เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
preview.cineflections
อ้อมกอดมหัศจรรย์และสัมผัสอันอบอุ่น: สองครั้งที่ฉันได้พบ Ezra Miller

  • "ผมรู้จักเอซรามาตั้งแต่เขาอายุ 14 เขาเป็นคนที่ดีงาม"  เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) ผู้รับบท Aquaman ใน Justice League (2017)  กล่าว "และฟ้าสร้างคนอย่างเขามาเพียงคนเดียวเท่านั้น"



    ฉันเริ่มรู้จัก เอซรา มิลเลอร์​ โดยบังเอิญ​ ระหว่างเล่นเว็บ Tumblr และเห็นเซ็ทรูปถ่ายแบบของเขาเข้า

    ช่วงปลายปี 2011 เขายังเป็นเด็กหนุ่มสายตากวนๆ ผมสีดำสั้นยุ่งเหยิง ประดับโหนกแก้มบนหน้าหล่อเหลาสะดุดตา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มพราวเสน่ห์ของเขานั้นสามารถดึงดูดคนดูได้ทันที

    เอซราสมัยปี 2011 จาก Tumblr - โพสต์แรกที่ฉันรีบล๊อกเกี่ยวกับเขา

    หากตัวฉันเองที่นั่งดูรูปเอซรา และค้นคว้าเรื่องของเขาไปเรื่อยๆ ขณะยังไอค่อกแค่กเพราะหวัดกินช่วงอ่านหนังสือสอบปีหนึ่ง ก็ไม่ได้คาดฝันว่าจะได้เจอ สัมภาษณ์ และฟังเอซราเล่นดนตรีสดในอีกห้าปีต่อมา


    เด็กมีปัญหา: Early Film, TV Work

    ลายเซ็นของงานเอซรา มิลเลอร์ในช่วงแรกคือ ตัวละครเด็กหนุ่มที่ซับซ้อน เข้าถึงยาก และมีปมในอดีตชีวิตครอบครัว หรือปัญหาทางจิต ซึ่งห่างจากตัวตนจริงของเขามาก 

    จากประวัติโดยสังเขป เอซรา แมตทิว มิลเลอร์​ (Ezra Matthew Miller) มาจากนิว เจอร์ซีย์​ (New Jersey) ในอเมริกา เขาเคยเป็นเด็กขึ้อายมากๆ ถึงกับพูดติดอ่าง จึงเข้าฝึกเป็นนักร้องโอเปร่า ได้ร้องกับวง Metropolitan Opera ในนิวยอร์ก ก่อนจะออกจากวงเพราะเสียงแตกหนุ่ม (เขาเพิ่งเผยในบทสัมภาษณ์กับเออร์รี่ค่า บาดู Erykah Badu ในนิตยสาร Interview ว่าพบตั้งแต่เด็กว่าตัวเองสามารถร้องได้สองโทนเสียง) เขาออกจากโรงเรียนตอนอายุ 16 หลังจากผลงานหนังเรื่องแรก Afterschool (2008) ที่เขาเล่นเป็นเด็กนักเรียนที่พบแฝดสองคนกำลังตายอย่างทรมาน หนังพรีเมียร์ที่คานส์ ในสาขา Un Certain Regard ด้วยนะ

    ใบปิด Afterschool (2008) 

    หนุ่มน้อยเอซราใน Afterschool (2008)

    (บอกแล้วว่าเอซรับบทหนักๆแต่เด็กเลย)


    ปิดเทอมปี 2011 ฉันนั่งดูผลงานแรกๆของเอซรา:

    We Need to Talk About Kevin (2011)​ ผลงานชิ้นโบแดงที่เอซได้ร่วมงานกับเจ้าป้าสุดอาร์ต ทิลด้า สวินตัน Tilda Swinton (ก่อนจะกลับมาพบกันอีกครั้งในหนังตลกสาวโสดวายป่วงของเอมี่ ชูเมอร์, Amy Schumer - Trainwreck, 2015)

    เอซรากับทิลด้า: ซ้าย (2011) และ ขวา (2015)

    เอซรับบทเป็น เควิน เด็กเจ้าปัญหาที่ก่อกวนชีวิตแม่จนอยู่ไม่สุข และก่อวีรกรรมน่าขนลุก เป็นหนังเขย่าขวัญเชิงจิตวิทยาที่ดำดิ่งเรื่องความสัมพันธ์แม่ - ลูก ได้น่าสะพรึงกลัว เรียกได้ว่ามองตาเอซ ในบทเควินแล้วสัมผัสว่า 'มีอะไรๆ' อยู่ใต้ม่านเด็กวัยรุ่นทั่วไป เป็นการแสดงที่มีความละเอียดอ่อนเอาเรื่อง

    เควิน (เอซรา) กับแม่เอวา (ทิลด้า) ใน We Need to Talk About Kevin (2011)

    City Island (2009) : เอซเป็นน้องเล็กตัวแสบของครอบครัวอิตาเลียนในเจอร์ซีย์​ จุดเด่นของตัวละครคือชอบสเปกผู้หญิงร่างท้วมเท่านั้น มีพล็อตรองกับการแอบรักสาวท้วมข้างบ้านได้น่ารักมาก

    กับครอบครัวใน City Island (2009) ที่มีหัวหน้าอย่างนักแสดงใหญ่แอนดี้ การ์เซีย (Andy Garcia)

    Royal Pains (2009 - 2016) : เอซรับเชิญเป็น ทั๊กเก้อร์​ ไบรอั้น (Tucker Bryant) ลูกชายหมอพระเอกของซีรีย์ที่ป่วยเป็น hemophilia บทเล็กๆที่ไม่โดดเด่นนัก 

    วัยรุ่นมีฐานะใน Royal Pains (2009 - 2016)

    Another Happy Day (2011) : เอซรับบทเป็น เอลเลียต (Elliot) ลูกชายเจ้าปัญหาในงานแต่งงานวันรวมญาติ 

    พอดีเอลเลียตเพิ่งออกจากสถานบำบัด บทในเรื่องนี้หนักมาก บอกเลย

    ฉันไม่ได้ดูงาน Beware The Gonzo (2011) ที่เอซร่วมงานกับโซอี้ คราวิทซ์ (Zoe Kravitz ลูกเลี้ยงของเจสัน โมโมอาและลูกสาวของนักดนตรีคนดังเลนนี่ คราวิทซ์ Lenny Kravitz) จนหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นหนังต่อต้านระบบกฎเกณฑ์สไตล์วัยรุ่นที่เอซตีบทแตกเอามากๆ 

    แก๊งวัยรุ่นขบถใน Beware The Gonzo (2011); ขวาสุด: โซอี้ คราวิทซ์ (Zoe Kravitz)


    ความรักพันล้านแบบ: Why Ezra?

