เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Christmas en voyagehappypii
On the tenth day
  • ผมนอนไม่หลับ ภาพบาดแผลพวกนั้นเลวร้ายกว่าฝันร้ายทั้งหมดที่เคยเจอ


    ความคิดผมสับสน ไม่รู้ว่ากำลังหาคำตอบให้กับคำถามไหน ความรู้สึกเย็นวาบยังเกาะกินจิตใจเหมือนปรสิต ผมคำรามในคอ นึกโกรธตัวเองสุดขีด ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์คับขันแบบนั้น กลับทำตัวได้ไร้ประโยชน์สิ้นดี เสียงกรีดร้องจากสมองสั่งให้ผมทำอะไรสักอย่างแต่ก็ทำได้แค่คิด สุดท้ายกลายเป็นลูกค้าสุภาพสตรีที่เข้ามาช่วยประคองแขนทั้งสองข้างอย่างเบามือ รีบเปิดก๊อกให้น้ำไหลชะล้างความร้อนที่กำลังแผดเผา ก่อนวิ่งหายเข้าไปหลังร้านและกลับออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งให้ผมประคบบริเวณที่โดนลวก ผมไม่มีเวลาให้ประหลาดใจว่าเธอจัดการทุกอย่างรวดเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร หรือว่านั่นคือสัญชาตญาณความเป็นแม่ หมอนั่นกัดปากแน่นไม่ได้ยินแม้แต่เสียงครางเล็ดลอด หน้าเขาแดงก่ำ ไม่รู้พราะความอาย ความเจ็บปวดหรือด้วยเหตุผลอื่น แต่ยังฝืนเงยขึ้นมาทางผม ดวงตาที่มักชวนให้คิดถึงป่าสนอัดอั้นไปด้วยอารมณ์หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือคำขอร้องให้เขาอยู่ตามลำพัง ผมจับมือเขาแน่น หญิงสาวทำท่ากระอึกกระอัก จนเขายอมเปล่งเสียงขอร้องอย่างจำนน

     

    “ได้โปรด“ สั้น ๆ เพียงแค่นั้น ผมจึงต้องปล่อย


    ผมกับคุณแม่ลูกสามยืนนิ่งกันอยู่หน้าร้าน ไม่มีใครกล้าเดินแยกออกไปก่อน ใบหน้าเธอยังซีดเผือดจากอาการตกใจ ผมพยายามบอกกับเธอว่าไม่ต้องห่วงหมอนั่นไป แม้เราต่างรู้ดีว่านั่นคือคำโกหกที่ปลอบประโลมใจไม่ได้เลยสักนิดเดียว เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันบนฟุตบาธส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ไม่ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เเม้แต่น้อย ความไร้เดียงสานั่นคือคำอวยพรหรือคำสาปกัน


    ผมตาสว่าง แต่ไม่มีกะจิตกะใจจะลุกขึ้นจากเตียง นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า เวลาเปิดของ เลตัวล์ หน้าเจ้าหมอนั่นปรากฏขึ้นบนเพดาน ความละอายใจผลักให้ผมฝืนลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า หวังไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน ผมตอกไข่ใส่กระทะ กลับไข่ดาวให้สุกอย่างใจลอย ท่ามกลางเสียงซู่ของน้ำมันที่โดนไฟ ภาพของหมอนั่นก็กลับเข้ามาบนไข่ดาว สองแขนเข้ากอดตัวเองไว้เหมือนสัตว์ที่กลัวจะถูกทำร้าย ตัวเขาคงปริร้าวถ้ามือเผลอไปโดนเข้า 


    ความปรารถนาบางอย่างพวยพุ่งขึ้นเต็มอก ผมอยากเจอเขา ไม่สิ ผมต้องเจอเขา ผมต้องได้เห็นเต็มสองตา ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้เลวร้ายลงไปมากกว่าเดิม และวันนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของผม 


    ❄❄❄


    ฝนเทลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ผมแทบไม่รู้ ทีแรกที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ผมนึกว่าแค่หมอกลงหนากว่าปกติถ้าไม่สังเกตเห็นหยดน้ำตรงกระจก ทุกอย่างดูเงียบเชียบ เมืองทั้งเมืองถูกย้อมด้วยสีเทา คิดไม่ตกว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ลอนดอนหรือในฉากของหนังสยองขวัญมากกว่ากัน ผมเร่งฝีเท้า ความเปียกชื้นอาจซึมผ่านโค้ทมาไม่ได้ แต่ไม่ใช่กับอากาศหนาวที่เพิ่มทวีคูณจนเสียดกระดูก


