ เฟอร์มิโน่ 
    และ ดิวอคโอริกี้ เริ่มเกมมาได้แค่ 5 นาที ทีมเยือนก็ออกนำไปก่อนเมื่อคากาวะจ่ายเรียดมาทางหน้าเขตโทษด้านขวา คาสโตรเปิดบอลให้โอบาเมยองยิงด้วยขวาติดเซฟมิโญเลต์มาเข้าทางมคิตาร์ยานซ้ำเข้าไป ดอร์ทมุนด์ออกนำ 1-0 ถัดมานาทีที่ 9 เฟอร์มิโน่เสียบอลให้มาร์โครอยส์ลากจากกลางสนามก่อนจ่ายทะลุช่องให้โอบาเมยองลากจี้เข้าไปในเขตโทษก่อนซัดเข้าไปที่เสาแรก ดอร์ทมุนด์หนีไปเป็น 2-0 ลิเวอร์พูลต้องยิงอีก 3 ประตูเพื่อเข้ารอบ 

    เริ่มครึ่งหลังมาได้ 3 นาที โอริกี้ยิงตีไข่แตกไล่มา 2-1 จากเอ็มเร่ชานทำชิ่งกับคูติญโญ่และจ่ายทะลุช่องให้โอริกี้ยิงสวนตัวไวเดนเฟลเลอร์เข้าไป แต่ดอร์ทมุด์ที่เกมรุกเฉียบขาดเหลือเกินหนีห่างออกไปอีกครั้งเมื่อฮุมเมิลส์จ่ายบอลทะลุช่องกราบซ้ายให้มาร์โครอยส์ ไม่ล้ำหน้า แปบอลหนีมือมิโยเลต์เข้าไปที่เสาไกล ลิเวอร์พูลต้องกลับมายิงให้ได้อีก 3 ลูกอีกครั้ง และผู้จุดประกายความหวังของทีมในยามที่ไม่มี               เจอร์ราด์น ก็คือพ่อมดน้อยคูติญโญ่ชิ่งบอลเล่นกับมิลเนอร์และยิงด้วยขวาบริเวณหัวกระโหลกเสียบมุมล่างเข้าไป และในนาทีที่ 78 ลิเวอร์พูลก็ตีเสมอได้สำเร็จจากลูกเตะมุมด้านซ้าย คูติญโญ่เปิดมาที่เสาแรกสเตอร์ริจน์ปล่อยบอลกระเด้งลงพื้น ซาโก้ที่รออยู่สะบัดศีรษะโหม่งเข้าไป ลิเวอร์พูลต้องการอีก 1 ประตู 

    กำลังเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บลิเวอร์พูลได้ฟรีคิกกลางสนามด้านซ้าย มิลเนอร์จ่ายเรียดไปสเตอริจที่จับบอลผิดจังหวะนิดหนึ่งก่อนจะแก้ไขได้ จ่ายตัดเข้ากลางให้มิลเนอร์ที่วิ่งเติมขึ้นมาแตะหนึ่งจังหวะและเปิดไปที่เสาสองเดยันลอฟเลนเทคตัวขึ้นโหม่งตุงตาข่าย ลิเวอร์พูลแซงชนะ 4-3 สกอร์รวม 5-4 ไปแบบสะใจเดอะค็อปทั้งสนาม  ลิเวอร์พูลเข้ารอบรองชนะเลิศไปพบกับบียารีลและชนะไปได้แต่ในรอบชิงคล็อปป์   ก็ต้องอกหักอีกครั้งเมื่อแพ้ให้แชมป์เก่า 2 สมัยซ้อน อย่างเซบีย่าไป 3-1 คล็อปป์ยังต้องรอแชมป์ถ้วยแรกกับลิเวอร์พูลต่อไป

    บรรยากาศหลังจบเกมกับดอร์ทมุนด์ นักเตะลิเวอร์พูลรวมตัวกันขอบคุณเหล่าแฟนบอล 

    1. Liverpool VS AC Milan / Uefa Champions league / 25.05.05


    เส้นทางสู้อิสตันบูลของลิเวอร์พูลเริ่มจากเอาชนะโอลิมเปียกอสในรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายอย่างสุดมันส์ 3-1 ด้วยลูกยิงปลิดชีพจากเจอร์ราด์น เข้ารอบต่อไปพบกับไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นจากเยอรมันและชนะไปด้วยสกอร์รวม 6-2 รอบก่อนรองลิเวอร์พูลเจอกับยูเวนตุสและชนะไป 2-1 โดยในนั้นมีลูกยิงใบไม้ร่วงสุดมหัศจรรย์ของหลุยส์ การ์เซียเกิดขึ้นด้วย ในรอบรองชนะเลิศเป็นการเจอกันเองของทีมในอังกฤษลิเวอร์พูลพบกับเชลซี เลคแรกในบ้านของเชลซีจบลงด้วยผลเสมอ 0-0 ต้องลุ้นกันต่อในนัดที่สองที่     แอนฟิลด์ ลิเวอร์ได้ประตูโทนและเป็นประตูชัยตั้งแต่นาทีที่ 4 จากหลุยส์ การ์เซียแม้นักเตะเชลซีจะฟ้องว่าลูกยังไม่ข้ามเส้นก็ตาม แต่ผู้ตัดสินก็ตัดสินให้เป็นประตูของลิเวอร์พูลไปแล้ว ลิเวอร์ผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศกับเอซีมิลานยักษ์ใหญ่จากอิตาลี ที่เพียบพร้อมไปด้วยดาวดังอย่าง เชพเชนโก้ กาก้า มัลดินี่ เนสต้า 