    ทำไมถึงรักเอซรานัก? บทสัมภาษณ์ต่างๆที่คัดมาเป็นเพียงส่วนเล็กที่แสดงถึงความคิดครีเอทีฟ กว้างไกล โตเกินวัยและ เต็มไปด้วยวิญญาณศิลป์ของเอซรา ฉันเชื่อว่าคนที่น่าทึ่งอย่างเขายังมีอะไรๆให้เราได้รู้จักมากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ และรอที่จะรับฟังเขาในอนาคตเสมอ


    จากซ้าย: ชาร์ลี (โลแกน เลอร์แมน Logan Lerman), แพทริก (เอซรา), และแซม (เอมม่า วัตสัน Emma Watson) 
    ในหนังดราม่าคอเมดี้มรสุมชีวิตวัยรุ่นมอปลาย The Perks of Being a Wallflower (2012)

    ฤดูใบไม้ร่วง ปี 2012 ฉันไปดู The Perks of Being a Wallflower (2012) กับเพื่อนสนิทที่โรงหนังอินดี้ในเมือง (บทแพทริกที่ทำให้เอซขโมยซีนพระ- นาง ไปเต็มๆ) พร้อมๆกับได้อ่านบทสัมภาษณ์ของเอซรา ในนิตยสาร OUT ที่เขาระบุว่าตัวเองเป็น queer (คำนิยามเพศสภาพของ LGBTQ ที่เป็น 'ทุกอย่างยกเว้น Straight')

    "ผมไม่ได้รักใครสักคนเป็นพิเศษ (I am very much in love with no one in particular.) ผมยังพยายามเข้าใจธรรมชาติของความสัมพันธ์อยู่" เขากล่าว

    ถ่ายแบบสวยๆให้ OUT (2012)

    เอซรากล่าวเสริมในสัมภาษณ์ (2012) ระหว่างโปรโมทหนังว่า "เมื่อผมระบุสถานะของตัวเองเป็น queer ผมกำลังบอกว่า ผมคิดว่ามนุษย์ช่างน่าอัศจรรย์ และ ความรักเป็นทั้งเกียรติและโอกาส และสิ่งที่บอบบาง เป็นกระบวนการบอบบางที่ไม่มีช่องว่างให้ความระแวง ละอายใจ หรือเกลียดชัง"


    ในบทสัมภาษณ์กับนิตยสาร ShortList ของอังกฤษเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เอซราบอกว่าหลายคน ทั้งนอก และในวงการ ต่างบอกเขาว่าการสารภาพตอนนั้นคือความผิด ("a mistake") เพราะไม่แอบซ่อนความเป็นตัวของตัวเองเพื่อที่จะได้รับบทดีๆ แต่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกกดดันอะไร 

    "แรงกดดันมักมาจากเขื่อน หรือ ก้อนบล๊อก (block) ตอนที่ผมสารภาพ ผมยกก้อนนั้น ยกเขื่อนออกไป ผมทำลายกำแพงขวางกั้นสถานะของผมในโลก"

    ถ่ายแบบให้ Shortlist โดยสวมสร้อย Princess สีทองประจำตัว

    " 'คุณทำผิดนะ' เป็นอะไรที่ยากต่อการรับฟัง บางทีถ้าผมทำความผิดจริง... แต่ไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ผมไม่คิดว่าผมทำอะไรผิด..... อะไรๆที่พวกเขาพูดน่ะ 'ขยะ' ทั้งนั้น.... พวกเราต่างหาก มันขึ้นอยู่กับพวกเราที่จะสร้างโลกที่เราอยากอยู่ แต่พวกเราพร้อมแล้ว มนุษย์พร้อมแล้ว"

    เอซราเป็นหนุ่มที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เป็นคนที่มีความคิดไม่เหมือนใคร (คิดจะอัดเทปคลื่นเสียงปลาวาฬเมื่อถูกถามว่าอยากทำมิกซ์เทปอะไรให้คน!) โอบอ้อมอารีย์ จิตใจดี และพร้อมแจกจ่ายความรัก ความอบอุ่นให้แฟนๆ เขาเข้าถึงศิลปะ พูดคุยอย่างฉลาดฉะฉานด้วยภาษาสวยงามและเต็มไปด้วยความรู้ ปรัชญา ความรู้สึกลึกล้ำเกินวัย เขามองโลกในแง่ดี ทำให้แฟนๆยิ้มได้ทุกครั้งที่พบเจอ ไม่เคยถือตัว ใครๆที่เคยพบเอซราก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาน่ารักมากๆ

    ถ่ายแบบให้ Interview (2017) เซ็ทนี้เจ๋งจริงจัง!