    ผมเดินไปตามถนนเส้นเดิม ๆ ที่ผ่านแทบทุกวัน แต่วันนี้ ผมไม่รู้เลยว่ามีอะไรรออยู่ปลายทาง ผมพยายามเตรียมใจเผื่อสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หลักการการจัดการความเสี่ยงสอนให้มนุษย์คอยรับมือภัยคุกคามที่เป็นไปได้ตลอดเวลา ถึงอย่างนั้น เมื่อมาถึงจุดหมายและพบว่าประตูไม้โอ๊คถูกเปิดคาไว้ พื้นกระเบื้องข้างในมีรอยรองเท้าบูธที่ย่ำดินโคลน ผมรู้ซึ้งแก่ใจทันที ไม่ว่าจะเตรียมตัวมาขนาดไหน ชีวิตก็ยังสรรหาอะไรมาเซอร์ไพร์สเราได้ตลอดอยู่ดี


    มีตำรวจอยู่ในร้าน เป็นชายร่างเล็ก ใบหน้ายาว และหนวดจิ๋มเหนือปากให้ภาพของนักแสดงตลกมากกว่าเจ้าหน้าที่รักษาความสงบ ยิ่งมายืนใกล้กับหมอนั่นที่สูงกว่ากันมาก ผมคงหลุดขำไปแล้วถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป


     การปรากฎตัวของนายตำรวจยิ่งทำให้ผมสงสัยมากกว่าจะตกใจ ผมจึงรวบรวมความกล้า และถือวิสาสะเดินเข้ามา หมอนั่นเบิกตาโพลงเมื่อเห็นผมตรงหน้าประตู ก่อนรีบซ่อนแขนทั้งสองไว้ด้านหลัง แต่ก็ไม่เร็วพอที่จะทำให้ไม่ทันสังเกตเห็นผ้าพันแผลที่พันยาวมาถึงฝ่ามือ นายตำรวจร่างจิ๋วเลิกคิ้วเงยหน้ามองผมด้วยความใคร่รู้


    “ขอโทษนะครับ“ เสียงของเขาเล็กแหลมฟังเหมือนตัวการ์ตูน “พอดีผมมีธุระกับเมอร์ซิเออร์นิดหน่อย ถ้าผมจะรบกวนขอเวลาสักครู่หนึ่ง“


    ผมหันไปหาหมอนั่นที่ส่งสายตาเชิงอ้อนวอนให้ผมทำตาม แต่ผมทำใจแข็ง รู้ว่ามันดูเห็นแก่ตัว แต่ผมไม่อยากปล่อยให้เขาต้องเผชิญหน้าอะไรก็ตามแต่เพียงลำพัง และตำรวจตัวจิ๋วนายนี้ก็ไม่ทำให้ผมเกรงกลัวแม้แต่น้อย “ผมเป็นเพื่อนเขา“ คำพูดนั้นทิ้งรสชาติแปลก ๆ ไว้ในปาก ผมพยายามไม่ใส่ใจ


    นายตำรวจเลิกคิ้วสูง แต่เมื่อเจ้าของร้านไม่ได้แย้งอะไร เขาจึงปล่อยผ่าน “ถ้าอย่างนั้น ผมขอถามอะไรคุณสักสองสามข้อได้ไหมครับ“ เขาพูด ขณะหยิบปากกากับสมุดโน้ตเล็ก ๆ ขึ้นมา และแนะนำตัว ครูโซ สารวัตรฌาคส์ คลูโซ “คุณรู้จักมักคุ้นกับเมอร์ซิเออร์กลาสซงขนาดไหน“


    การคลุกคลีอยู่ในสังคมการละครมานานเป็นข้อได้เปรียบที่ผมภูมิใจเสมอ อีกฝ่ายจ้องมาด้วยสายตาคาดคั้น ผมทำหน้านิ่งและแสร้งว่าได้ยินไม่ค่อยชัด  


    “แบร์นารด์ กลาสซง“ เขาทำเสียงรำคาญนิด ๆ “เจ้าของคนก่อนของร้านนี้ไง“ โป๊ะเชะ ผมพยักหน้าตอบรับ พร้อมเล่าว่าตัวเองเป็นลูกค้าประจำที่นี่ก่อนลูกชายเขาจะมาดูแลแทน ว่าแต่น่าแปลก ทำไมนามสกุลถึงไม่เหมือนกับหมอนั่นล่ะ ดวงตาของนายตำรวจฉายแววเป็นประกาย


    “ดีเลยครับ งั้นผมขอถามคุณหน่อย ว่าคุณพอจะมีเบาะแสเกี่ยวกับการฆาตกรรมครั้งนี้ไหม คุณ เอ่อ ผมขอชื่อคุณหน่อยได้ไหมครับ“


    ผมหยุดหายใจ ฆาตกรรม เนื้อตัวเย็นวาบที่ไม่ใช่เพราะอากาศ ผมมองเลยสารวัตรที่ยืนรอคำตอบด้วยท่าทีหน่าย ๆ ด้านหลัง หมอนั่นเอนไหล่พิงผนังกำแพง ท่าทีเหมือนจะยืนไม่ไหวอีกต่อไป ใบหน้านั่นซีดขาวจนน่ากลัว


    ชีวิตยังหาอะไรมาเซอร์ไพรส์เราได้ตลอดอยู่ดี 


    สารวัตรร่างเล็กเหมือนมองผมออกทะลุปรุโปร่ง "อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้ เพื่อนคุณไม่ได้เล่าให้คุณฟังหรอกเหรอ" ผมไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าอย่างไรกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินมา


    “เราพบศพเขาในเช้าวันพุธที่ 13 ธันวาคม บริเวณตอนใต้ของสวนบูโลญจน์ ในสภาพถูกแทงด้วยของมีคมตรงช่องท้อง“ เขาพูดเสียงเรียบ ความรุนแรงกับความตายคืองานประจำที่แสนจะธรรมดา “กลาสซงเคยมีประวัติล่วงละเมิดทางเพศผู้เยาว์ แต่คดีหลุดเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ชอบใช้ความรุนแรง และมีอาการติดเหล้าจนต้องเข้าบำบัด เราคิดว่าฆาตกรต้องเป็นหนึ่งในอดีตเหยื่อของเขา ไม่ก็คนใกล้ชิดของเหยื่อ“ เขาหันมามองผม ดวงตาสีคู่นั้นดำสนิทราวไม่มีจุดสิ้นสุด เขาอ้าปากจะพูดต่อแต่แล้วก็หยุด ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ผมมาวันนี้เพื่อแค่จะแจ้งว่า พวกเราได้รายชื่อผู้ต้องสงสัยเพิ่ม รายละเอียดผมเล่าให้เพื่อนคุณฟังไปหมดแล้ว ถ้าคุณมีอะไรอยากจะบอกเรา คุณรู้นะ ว่าไปหาผมได้ที่ไหน เมอร์ซิเออร์“ เขายกมือแตะหมวกพร้อมค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนเดินจากไป ทิ้งให้พวกเราสองคนอยู่ท่ามกลางความเงียบ หมอนั่นทรุดตัวลงกับพื้น ผมรีบถลาเข้าไปประคองร่างที่อิดโรย


    “ขอโทษที่ไม่ได้บอกนาย“ ตัวเขาสั่นเกร็ง 


    “อย่าคิดแบบนั้น มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉันตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ“ ผมพูดปลอบ แม้ในใจจะทักท้วงว่า ใช่ ตอนนี้น่ะใช่แล้ว น้ำเสียงเขาเศร้าสร้อยและเดียวดายบาดลึกเข้าไปในใจจนผมลังเลว่าควรผละมือออกหรือไม่ แต่เมื่ออีกฝ่ายพยายามเอนตัวเข้าหาสัมผัส ผมปล่อยให้เขาทำอย่างที่ต้องการ


    “ฉันรู้ว่าพวกเขาไม่เคยตัดฉันออกจากรายชื่อ“ เขาจับไหล่ผมให้หันมาสบตากันตรง ๆ ดวงตาเขาแดงก่ำ กำแพงคงทนได้อีกไม่นาน “นายเชื่อฉันใช่ไหม บอกทีว่านายเชื่อฉัน ว่าฉันไม่ได้ทำ“


    ผมพยักหน้า พลางทำเสียงชู่เบา ๆ ให้เขาสงบสติอารมณ์ทั้งทีเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นกัน อีกฝ่ายซุกหน้าเข้าซอกคอผม ยังพึมพำประโยคซ้ำไปซ้ำมาเหมือนท่องมนตร์ อย่างกับว่ามันจะทำให้สิ่งที่เขาพูดเป็นจริงมากขึ้น ผมกอดเขาแน่น แทนคำขอโทษในเรื่องที่ผมแก้ไขไม่ได้ คำถามชุดใหม่ผุดขึ้นในหัว แต่ผมไม่คิดอยากจะรู้คำตอบเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่เมื่อไหร่ นานขนาดไหน รอยบนแขนนั่นมีรอยไหนที่อาจไม่ใช่ฝีมือพ่อของนาย ผมเข้าใจดี ที่ที่ผมจากมา เป็นเมืองที่เต็มไปตึกสูงระฟ้า และในช่วงเวลาที่จิตใจจมลึกเกินไปที่จะว่ายลงไปดึงกลับมา ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าอันเยือกเย็นยิ่งกว่าฤดูหนาวตรงกลางอก ผมรู้สึกว่าทุกอย่างช่างง่ายเหลือเกินก็แค่กระโดด นึกภาพว่าตัวเองเป็นซานตาคลอสที่กำลังหย่อนตัวลงมาตามปล่องไฟ


    ผมรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ซึมผ่านเสื้อโค้ท คล้ายเม็ดฝนที่เพิ่งเดินฝ่า แต่คราวนี้ ผมปล่อยให้มันหลั่งไหลเข้ามาโดยไม่ปริปากบ่น


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
paparkro9er (@papark_baka)
เราตืดตามอยู่แล้วเราก็เริ่มคิดไปไกลแล้วด้วย....
จริงๆ เรารู้สึกถึงการสอดแทรกอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละบท
แต่สาารภาพเลยว่าเรายังจับจุดที่คุณอยากสื่อไม่ได้แฮะ

ต้องรอติดตามต่อ