เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[Fictober 2019] Miracle in Octobernixsummer0531
Day 31 Ripe
  • ภายในเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธ์ จองเซอุนถอนหายใจฟู่ อมยิ้มมุมปาก หลังจากเขียนจดหมายฉบับหนึ่งเสร็จ เขาบรรจงพับกระดาษใส่ซองจดหมายอย่างบรรจง จากนั้นก็หันไปขะมักเขม้นกับการใช้มีดสั้นหั่นครั่งแท่งสีแดงเข้มให้เป็นชิ้นเล็กๆ หยิบใส่ช้อน แล้วนำไปลนกับปลายแท่งเทียนที่ติดไฟ เมื่อครั่งละลายเป็นของเหลว เขาก็เทครั่งลงบนซองจดหมาย กดตราประทับลวดลายงดงามลงไปตรงกลาง ถือเป็นการสิ้นสุดการเขียนและปิดผนึก

    สวยกว่าที่คิดนะเนี่ย — จองเซอุนชมตัวเองในใจอย่างอารมณ์ดี พลิกซองจดหมายที่ทำเสร็จไปมาเพื่อชื่นชมผลงาน ระหว่างนั้นก็คิดว่าควรตกแต่งอะไรเพิ่มดีไหม อย่างเช่นการประดับดอกไม้แห้งสีสันสดใส ทว่ายังไม่ทันได้เดินไปหยิบ เขาก็ได้ยินเสียงเจื้อแจ้วดังขึ้นเสียก่อน

    “นายน้อย นายน้อยดูนี่สิ ฟักทองลูกเบ้อเริ่ม ยูจินปลูกเองกับมือเลยนะเนี่ย” อันยูจินยื่นฟักทองลูกโตให้ดูด้วยดวงตาเป็นประกายวิบวับ

    “แต่ลูกนี้มันสุกแล้วนะยูจิน ถ้าจะเอามาแกะสลักเป็นหัวฟักทองไม่น่าจะได้” จองเซอุนออกความเห็น ใช้นิ้วดีดลูกฟักทองเพื่อทดสอบความสุกงอมไปพลางๆ

    “ใครว่าล่ะคะ ลูกนี้น่ะ ยูจินจะเอามาทำพายฟักทองกับน้ำฟักทองต่างหาก” เธอบอกด้วยสายตาเหมือนตำหนินิดๆ ที่มองเหมือนเธอไม่รู้ว่าฟักทองแบบไหนควรนำมาแกะสลัก “น่าเสียดายนะคะ เทศกาลซาไมน์อุตส่าห์มาถึงทั้งที แต่หลายวันที่ผ่านมาเกิดเรื่องขึ้นไม่หยุด ปีนี้เลยไม่ได้จัดให้ดีๆ”

    “ซาไมน์” สเลย์เบก้าหนุ่มทวนเบาๆ กับศัพท์ที่ไม่ค่อยคุ้นหู

    “ถ้าเรียกว่าฮาโลวีน นายน้อยน่าจะเข้าใจมากกว่า ในโลกของฝั่งนี้ เทศกาลบางเทศกาลจะมีชื่อแตกต่างไปจากปกติ อย่างเทศกาลคริสต์มาสก็เหมือนกัน พวกเราจะเรียกว่ายูล หรือ วันเหมายัน ในวันนั้นจะมีเรื่องที่ให้ทำเยอะพอๆ กับซาไมน์เลยละค่ะ ในวันนั้นจะเป็นวันที่กลางคืนยาวที่สุดในรอบปี เราจะต้องเผาขอนไม้ แล้วก็ประดับไอวี่กับฮอลลี่เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไป และมิสเซิลโทเองก็ควรหาจากต้นโอ๊คถึงจะดีที่สุด”

    “ถือเป็นความรู้ใหม่” เด็กหนุ่มผมแดงพึมพำ รู้สึกว่าโลกฝั่งนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาต้องเรียนรู้ “ไว้เทศกาลยูลมาถึงเมื่อไร ถึงเวลานั้นยูจินช่วยแนะนำผมอีกทีนะครับ”

    “ด้วยความยินดีเลยค่ะ ยูจินขอตัวไปเตรียมพายฟักทองก่อนนะคะ เดี๋ยวจะทำไม่ทันมื้อค่ำของวันนี้” อันยูจินบอกด้วยรอยยิ้มหวาน ก่อนจะเดินฮัมเพลงไปยังครัวด้วยท่าทางอารมณ์ดี 