    เมื่อเออร์รี่ค่า บาดู ในนิตยสาร Interview ถามถึงนิยาม 'ความรัก' ของเอซราตอนนี้ เขาตอบว่า:

    ".... ถ้าผมสามารถหาคำได้ ผมคิดว่ามีคำนิยามความรักเป็นพันแบบ แต่ถ้าต้องรวบรัดอธิบาย ผมก็จะอธิบายว่าความรักเป็นเยื่อต่อติด เป็นเลือดของจักรวาล หรือน้ำที่หล่อเลี้ยงอวกาศทั้งหมด สัญลักษณ์ของเดอะ แฟลชคือสายฟ้าแลบบนหัวใจ ถ้ามีพลังฮีโร่พิเศษที่เราต้องการอย่างมากตอนนี้ ก็ย่อมเป็นพลังเหนือธรรมชาติที่ทำให้เรานึกถึงการเชื่อมต่อและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผมรู้ว่ามันฟังดูหลอกๆและมีคนพูดซ้ำอย่างนี้เยอะแยะ แต่ผมคิดว่า เรื่องราวซุปเปอร์ฮีโร่ก็ต้องมาจากที่ไหนสักแห่ง เราวาดภาพที่สร้างแรงบันดาลใจ--ไม่ว่าจะเป็นพ่อมดหรือซุปเปอร์ฮีโร่--เพื่อเตือนใจเราว่าจริงๆ เรามีพลังความสามารถนั้นอยู่ในตัวอยู่แล้ว ผมคิดว่าไฟฟ้าสามารถวิ่งผ่านเส้นลวดที่ไม่ติดต่อกันได้ ไม่ว่าลวดจะพังหรือถูกทำลายแค่ไหน

    ซุปเปอร์ฮีโร่--ทุกๆตัวนั่นแหละ--ย่อมมาจากโลกแห่งจินตนาการ และถูกแสดงโดยมนุษย์ แต่งขึ้นโดยมนุษย์ และมันคือความเชื่อที่เรามีให้กับตัวละครพวกนี้ที่ทำให้พวกเขามีชีวิต"

    เห็นไหมละว่าเขาละเอียดอ่อน ลึกล้ำแค่ไหน!

    งานเด่นๆอีกของเอซราหลัง 2012 ที่แนะนำเลยคือ Stanford Prison Experiment (2015) ที่รับบทเป็นนักโทษในคุกจำลองเพื่อการทดลองทางจิตวิทยาของดอกเตอร์ซิมบาร์โด (Dr. Zimbardo) สร้างจากเรื่องจริง และเป็นบทที่ขยี้อารมณ์คนดูสุดๆ 

    เอซรายังแสดงร่วมกับนักแสดงรุ่นๆเดียวกันอย่าง ไท เชอร์ริแดน (Tye Sheridan, ไซคลอปส์จาก X-Men ภาคล่าสุด), จอห์นนี่ ซิมมอน์ส (Johnny Simmons, หวลกลับมาเจอกันหลัง The Perks of Being a Wallflower), กีฮง ลี (Kihong Lee อาตี๋มินโฮจากเมซ รันเนอร์ Maze Runner) และไมลส์ ไฮเซอร์ (Miles Heizer, อเล็กส์ จาก 13 Reasons Why)

    นักโทษเบอร์ 8612

    นอกจอ เอซราสนับสนุนอุดมการณ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ทั้ง #SaveTheArctic ทวิตเตอร์ที่มุ่งปกป้องขั้วโลกเหนือจากการขุดเจาะน้ำมัน และ #RezpectOurWater โครงการประท้วงการสร้างท่อน้ำดาโกต้า (Dakota Pipeline Access, #NODAPL) เพื่อคนท้องถิ่นของ Standing Rock Reservation เขาไปประท้วงกับไชลีแอน วู้ดเลย์ (Shailene Woodley จากไดเวอร์เจ้น, Divergent) 

    ไชลีแอน วู้ดเลย์ (Shailene Woodley) กับเอซรา ระหว่างเดินทางไปประท้วง #NODAPL หน้าร้อนที่ผ่านมา

    เขาโพสต์คลิปจากกองถ่าย Justice League โดยมีครอบครัวทีมซุปเปอร์ฮีโร่สนับสนุนอุดมการณ์ด้วย 

    เอซรา (เดอะแฟลช) กับ เรย​์ ฟิชเชอร์ (ไซบอร์ก) ในคลิปให้ข้อมูล #RezpectOurWater

    ทีม Justice League สนับสนุน #RezpectOurWater
    นอกจากนั้น เอซรายังเป็นสมาชิกวงร๊อคสุดเท่อย่าง Sons of an Illustrious Father (twitter: @SOAIFwebsite, หากสนใจลองไปฟังเพลงพวกเขาใน Spotify ได้นะ ^^) ที่กล้าพูด กล้าคิด ตั้งใจใช้สื่อเป็นสนับสนุนอุดมการณ์มากมาย เห็นได้จากทวิตเตอร์ที่เดือดด้วยข่าวการเมืองและการเรียกร้องสิทธิการเท่าเทียมทางเพศ (ชาย หญิง และ LGBTQ) ความเท่าเทียมทางสีผิว และนโยบายต่างๆของรัฐบาลสหรัฐ เอซราอยู่ในวงนี้มาอย่างน้อย 6-7 ปีแล้ว ฉันแอบยิ้มเมื่อสังเกตเห็นเอซราสวมเสื้อยืดของวงใน Beware The Gonzo (2011)

    เป็นวงอินดี้ร๊อกที่สวยงามและแสนเท่

    หลังฉากก็เป็นวงที่มุมิน่ารักไม่เหมือนใครจริงๆ

    เพราะวงๆนี้และความแฟนบอยตัวยงของเอซราต่อแฮร์รี่ พอตเตอร์นี่เอง ทำให้ฉันได้โอกาสเจอผู้ชายที่น่าทึ่งคนนี้


    ผมเอซรานะ: Fantastic Beasts Junket, London (2016)

    **คำเตือน: บทความช่วงนี้มีความแฟนเกริล์

    ฉันจัดผมตัวเองรอบที่ล้าน หน้าห้อง 101 ในโรงแรมห้าดาวสุดหรู Claridge's กลางย่านชอปปิ้งกลางกรุงลอนดอน ยุกยิกมืออยู่ไม่สุข หัวใจเต้นเสียงต่ำตั้งแต่ทีมงานเดินมาบอกว่า "เดี๋ยวคุณจะไปหาเอซรา"

    ขนาดคิดว่าเตรียมตัวเตรียมใจมาพร้อมแต่อาทิตย์ก่อนวันสัมภาษณ์แล้วนะ--

    ห้องสัมภาษณ์เอซราในโรงแรม Claridge's

    โอกาสทำตามฝันวัยเด็กครั้งนี้มาในรูปแบบอีเมล์เรียบๆเข้าในอินบอกซ์ตอนเกือบเที่ยง ต้นเดือนพฤศจิกายนปี 2016 ทีมงานของฉันที่ทีมนักข่าวสมัครเล่นของสมาคมนักเรียนอังกฤษถามสั้นๆว่า "เราโชคดีที่ได้สล๊อตสัมภาษณ์นักแสดงสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ Fantastic Beasts and Where to Find Them ในวัน Press Junket เธอสนใจจะทำไหม"