    ทางด้านลิเวอร์พูล 11 ตัวจริงที่ลงสนามคือ เจอร์ซี่ดูเด็ค สตีฟฟินแนน เจมี่คาราเกอร์ ซามี่ฮูเปีย           ฌิมมี่ตราโอเร่ ชาบี้อลอนโซ่ หลุยส์การ์เซีย สตีเว่นเจอร์ราด์น ยอร์นอาร์เน่รีเซ แฮร์รี่คีเวลล์ และ           มิลานบารอส เริ่มเกมมาได้แค่ 40 กว่าวิเท่านั้นเอซีมิลานออกนำไปก่อน 1-0 อันเดร ปีร์โลเปิดฟรีคิกจากฝั่งซ้ายมัลดินี่กัปตันทีมวิ่งเข้าแปบอลพุ่งเข้าประตูไปนำอย่างรวดเร็วสร้างความลำบากให้แก่ลิเวอร์พูลอย่างมาก ถัดมาในนาทีที่ 39 กาก้าลากจี้เข้ามาตรงกลางสนามก่อนจ่ายออกขวาให้เชพเชนโก้ตบกลับเข้ากลางในเขตโทษผ่านคาราเกอร์ให้เครสโปแปเข้าไปง่าย หนีไปเป็น 2-0 ก่อนหมดครึ่งแรกเครสโปคนเดิมทำประตูที่สองของตัวเองให้ทีมขึ้นนำ 3-0 ขาดลอย สำหรับนัดชิง 

    ครึ่งหลังเจอร์ราด์นผู้จุดประกายความหวังให้ลิเวอร์พูลโหม่งลูกเปิดจากรีเซ่บอลย้อยเข้าเสาสองไป ลิเวอร์พูลไล่มา 3-1 ถัดมาอีกแค่ 2 นาที ลิเวอร์พูลขึงเกมบุกอยู่หน้าเขตโทษของมิลาน ฮามันน์ตัวสำรองที่ลงมาแทนฟินแน่นจ่ายให้ซมิเซอร์ตัวสำรองที่ลงตั้งแต่ครึ่งแรกยิงผ่านมือดีด้าเข้าไปไล่มาเป็น 3-2   นาทีที่ 60 ลิเวอร์พูลเล่นเกมสวนกลับบอลไปถึงบารอสในเขตโทษแตะบอลชิ่งให้เจอร์ราด์ที่เติมขึ้นมาก่อนถูกกัตตูโซ่สกัดล้มลงในเขตโทษ ผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษทันที อลอนโซ่รับหน้าที่สังหารจังหวะแรกติดเซฟของดีด้าแต่บอลยังมาเข้าทางอลอนโซ่ยิงซ้ำดาบสองเข้าไป ลิเวอร์พูลใช้เวลา 6 นาที ยิง 3 ลูก ตีเสมอได้สำเร็จ ช่วงทดเวลาบาดเจ็บดูเด็คโชว์ซุปเปอร์เซฟเซฟทั้งลูกโหม่งของเชฟเชนโก้และซ้ำระยะเผาขนไปได้อย่างเหลือเชื่อ 

    สุดท้ายเกมต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ เซอร์จินโญ่ของเอซีมิลานยิงคนแรกและซัดข้ามคานไปอย่าง ไม่ได้ลุ้น คนแรกของลิเวอร์พูลคือฮามันน์กองกลางชาวเยอรมันที่ลงมาเปลี่ยนเกมในครึ่งหลังได้อย่างสุดยอด ฮามันน์ยิงไปทางฝั่งซ้ายดีด้าเดาถูกทางแต่ป้องกันไม่ได้ ลิเวอร์พูลนำ 1-0 คนที่สองของมิลานคือ ปีร์โล่เลือกยิงไปฝั่งซ้ายเช่นกันแต่ดูเด็คที่สวมวิญญาณบรู๊ซ กร็อบเบลาร์เซฟไว้ได้ คนที่สองของลิเวอร์พูลคือซิสเซ่ วิ่งมาแปไปด้านขวาดีด้าพุ่งไปผิดทาง ลิเวอร์พูลนำ 2-0 คนที่สามและคนที่สี่ของ       เอซีมิลานกดดันที่สุดผู้รับหน้าที่คือโธมัสสันและกาก้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาด คนที่สามของลิเวอร์พูลพลาดบ้างรีเซ่ยิงไปติดเซฟของดีด้า แต่ซมิเซอร์ยิงเข้าลิเวอร์พูลนำ 3-1 คนสุดท้ายของเอซีมิลานถ้ายิงไม่เข้าลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์ทันที และคนสุดท้ายที่รับหน้าที่นั้นคือเชพเชนโก้ที่เลือกยิงไปตรงกลางประตูไม่หนีมือดูเด็คเซพได้ ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ถ้วยยุโรปสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ ปาฏิหารย์ในค่ำคืนที่อิสตันบูลเกิดขึ้นแล้ว

    สตีเว่น เจอร์ราด์นชูถ้วยแชมป์แรกในฐานะกัปตันทีม 



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in