    จองเซอุนส่ายหน้ายิ้มๆ หันกลับไปสนใจสิ่งที่กำลังทำต่อ เขาเขยิบจดหมายที่เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้วไปด้านข้าง จากนั้นก็หยิบสมุดปกหนังดูทนทานมาเปิดออก จรดปลายปากกาค้างตรงบรรทัดแรกในหน้าแรกอยู่พัก พอรำลึกช่วงเวลาและความทรงจำในวันแรกได้ทั้งหมด เขาก็เริ่มจดบันทึกสิ่งที่จดจำได้ลงในไดอารี่ แม้จะไม่รู้ว่าในอนาคตจะมี เขา หรือ เธอ มาเปิดไดอารี่เล่มนี้อ่านหรือไม่ แต่เขาก็อยากบันทึกช่วงเวลาเหล่านั้นทั้งหมดที่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้ แบบเดียวกับที่ พวกเขาเหล่านั้น เคยบันทึกเอาไว้

    “ความจริง เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้” อิมยองมินที่ไม่รู้เข้ามาในเรือนกระจกตั้งแต่เมื่อไรเอ่ยขึ้นเบาๆ

    “มันอาจจะจริงอยู่ที่ เขา หรือ เธอ คนนั้นอาจไม่มีโอกาสได้อ่าน แต่ว่า ผมก็อยากบันทึกเอาไว้ อย่างน้อยมันก็ถือเป็นเครื่องย้ำเตือนความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณ” จองเซอุนบอกด้วยรอยยิ้ม ใช้ปากกาคั่นลงบนกระดาษ ปิดสมุดลง และหันไปประสานตากับอีกฝ่ายด้วยท่าทางจริงจัง “คุณแน่ใจแล้วเหรอครับที่จะให้เป็นแบบนี้ต่อไป ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าตอนนี้คุณไม่จำเป็นต้องทำตามคำปรารถนาของผม ของเอสเธอร์ หรือใครก็ตามในชาติก่อนๆ อีก คุณโซยูเองก็บอกเอาไว้ คำสาปสร้างได้ก็คลายได้ ถ้าคุณปรารถนาจากใจละก็ ผมเองก็อยากให้คุณคลายคำสาปนั้น”

    “เซอุน ฉันบอกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าพูดเรื่องคลายคำสาปอีก” อิมยองมินบอกเสียงจริงจัง มองด้วยสายตาดุๆ พอเห็นเด็กหนุ่มผมแดงนิ่งเงียบคล้ายซึมที่โดนดุ จอมเวทหนุ่มก็ปรับท่าทีให้อ่อนลง สาวเท้าเข้ามาใกล้ และใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือไกล่เกลี่ยแก้มเนียนของคนอ่อนกว่าเบาๆ “เธอเป็นทั้ง คนรัก คนสำคัญ แล้วก็ลูกศิษย์ของฉัน ฉันจะคลายคำสาปนั้นได้ยังไง”

    “คุณไม่คิดบ้างเหรอ ตอนนี้ผมอาจจะรักคุณ แต่ในอนาคตผมอาจจะไม่”

    “อืม ไม่ว่าในตอนนั้นเธอจะเลือกอะไร ฉันก็ยินดี”

    “งั้นผมคงได้แต่หวัง ว่าผมในชาติหน้า ก็ยังคงรักคุณแบบนี้” จองเซอุนพึมพำเสียงเบา เอียงใบหน้าซบกับมือหนาของอีกฝ่าย “ผมถามคำถามสักสองสามข้อได้ไหม”

    “สำหรับเธอ ไม่ว่ากี่ข้อฉันก็ยินดี”

    “ทำไมตอนนั้นคุณถึงไม่บอกความจริงกับผมล่ะ ถ้าคุณบอกตั้งแต่แรก ผมคงไม่พูดจาโหดร้ายแบบนั้นกับคุณ”