    บูม! เกือบทำมือถือตกใส่โต๊ะในห้องแลปคอม มือฉันเย็นไปหมด

    ฉันเพิ่งได้รับตำแหน่งเป็นนักข่าวสมัครเล่นของสมาคม (โฟกัสเรื่องไลฟ์สไตล์ของนักเรียน) ไม่นานมานี้ และตั้งใจจะเขียนบทความแรกแนะนำหนังสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ พอดีอีเมล์เด้งมา

    แน่นอนว่าฉันตอบรับทำสัมภาษณ์ด้วยความตื่นเต้น เพราะความเป็นคนรักหนัง ได้เฝ้าดูคลิปสัมภาษณ์ต่างๆตั้งแต่เด็ก และใฝ่ฝันจะเป็นคนสัมภาษณ์สักครั้ง

    พอหนังที่จะได้ทำการสัมภาษณ์เป็นถึงภาคแยก (Spin-Off) ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ก็เหมือนความฝันเป็นจริงในแง่ที่ไม่คาดคิด

    ก่อนจะสัมภาษณ์ ทางวอลเนอร์​ บราเทอร์สได้จัดฉายหนังให้กับสื่อเป็นรอบๆ สี่รอบด้วยกัน ฉันทำการเลือกรอบที่สะดวกไปดูเย็นวันศุกร์ เพื่อเตรียมคำถามสัมภาษณ์ก่อน Junket Day วันอังคาร วันรวมนักข่าวและสื่อที่นักแสดงและผู้กำกับจะนั่งตอบคำถามทั้งวัน ก่อนจะเดินพรมแดงในตอนค่ำ 

    โปสเตอร์ในตึกวอลเนอร์​ บราเทอร์ส มีการนับถอยหลังวันเสร็จสรรพ

    เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่สำนักงานใหญ่วอลเนอร์​ บราเทอร์สในลอนดอน อยู่ใกล้มหาลัยของฉันเพียงแค่เดินถึงไม่กี่นาที ในออฟฟิสชั้นล่างมีทางเดินที่เต็มไปด้วยโปสเตอร์หนัง (คล้ายสตูดิโอต่างๆในแคลิฟอร์เนีย) และห้องรับรองแขกสุดทางเดิน มีพนักงานยื่นสัญญาให้เซ็นว่าจะไม่ปล่อยรีวิวหนังก่อนวันที่ตกลงกันไว้ (ระบุ Embargo แบบที่เขาพูดกันในสื่อนั่นแหละ) และถามว่าเราจะเอาน้ำอะไรไหม (รู้สึกพิเศษในฐานะแขกเอามากๆ)

    แล้วค่อยเข้าไปดูหนังในโรงหนังเพื่อสื่อโดยเฉพาะ สองชั่วโมงหลังจากนั้น ฉันออกมาพร้อมรอยยิ้ม นึกชอบหนังและเอซราเข้าเต็มเปา รีบไปเตรียมคำถามสำหรับนักแสดงและผู้กำกับขณะประสบการณ์การดูหนังยังเด่นชัดในความจำ

    วันอังคารมาถึง ฉันไปถึงโรงแรม เดินขึ้นไปชั้นหนึ่งก็เจอป้ายโปสเตอร์หนังตั้งไว้หน้าห้องเช็คอิน พอเช็คชื่อและหยิบ Press Pack ปึกเอกสารแจกสื่อเกี่ยวกับหนังเสร็จ ทีมงานก็ส่งฉันไปห้องรับรองข้างๆ ซึ่งเต็มไปด้วยกลุ่มสื่อจับจองโต๊ะกลมเล็กๆในห้อง บนโต๊ะยาวริมห้องมีขนมปัง เบเกอรี่ เครื่องดื่มต่างๆและกาแฟสั่งทำได้ (made-to-order coffee) โรงแรมนี้เลี้ยงดูดีจริงๆ

    หน้าห้องเช็กอิน

    ฉันสัมภาษณ์ผู้กำกับเดวิด เยตส์ David Yates, มักเกิ้ลแดน โฟเกลอร์ Dan Fogler (ดารานำเอ็ดดี้ เรดเมนย์ Eddie Redmayne เดินผ่านฉันแบบเหม่อๆ ขณะรอแดนอยู่ เอ็ดดี้มีกลิ่นอายผู้ดีอังกฤษที่สัมผัสได้ และสูงสง่ามาแต่ไกล ฉันแอบได้ยินทีมงานบอกกันว่า เจ เค โรว์ลิ่ง J. K. Rowling เองนั่งอยู่ในห้องๆหนึ่งด้วย)

    คลิปสัมภาษณ์รวมผกก. และนักแสดง

    และที่สามคือ เอซรา

    การสัมภาษณ์นักแสดงในวันสื่อ ไม่ได้เป็นการอยู่สองต่อสองอย่างที่คิด (ยกเว้นถ้าคุณเป็นสื่อใหญ่อย่างนิตยสารที่กำลังจะเขียนบทความใหญ่เกี่ยวกับเขาคนเดียว) ในห้องโรงแรมห้องหนึ่งมีทั้งผู้ช่วย (Publicist) ของนักแสดงนั่งจับเวลาอยู่ เพราะเขาต้องทำตามตารางที่จัดไว้ และให้เวลากับสื่อแต่ละสำนักเป๊ะๆ มีตากล้องสองคนถ่ายจากสองด้าน (ฝั่งคุณและฝั่งนักแสดง) 

    แต่เมื่อประตูเปิดขึ้นในที่สุด ผู้ช่วยของเอซราโผล่ตัวออกมาถามชื่อฉัน และเชิญฉันเข้าไปในห้อง ("เข้ามาได้เลยจ้ะ") ฉันก็ยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง


    ตอนนี้เลยหรอ

    มันกำลังเกิดขึ้นจริงๆสินะ...


    ในห้องมีไฟระดับสตูดิโอ และแสงระโยงระยางเต็มไปหมด ฉันทำการบ้านมาว่าเราไปวันสื่อในฐานะนักข่าว และควรทำตัวสำรวมมากที่สุด แม้จะรักเอซรามานานแค่ไหน และอยากเจอเขามากที่สุดในวันนี้ ฉันก็แอบเกร็ง เพราะไม่อยากให้ความแฟนเกริล (ที่อาจหลุดกรี๊ดไป) เผยออกมา

    เอซราเป็นนักแสดงคนเดียวที่ลุกจากที่นั่งเดินมาหาฉันเมื่อเห็นฉัน (!) ก่อนที่ฉันจะนั่งลงที่ๆนั่งตรงข้ามเขา

    เขาเอามืออุ่นๆทั้งสองกุมมือเดียวของฉันแทนการทักทาย คุณอาจจะหาว่าฉันบ้า หรือเพ้อไปเอง แต่ในขณะนั้น มันเหมือนเวลาหยุดนิ่งไปจนไม่รู้สึกถึงความเป็น 'เวลา' เลยละ

    (ในใจคือกรีดร้องแบบไม่มีเสียงจนเสียงหมดตัวไปแล้วค่ะ)

    สายตา โหนกแก้ม ชัดขนาด​ HD เขินมากๆแต่ค่อยๆสัมภาษณ์ไปก็ชินขึ้น--

    "ไฮ" เขาทัก และต้องขอบคุณตากล้องที่เริ่มอัดตั้งแต่ตอนนี้ ทำให้ฉันได้คลิปเสียงสนทนาก่อนเริ่มสัมภาษณ์จริงจัง ตอนที่เขาพยายามจะเรียกชื่อฉันให้ถูก "แองจิล่า?"

    ฉันแทบจะเข่าอ่อนกับความเป็นส่วนตัว (personal) นั้น เอซราดูใส่ใจแม้คนสัมภาษณ์แป๊บๆ จากสื่อเล็กๆอย่างฉัน และ--

    --ฉันกำลังคุยกับเอซรา มิลเลอร์​!! แบบคุยจริงๆ และเขากำลังพยายามฝึกพูดชื่อฉัน (โอ้พระเจ้า!! สิบตลบอะไรประมาณนั้น)

    "อัญจิดา" ฉันพูดช้าๆให้เอซราฟัง "อัญจิดา"

    "อัญจิดา" เอซราพูดกลับมา และอะไรก็ไม่รู้ถล่มเบาๆในหัวของฉัน

    ให้ตายเหอะ

    "ผมเอซรานะ" เขาแตะมือที่อกข้างซ้ายจนฉันแอบยิ้ม พยักหน้าทักทายน้อยๆ

    เรานั่งตรงข้ามกัน และเอซราถามขึ้นทันที (เหมือนฉันเดาได้ว่าเขาจะถาม--) "ชื่อนั่นมาจากไหนหรอ"

    ฉันยิ้ม --ยืดอกตอบเต็มที่เลย-- "ไทยแลนด์ค่ะ"

    พอตากล้องบอกว่ากล้องพร้อม เราก็เริ่มการสัมภาษณ์​ ฉันมีเวลาแค่ห้านาทีเท่านั้น แต่เอซราตอบสองคำถามของฉันอย่างตั้งใจ


    คลิปสัมภาษณ์เอซรา (15 พย. 2016)

    คำถามแรก: "ในส่วนของตัวละครของคุณ มีความคิดเห็นยังไงกับ 'คนนอกคอก' (Outsiders) ที่มีพลังเวทมนตร์พิเศษคะ"

    เอซรานิ่งคิดเลยคราวนี้ พูดว่า "นั่นเป็นคำถามที่ดีนะ" ซะด้วย (เป็นเทคนิคที่คนมักทำระหว่างคิดคำตอบที่ต้องใช้เวลากรั่นกรองคำถาม) ฉันเกือบจะว่าตัวเองว่าคำถามยากไป แต่เพราะคอยติดตามเอซรามานาน เลยอยากถามคำถามที่ได้ความคิดเห็นล้ำๆของเขา

    เอซราพูดถึงคนจากอดีตที่มีพรสวรรค์ ที่มักเป็นคนนอกคอก อ้างอิงถึงนักวิทยาศาสตร์ บาบาร่า แมคคลินท๊อก ผู้ริเริ่มการค้นคว้าเกี่ยวกับยีนขบถ (Rebellious Gene) ในการศึกษาวิวัฒนาการมนุษย์ เพื่อเปรียบเทียบว่าสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นได้ในสังคม คนที่ปลีกแยกตัวจากสังคม จากความคิดชั้นเดียวที่สังคมหลงอยู่ อย่างเทสลา (Tesla นักคิดค้นชื่อดัง) ที่ไม่ว่าจะเศร้าสร้อยเจียนตายคารางน้ำหรือประสบความสำเร็จมีความสุข ก็ต่างเป็นคนนอกคอกทั้งนั้น

    คำถามที่สอง: "คุณคิดว่า หากครีเดนซ์ได้เข้าเรียนฮอกวอตส์ ชีวิตเขาจะเป็นยังไง"

    เอซราบอกว่าตัวหนังเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ครีเดนซ์เป็นคนเช่นนั้น และ--สปอย์!--ครีเดนซ์ต้องมีพลังสักอย่างเพื่อการอยู่รอดกับสภาวะของร่างกาย เราอาจจะวาดภาพถึงโลกที่ครีเดนซ์เป็นพ่อมดที่มีความสุขและได้จดหมายตอนอายุ 11 และได้รับการช่วยเหลือ แต่มันเหมือนเขาถูกทิ้ง หรือแมรี่อาจจะทำลายจดหมายทิ้ง ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณต้องถามเจเคแล้วละ (เกือบรู้สึกว่าไม่น่าถามเล้ย ฮือ!) แต่มันเป็นอะไรที่น่าเศร้าใจเมื่อนึกถึง น่าเศร้าที่คิดถึงคนที่ไม่สามารถฟื้นฟูรักษาตัวจากแผลเป็นทางจิต คิดถึงอะไรที่พวกเขาอาจเป็นได้ ถ้าเขาไม่มีแผลเป็นเหล่านั้น... คนที่สามารถเปลี่ยนแผลเป็นเป็นพลังคือหนึ่งในคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ผมเคยเจอในชีวิต

    ฉันขอบคุณเขาเป็นการจบการสัมภาษณ์ เขายืนขึ้นพร้อมฉัน กุมมือฉันอีก แล้วบอกว่า "ขอให้มีวันที่แสนวิเศษ (wonderful) นะ"

    รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที และอยากรู้สึกอย่างนั้นไปนานๆเลย...