    “คงเป็นเพราะ ฉันกลัวล่ะมั้ง” อิมยองมินพรูลมหายใจยาว ทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเด็กหนุ่ม “ฉันกลัวว่าหากบอกความจริงด้วยตัวเองแล้วเธอทิ้งฉันไป มันจะเหมือนกับว่า เพราะการกระทำของฉันเอง เลยทำให้เธอทิ้งฉัน แต่ถ้าไม่บอก แล้วให้เธอค้นหาคำตอบนั้นด้วยตัวเอง ตัดสินใจด้วยตัวเอง บางที มันอาจจะเจ็บและจากลาได้ง่ายกว่า ที่สำคัญ ฉันได้สัญญากับ เธอ ในชาติก่อนเอาไว้ ว่าอย่าพยายามพูดโน้มน้าวตอนบอกความจริง อย่าพยายามกล่อมให้อยู่หากเอ่ยปฏิเสธไปแล้ว”

    “ทำไมเธอถึงขอให้คุณสัญญาแบบนั้นล่ะครับ” จองเซอุนถาม ทั้งเดาว่า เธอ ที่อีกฝ่ายพูดถึง คือ ดวงวิญญาณของเอสเธอร์ที่กลับมาเกิดในชาติที่สี่ หรือก็คือคนก่อนหน้าเขา

    “คงเพราะ อยากให้ดวงวิญญาณที่กลับมาเกิดในชาติต่อไป ได้มีโอกาสเลือกกว่าที่เคย บางทีมันอาจจะผิดที่ฉันเอง ที่เล่าความจริงให้พวกเขาฟังด้วยความรู้สึกที่ยังคิดถึงเธออยู่ ฉันหมายถึงเอสเธอร์น่ะ และบางทีสีหน้าของฉันมันคงสิ้นหวังจนเกินไป พอพวกเขาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเลยรู้สึกสงสาร แล้วก็ตกลงอยู่ด้วย”

    “แบบนี้นี่เอง”

    เด็กหนุ่มผมแดงพยักหน้าเข้าใจ ไม่คิดถามต่อว่าทำไมพวกเขาเหล่านั้นถึงยอมตกลงได้อย่างง่ายดาย สาเหตุที่เป็นแบบนี้ บางที คงเพราะเขาได้อ่านไดอารี่แต่ละเล่มที่อยู่ภายในกล่องไม้แล้ว พวกเขาเหล่านั้นต่างมีชาติกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ หรือไม่ก็ละแวกใกล้เคียงอย่างสก็อตแลนด์ และถึงจะยอมตกลงอยู่ แต่ในทุกช่วงเทศกาล หรือช่วงวันหยุดยาว พวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงกลับไปหาครอบครัว อาจมีเพียงหญิงสาวผมแดงในชาติที่สี่เท่านั้น ที่เลือกอยู่กับอิมยองมินโดยไม่ออกเดินทางไปไหน ทว่าก็ยังคงเขียนจดหมายหาน้องชายคนสำคัญอยู่เป็นครั้งคราว

    แปลกดี ทำไมมีแค่เขาเท่านั้นที่ไปเกิดที่ประเทศเกาหลีได้ —

    “แต่ผมก็แปลกใจอยู่เหมือนกันนะ ที่พวกเขาเป็นเพียงเพื่อนหรือไม่ก็เป็นเหมือนคนในครอบครัวของคุณ ผมคิดว่าทุกคนที่กลับมาเกิดจะเป็นคนรักของคุณทั้งหมดซะอีก” จองเซอุนถามถึงสิ่งที่ติดใจข้อที่สอง ระหว่างนั้นเขาก็ยกชาดอกไม้ที่อันยูจินเป็นคนทำขึ้นจิบ

    “แม้ดวงวิญญาณจะเป็นดวงเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่คนคนเดียวกัน ในตอนที่ฉันตามหา เธอ จนพบอีกครั้ง วินาทีนั้นฉันก็รู้ทันทีว่า เขา ไม่ใช่เอสเธอร์ แต่เพราะ...คำสัญญานั้น ฉันเลยตัดสินใจเล่าความจริงทั้งหมด ตอนแรกก็นึกว่าจะปฏิเสธ แต่กลายเป็นว่าเด็กคนนั้นตกลงที่จะอยู่ด้วย และถึงแม้ว่า ความรู้สึกที่มีให้จะไม่เหมือนกับที่มีให้เธอคนนั้น แต่ฉันยอมรับว่าทั้งรักและเป็นห่วงเด็กคนนั้นและพวกเขาเหล่านั้นจากใจ ใช่ คงต้องขอบคุณพวกเขาที่ตัดสินใจเลือกที่จะอยู่ด้วย ฉันเลยไม่ได้รู้สึกเหงา ตามที่เธอคนนั้นต้องการ” อิมยองมินบอกด้วยรอยยิ้มและแววตาอ่อนแสง