    (อิ่มใจแบบบอกไม่ถูกที่นักแสดงขวัญใจที่รอพบมานานนั้นเป็นคนน่ารักมากๆอย่างที่คิดไว้)

    ฉันสัมภาษณ์นักแสดงหญิงคู่ แคทเทอรีน วอเตอรส์ตัน Katherine Waterston และ อลิสัน ซูดอล Alison Sudol เป็นรายสุดท้าย ก่อนจะกลับไปห้องเชคอินเพื่อรับของกำนัลสื่อ ตอนแรกก็ไม่ได้หวังไว้มาก แต่ผ้าพันคอของนิวท์ และไม้กายสิทธิ์ที่ได้ พร้อมเข็มหมุด "ฉันอยากเป็นพ่อมด" ("I want to be a Wizard.") ที่มาในถุงไม้กายสิทธิ์นั้น ตื่นตาตื่นใจเสียจริง

    ของกำนัลสื่อ > <

    ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฉันสวมผ้าพันคอนั้นตลอดหน้าใบไม้ร่วงจวบจนสิ้นปี

    หากฉันโดดพรีเมียร์ตอนค่ำเพราะต้องเริ่มทำงานโปรเจคกับเพื่อน (เสียดายจริงๆ แต่เหตุการณ์เมื่อกลางวันก็ตราตรึงใจมากแล้ว... )


    มันคงตลกเพราะหน้าผมแหละ: Sons Gig, London, 2017

    **คำเตือน: บทความช่วงนี้มีความแฟนเกริล์... มากขึ้นไปอีก

    ฉันกำลังนั่งขัดสมาธกับพื้นชั้นใต้ดินในผับ Sebright Arms ย่าน Bethnal Green แถวลอนดอนตะวันออก (East London) กำลังฟังเอซราเล่าถึงต้นกำเนิดเพลงๆนึงที่วงของเขา และแขกรับเชิญผู้มีส่วนในเพลงนั้น กำลังจะร้องให้ฟัง แค่เงยหน้าก็เห็นเอซราใกล้ระยะเอื้อมมือถึง

    วง Sons of An Illustrious Father วันแสดง

    สิบเดือนผ่านมาหลังจากวันสื่อ Fantastic Beasts ฉันเห็นโพสต์ในเฟซของวง Sons ว่าพวกเขาจะแสดงครั้งแรกในยุโรปที่ลอนดอนวันศุกร์นี้ เป็นโชว์ฟรี!

    ใบปิดโฆษณาโชว์ที่ทำให้ตื่นเต้น

    ถึงฉันจะพักอยู่ลอนดอนตะวันตก ฝั่งตรงข้ามของเมือง ยังไงเมืองเดียวกันแล้วก็ต้องไปให้ได้! เป็นโอกาสเจอเอซราอีกครั้งที่ฉันไม่ได้คิดฝันมาก่อน

    วันนั้นไปดูดันเคิกใน IMAX รอบที่สามพอดี เมื่อได้เห็นเดอะ แฟลชในหนังตัวอย่าง Justice League ก็แอบดีใจกึ่งเขินแปลกๆ มองตาคนที่อยู่ในจอสูงแปดชั้นด้วยหัวใจตื่นเต้นว่า เดีี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมง เราก็เจอกันอีกครั้งแล้วสินะ

    ทุกครั้งที่ฉันเห็นเดอะ แฟลชในภาพโปรโมท Justice League ตอนนี้ก็ยังอดคิดถึงคืนนั้น และ เอซราไม่ได้

    ฉันไปถึงผับก่อนเวลาสองชั่วโมง (นับเป็นกฏแฟนเกริล์ที่ควรเตรียมพร้อมเพื่อที่นั่งดีๆ โดยเฉพาะโชว์ฟรี) และพบ ซูฮี (หรือ ซันนี่) สาวเกาหลีที่มาตามเอซราด้วยกัน เรานั่งเม้ามอยเรื่องแฟนเกริล์ฆ่าเวลาอย่างเข้าใจกัน แล้วจู่ๆ ไลล่า (Lilah) นักร้องนำหญิงร่างโปร่งก็ก้าวผ่านหลังซูฮีไป (เพราะห้องแต่งตัวและรับรองวงอยู่ข้างหลังโต๊ะเรา) นางแต่งดำทั้งชุด ดูเท่และมีมาดชะมัด ตามด้วยจอช (Josh) หนุ่มแว่นร่างเล็กสมาชิกวงอีกคน และเอซรา ที่ดูอยู่ในห้วงสมาธิเตรียมแสดง

    ใบปิดการแสดงในผับ Sebright Arms

    ฉันและซูฮีลงไปชั้นใต้ดิน รอวงหลังจากบทกวีเปิดการแสดงอยู่ชั่วโมงนึง เราโชคดีได้แถวที่สองจากเวที แต่บอดี้การ์ด (กูรู) ของเอซราที่ชื่อ รูบี (Rubee) จับไหล่ฉันและดึงตัวไปแถวหน้าสุด

    ที่ๆไม่มีคนบังเราเลย

    (ตื่นเต้นแทบตายอีกแล้วค่ะ)

    เราสองคนได้เป็นแฟนเกริล์แถวหน้า(จริงๆ)

    เอซรากับจอช (คนถ่ายมือสั่นไปแล้ว)

    "ขอบคุณ ขอบคุณทุกคนมาก" เอซรากล่าวทักเมื่อทั้งสามออกมา เขาดูสูงขึ้นกว่าครั้งแรกที่เจอกัน เสื้อแขนกุดที่ใส่เผยให้เห็นมัดกล้ามจากการเทรนอย่างหนัก "นี่น่าทึ่งที่สุด ผมจะถ่ายรูปทุกคนนะ" แล้วเขาก็ควักไอโฟนออกมาถ่ายรูปพวกเรา

    ดนตรีที่ตามมาตลอดเกือบสองชั่วโมงกว่าๆนั้นพิเศษมาก

    ไม่คิดฝันว่าสักวันฉันจะได้ดู ได้ฟัง ได้เต้นตามจังหวะดนตรีที่วง Sons ของเอซราเล่นสด แต่ก่อน วงทัวร์เฉพาะในอเมริกาเสมอ

    เอซราตีกล้องอย่างเมามัน เล่นอย่างเกินร้อยและทรงพลังมาก เสียงของไลล่าแกร่ง เด่น และเท่เหนือดนตรีประกอบแต่ละเพลง จอชเล่นคีย์บอร์ดแบบให้จังหวะคึกคัก เพลงร๊อคต่างๆมันส์มาก ทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมไปกับทุกเพลง สมาชิกในวงทุกคนร้องตามทุกเพลงที่เล่น 

    คลิปการแสดงที่ฉันถ่ายคืนนั้น

    ต่างคนเปลี่ยนหน้าที่ในแต่ละเพลง (ฉันเคยอ่านมาว่าเขาจะแต่งเพลงคนละเพลง) เอซราเล่นกล่องเป็นหลัก แต่เราได้เห็นเขาเล่นคีย์บอร์ดและร้องด้วย

    กลางเซ็ท พวกเขาเดินมารวมกันกลางเวที ร้องเพลงอะคาเปล่า ไร้ดนตรี โดยปล่อยให้เสียงทั้งสามผสมกันอย่างนุ่มนวล แถมเรียกร้องให้คนดูตะโกนเรื่องความเท่าเทียมทางสีผิวด้วย

    ฉันตั้งใจฟังเพลงตลอดการแสดง  พยายามเก็บประสบการณ์ในความทรงจำ เอซราหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายพวกเราอีกตอนจบ

    หลังวงกลับออกไปจากเวที รูบีกวักมือให้ทุกคนออกเสียงเรียกร้องให้วงกลับมา พวกเราทำตาม แล้วพวกเขาก็กลับมาจริงๆ พร้อมแขกรับเชิญ มาร้องเพลงอะคาเปลล่าเพลงสุดท้าย

    เอซรากับไลล่า

    เมื่อโชว์จบจริงๆ สมาชิกวงทุกคนออกมาดื่ม และคุยกับคนในผับ ฉันและซูฮีอยากขอไลล่าถ่ายรูปด้วยมากๆ แต่เธอดูเจ๋งเหลือเกิน เอซราถูกรุมด้วยแฟนๆกลุ่มใหญ่เมื่อเขาโผล่ขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน เขาขอตัวไปสูบบุหรี่ที่ตรอกข้างนอกผับ ทำให้ฉันกับซูฮียืนลังเลว่าจะทำอะไรดี

    จนเวลาผ่านไปสักพักและคนๆนึงบอกฉันว่าเอซราลงไปชั้นใต้ดินอีกแล้ว เราถึงตามลงไป (ก่อนหน้านี้ก็เหมือนได้ยินเอซราบอกกลุ่มแฟนๆว่า 'ลงไปเจอกันชั้นใต้ดินเถอะ' แว่วๆ แต่ไม่แน่ใจเอง)

    เรามาสายเกินไป ฉันคิด และพูดซ้ำๆกับซูฮี ผู้พยักหน้าเห็นด้วย มีกลุ่มแฟนๆรอเอซรากลุ่มใหญ่ แต่ไหนๆก็ไหนๆ เรารอคิว จนในที่สุด

    "ไฮ" เอซราทัก เสียงอุ่น ตาเบิกกว้าง เท่านั้นฉันก็ลืมคำที่จะพูดกับเขาไปเสียหมด ได้แต่ชมเขาเก้อๆว่า "คุณเยี่ยมไปเลย!"  (ทั้งที่ใจจริงอยากชมทั้งวง) เอซราขอบคุณฉัน

    และฉันก็รวบรวมความกล้า (ที่บิ้วต์ตัวเองมาตอนยืนรอคิว)เพื่อถามเอซรา: "ฉันขอกอดคุณได้ไหม"

    "ได้สิ แน่นอนอยู่แล้ว!"

    เอซราขยับเข้ามาใกล้ แขนใหญ่สองข้างโอบฉันไว้ มันอบอุ่นเป็นบ้า (warm and pure and fizzy) ฉันมักไม่ขอกอดนักแสดง เพราะเคยกลัวว่ามันจะเคอะเขินทั้งสองฝ่าย กลัวว่าจะไม่รู้ปล่อยตัวเมื่อไหร่ดี แต่ฉันเกาะเอซรา และเขาก็เกาะฉันกลับ ในอ้อมกอดที่รู้สึกนานเกินกว่านาที

    อ้อมกอดที่ทำให้รู้ว่าเขาใส่ใจในการกอดแฟนๆ ไม่ได้กอดแบบแค่ผิวเผิน แต่เป็นการกอดแบบให้ความอบอุ่น กอดส่งพลัง แบบที่เขาให้สัมภาษณ์ว่าเขามีพลังพิเศษในการกอดคน

    ฉันขอเอซราถ่ายรูปด้วยหลังจากนั้น และ (ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ขอเพิ่ม) บอกเอซราว่าเราถ่ายรูปธรรมดารูปนึง กับ รูปตลกๆอีกรูปได้ไหม

    เอซรายิ้มน่ารักที่สุดเลย

    "โอ ผมว่ามันคงตลกเพราะหน้าผมแหละ" ("Oh, I'm sure it'll be funny because of my face.") เขาพูด ขณะเอาแขนโอบฉันไว้