    “งั้นแสดงว่าผม เหมือนกับเอสเธอร์งั้นเหรอ” จองเซอุนพึมพำแผ่วเบา รู้สึกหวาดกลัวในคำตอบที่จะได้ยินนิดๆ

    “ว่ากันตามจริง ฉันแอบคิดว่าเธอคือเอสเธอร์ด้วยซ้ำ เพราะเธอมีดวงตาที่สามารถมองเห็นโลกฝั่งนี้ได้เหมือนกัน ไหนยังมีบุคลิกและนิสัยบางอย่างคล้ายๆ กัน จนไม่ยากที่ฉันจะรู้สึกดีกับเธอมากกว่าคนอื่นๆ ที่กลับชาติมาเกิด แต่พอได้อยู่ด้วยกัน ได้ใช้เวลากับเธอในแต่ละวัน ฉันถึงได้รู้ว่าเธอไม่เหมือนกับเธอคนนั้นเลย เธอทั้งดื้อมากกว่า มุทะลุมากกว่า ทั้งที่บอกว่าอย่าทำแต่ก็ยังรั้นที่จะทำ แต่ในความดื้อรั้นนั้นก็เปี่ยมไปด้วยความถูกต้อง และเพราะความต่างนี้ด้วยล่ะมั้ง ฉันเลยไม่กล้าบอกความจริงกับเธอไป กับคนที่...ฆ่าคนรักของตัวเองได้ลงคอ เธอคงไม่มีทางให้อภัยคนแบบนี้หรอก”

    “มันอาจจะจริงอยู่ ว่าตอนที่ได้รู้ความจริงผมทั้งโกรธทั้งเกลียดคุณ แต่พอได้รู้ว่าสิ่งที่คุณทำ ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ ผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกในแง่ลบกับคุณหรอกนะครับ ถึงผมจะดูเป็นคนที่ดื้อเกินในสายตาของคุณ แต่ผมก็มีเหตุผลเพียงพอเหมือนกัน ถ้าคุณยอมบอกความจริงทั้งหมด ผมก็คงไม่ไล่คุณไปแบบนั้นหรอก”

    “ฉันรู้ เพราะงั้นฉันถึงยังรู้สึกผิด ที่ไม่ยอมเชื่อใจเธอ”

    อิมยองมินอมยิ้มน้อยๆ มองด้วยสายตากึ่งเจ็บปวดกึ่งโทษตัวเอง

    จองเซอุนไม่อยากเห็นสีหน้าของจอมเวทหนุ่มในลักษณะนี้ เลยเปลี่ยนเรื่องคุยทันที

    “ว่าแต่ว่า ชื่อ เอสเธอร์ นี่ ไม่ใช่ชื่อของเธอจริงๆ ใช่ไหมครับ เพราะตอนที่คุณโซยูช่วยดึงความทรงจำที่อยู่ภายในโบราณสถาน มีอยู่ประโยคหนึ่งที่เธอบอกว่า “ขอละ เลิกเรียกฉันว่าเอสเธอร์ซะที เรียกบ่อยจนฉันเข้าใจว่าเป็นชื่อตัวเองไปแล้ว”

    “ใช่ นั่นไมใช่ชื่อจริง แต่เป็นชื่อที่ฉันตั้งให้ และเป็นชื่อที่ไม่ได้หมายถึงเธอแค่คนเดียว แต่หมายถึงใครก็ตามที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับคำๆ นั้น” 

    “ผมไม่เข้าใจครับ หรือว่าชื่อของเธอมีความหมาย” จองเซอุนถาม ไม่เข้าใจว่าคำนั้นคือคำไหน

    “คำว่า เอสเธอร์ ในภาษาฝรั่งเศส มีความหมายว่า ดวงดาว ฉันเคยอ่านเจอคำนี้ในหนังสือแล้วรู้สึกชอบ ก็เลยหยิบมาใช่ เพราะงั้น คำว่า เอสเธอร์ ของฉัน มันก็เหมือนกับแสงสว่างหรือไม่ก็ความหวัง” อิมยองมินบอกด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายวาววับไม่ต่างจากดวงดาวบนฟากฟ้า จนดูราวกับว่าเขาชอบชื่อนี้มากจริงๆ

    จองเซอุนไม่ออกความเห็นอะไร พลางนึกทบทวนเกี่ยวกับชื่อเรียกนี้ เพราะเท่าที่เขาจำได้ ในไดอารี่ที่เคยอ่าน ไม่มีใครคนไหนเขียนว่าอิมยองมินเรียกตัวเองว่าเอสเธอร์ พวกเขาไม่ได้เขียนเรื่องนี้ลงไป หรือว่า จอมเวทหนุ่มไม่เคยใช้ชื่อนี้เรียกพวกเขาเหล่านั้นเลย

    จะบอกว่า ใช่เรียกเฉพาะคนที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับแสงสว่างหรือว่าความหวังจริงๆ งั้นสิ —

    พลันใบหน้าของเด็กหนุ่มผมแดงก็ขึ้นสีระเรื่อน้อยๆ เมื่อตัวเองโดนมองเหมือนเป็นแสงแห่งความหวังของอีกฝ่าย

    “เซอุน เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าแดง หรือว่ามีไข้เพราะเธอฝืนใช้เวทมนตร์”

    “ไม่ใช่ครับ ผมแค่คิดอะไรนิดหน่อย แต่ว่านะครับ ถ้าเป็นไปได้ อย่าเรียกผมว่าเอสเธอร์อีกเลย เรียกผมว่าเซอุนเถอะ” จองเซอุนร้องขอ แม้จะแอบดีใจที่อีกฝ่ายใช้คำที่เจ้าตัวชอบเรียกเขา แต่ทุกครั้งที่ได้ยิน เขามักจะนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวผมแดง นัยน์ตาฟ้าอยู่เสมอ 

    “ได้สิ ถ้านั่นคือความต้องการของเธอ” อิมยองมินพยักหน้ารับด้วยสีหน้าอ่อนโยน

    “ผมบอกแล้วไงครับ ว่าอย่าใช้คำแบบนี้อีก ผมได้ยกเลิกคำสัญญาพวกนั้นไปหมดแล้ว” เด็กหนุ่มบอกเคืองๆ

    “ฉันรู้ แต่นี่คือความต้องการของฉันเอง” 

    จองเซอุนมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเหนื่อยใจ ทั้งสงสัยว่าจอมเวทหนุ่มเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อหรือเปล่า แต่ในเมื่อเจ้าตัวบอกเองว่านี่คือความต้องการของตัวเอง ไม่เกี่ยวกับความต้องการของเขา บางที ก็น่าจะพออุ่นใจได้บ้าง จองเซอุนหมดความสนใจในตัวจอมเวทหนุ่ม และหันกลับมาสนใจจดหมายอีกครั้ง หลังจากนึกได้ว่ายังไม่ได้จ่าหน้าถึงผู้รับ

    “เธอแน่ใจเหรอ ว่าอยากให้ฉันส่งจดหมายฉบับนี้ให้” อิมยองมินถาม ตามองที่ซองจดหมายไม่ต่าง

    “ครับ ถ้าไม่รบกวน เมื่อถึงตอนนั้น ช่วยส่งจดหมายฉบับนี้ให้ด้วย แต่ว่า ขอให้ส่ง หลังจากที่ เขา หรือ เธอ คนนั้นตกลงว่าจะอยู่กับคุณนะครับ ผมแค่อยากฝากข้อความถึงก็เท่านั้น แต่หาก เขา หรือ เธอ คนนั้นปฏิเสธที่จะอยู่ แล้วคุณไม่ได้เอ่ยรั้ง คุณก็ไม่ต้องให้ แล้วถ้าจดหมายฉบับนี้มีโอกาสได้เปิดออก ผมอยากให้คุณได้อยู่อ่านพร้อมกันกับคนคนนั้นนะครับ”

    “เธอเขียนถึงฉันด้วยเหรอ” อิมยองมินถามเสียงสนอกสนใจ

    “ครับ คุณเป็นถึงคนรัก คนสำคัญ แล้วก็อาจารย์ของผม จะไม่ให้เขียนถึงได้ยังไง” 