    ฉันได้แต่คิดเขินๆในใจว่า ไม่นะ จะตลกได้ไง หน้าเอซราน่ะหรอ

    ซูฮีถ่ายรูปหลังจากฉัน มีคนรอเอซรามากมาย เขาบอกแฟนๆว่าเดี๋ยวผับก็จะไล่เราออกจากชั้นใต้ดินแล้ว ฉันและซูฮีจึงไม่กล้าขอลายเซ็น

    เราวิ่งกึ่งกระโดดออกจากชั้นใต้ดินด้วยความร่าเริงจากเหตุการณ์แป๊บๆที่เพิ่งเกินขึ้น รูบี บอดี้การ์ด/กูรูใจดีเห็นเราอีกแล้วออกปากถามว่า "พวกเธอโอเคไหม"

    ทุกครั้งที่ฉันเห็นรูปรูบีข้างๆเอซรา ฉันไม่เคยลืมความใส่ใจของเขา

    เอซรากับรูบี ผู้ใจดี ที่ลอนดอนแฟชั่นวีค 2017

    คืนแสนวิเศษนั้นจึงจบลงด้วยความลิงโลดของแฟนเกริล์ไทยและเกาหลี ที่กลายเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็วเพราะเอซรานำเรามาเจอกันแท้ๆ



    แผลคือพรอันประเสริฐ: Last Words

    อยากจะจบบันทึกความทรงจำนี้ด้วยถ้อยคำดีๆ ของเอซราที่สะท้อนความคิดในการมองโลก ความเจ็บปวด และวิชาชีพของเขาอย่างน่ายกย่อง แบบที่นักแสดงน้อยคนในวัยเท่าเขาจะคิดได้ฉะฉานและคงแก่โลกขนาดนี้



    "ผมเพิ่งมาเข้าใจว่าการรักษาเยียวยาไม่ได้มองดูเหมือนดีขึ้นเสมอไป บางครั้งมันดูเหมือนการป่วย หรือ การบาดเจ็บ แผลคือพรอันประเสริฐของเรา แม่ผมรักภาษาฝรั่งเศส และพูดบางทีว่า คำว่า blesseur เป็นรากของศัพท์ทั้ง พร (blessing) และ แผล (wound) ผมไม่มีรอยสัก แต่ถ้าผมจะสัก ผมคงสักคำๆนั้นที่ใต้เท้า และนี่ก็เป็นเรื่องของซุปเปอร์ฮีโร่ด้วย คุณรู้ไหม หลายคนได้พลังจากเหตุการณ์ที่สร้างบาดแผลทางจิต เดอะแฟลชโดนฟ้าผ่าใส่ ผมรู้สึกว่าผมมีพื้นที่และความสงบพอในช่วงต้นๆของชีวิตที่จะทำการสำรวจความเจ็บปวด

    ในฐานะผู้ชายผิวขาว ยอมมีแนวโน้มอันตรายที่จะคิดว่าประสบการณ์ผ่านโลกของเราเป็นสากล สิ่งที่สำคัญที่สุดในวิชาชีพนักแสดงของผมคือการจดจำว่าต้องอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ มีความเจ็บปวด ความโศกเศร้า และบาดแผลมากมายในโลกนี้ และผมคิดว่า เมื่อคุณเกิดและเติบโตมาพร้อมเอกสิทธิ์ มันง่ายที่จะมองอะไรแคบๆ แต่ก็มีโอกาสที่เปิดกว้างให้เราทุกคนยอมให้ความเห็นอกเห็นใจเชื่อมโยงเรากลับมาหากัน"

    -- เอซรา มิลเลอร์, Interview Magazine (2017)




    //

    ป.ล. วันนี้ครบหนึ่งปี ( 15 พย.) ที่เราได้สัมภาษณ์เอซราพอดีเลย :D



    ขอบคุณที่สนใจอ่านนะคะ

    คิดเห็น ชอบไม่ชอบยังไง รบกวนกดด้านล่างให้เรารู้ จะได้ปรับปรุงบทความต่อๆไปให้ดีขึ้นค่ะ 

    ติชม พูดคุยกับเราทางเม้นท์ข้างล่างได้เสมอ

    หรือจะแวะมาทาง twitter: @cineflectionsx 

    หากชอบบทความ ฝากเพจ FB ด้วยนะคะ เราจะมาอัพเดทความคิด บทเรียน และเรื่องราวจากหนังที่ชอบทั้งเก่าและใหม่เรื่อยๆค่ะ

    บทความต่อไป:  ตามติ่งหนุ่มๆ #DNK48 หน้าร้อนที่ผ่านมา :)




    ขอบคุณค่า

    x

    ข้าวเอง.


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Cheng Namfon (@Raa_In)
หลงใหลและสะดุดตากับการแสดงของเขาจากเรื่อง Fantastic Beasts and Where to Find Them มาก ก็เลยไปค้นประวัติของนักแสดงคนนี้เพิ่มแล้วก็ได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆที่เขาได้ทำไว้ เป็นคนที่มีความคิดค่อนข้างจะอิสระ ไม่ยึดติดหรือตัดสินอะไรในด้านเดียว พอได้อ่านบทความของคุณเเล้ว เราก็รู้สึกชอบผู้ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก ชอบการเขียนและเรียงลำดับการเล่าเรื่องราวของคุณมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ
cineflections (@cineflections)
@Raa_In <3 ยินดีเสมอค่า ขอบคุณสำหรับฟีดแบค และดีใจที่ชอบนะคะ :)
ifnotlater_when (@ifnotlater_when)
ชอบเอซร่ามากเลยค่ะ ตอนแรกแค่ติดตามผลงาน(ดูที่น้องเขาเล่นทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่Law&Order SVU กับหนังสั้นก็ดูหมด) พอติดตามบทสัมภาษณ์น้องเขาดูมีความคิดดีมากๆ ยิ่งทำให้หลงรักมากขึ้น
ขอบคุณคุณข้าวสำหรับบทความดีๆนะคะ ^^
cineflections (@cineflections)
@ifnotlater_when ทุกอย่างของนางตรีงใจ ตรึงอารมณ์มากๆค่ะ ขอบคุณคุณลิลลี่ที่ติดตามเสมอด้วยน้า <33