    แม้จะไม่รู้ว่าชาติหน้าจะได้กลับมาเจอกันอีกไหม แต่เขาก็หวัง ว่าความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายจะไม่เปลี่ยนแปลงไป

    จองเซอุนอมยิ้มบาง อธิษฐานความรู้สึกเหล่านั้นให้กลายเป็นจริงจากใจ พร้อมกับตวัดปลายปากกาบนมุมซองจดหมาย เพื่อจ่าหน้าถึงผู้รับ



    To. Another Me and You





    ____________________________________



    Talk 

    สวัสดีค่ะ NixSummer นะคะ ปกติเวลาเขียนฟิคจะเขียนทอล์คท้ายตอนตลอด แต่รอบนี้ขอเขียนแค่ตอนต้นกับจบก็พอ

    ก่อนอื่นเลย ขอบคุณมากเลยนะคะที่อ่านฟิคเรื่องนี้จนจบ เอาจริงๆ คือไม่คิดว่าจะมีฟีดแบ็คอะไรกลับมาด้วยซ้ำ แต่พอเห็นคอมเมนต์ เห็นความรู้สึกที่กด แล้วก็แท็กในทวิต เลยดีใจมากๆๆ เพราะ #ตุลามินอุน รอบนี้มีความลั่นสูงมากกกก ปกติเวลาเราเขียนฟิคเราจะคิดตอนจบให้ได้ก่อนถึงเริ่มเขียน แต่กับเรื่องนี้เราเขียนโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจบยังไง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแต่ละวันมีหัวข้อกำหนดมาด้วย เลยค่อนข้างยากที่จะเขียนฟิคให้เนื้อหาแต่ละหัวข้อต่อกันโดยไม่มั่ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ เขียนจบโดยสำเร็จ แม้ว่าจะไม่จบในตุลาคม 2019 ก็ตาม เขียนข้ามปีเลยทีเดียว (ฮา)

    ส่วนตัวเราไม่แน่ใจนะคะว่าฟิคเรื่องนี้มีหลุมหรือมีจุดขัดๆ หรือเปล่า เพราะเป็นฟิคที่ไม่มีการร่างพล็อตโดยละเอียดก่อนเขียน ถ้ามีจุดไหนที่แปลกๆ หรือว่าไม่ชัดเจน บอกเราได้นะคะ เดี๋ยวเราจะเขียนตอนพิเศษเพื่อกลบหลุมให้ แต่อาจจะใช้เวลาสักหน่อย ไม่ได้เขียนลงวันต่อวันแบบนี้ เอาจริงๆ นะ #ตุลามินอุน 2019 คือสูบพลังชีวิตสุด

    สุดท้ายก็เหมือนเดิมอย่างทุกครั้ง ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนกันมาจนถึงตอนจบค่ะ


    PS. แถมภาพคุณจอมเวทกับสเลย์เบก้าน้อย หวังว่าจะชอบนะคะ 




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
bn14pp (@bn14pp)
เสียดายจังเลยค่ะที่เพิ่งมาเจอเรื่องนี้ตอนนี้ เราอ่านรวดเดียวจบเลย(ขอโทษที่ไม่ได้เม้นแต่ละตอนนะคะ;-;) อ่านจนจบแล้วใจฟูมากๆๆๆๆเลยค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เราชอบมากๆเลย
mkamaboko (@mkamaboko)
น่ารักมากๆ เลยค่ะ ชอบที่เขาเขียนจดหมายฝากไว้ด้วย แบบน่ารักจัง ไม่ว่าจะเกิดใหม่กี่ชาติก็จะกลับมาพบคุณ (แบบเต็มใจทั้งคู่) นี่น่ารักดีค่ะ รักกันจังเลยน้า *ซับน้ำตา*
ขอบคุณที่เขียนมาตลอดนะคะ
jaa_boice227 (@jaa_boice227)
เป็นเรื่องที่ไม่อยากให้จบเลย อยากติดตามความเป็นไปของคุณจอมเวทกับสเลย์เบก้าน้อย หวังว่าจะได้มีโอกาสเห็นพวกเขากลับมาโล่ดเล่นใน Drabble สั้นๆ บ้างนะคะ