เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Shitty ideas that (maybe) one day will become the great storyb_amboo
[9Satra:ยักษ์กินทมิฬ] Omegaverse
  • ****เนื้อเรื่องเป็นแค่การร่างคร่าวๆ อาจไม่ต่อเนื่อง**


                     เล็บคมฉีกตัดผิวเนื้ออ่อน เกี่ยวขูดพนังภายในกายจนบอบช้ำ หักกระดูกทีละท่อนแยกชิ้นเนื้อให้มีขนาดเล็ก


                     "กี่ชีวิต" ราชาแห่งยักษ์ตะคอกถามนักโทษที่ถูกล่ามด้วยตรวนหนัก "เจ้าคร่าชีวิตคนของข้าไปกี่ชีวิต"


                     หยิบคีบชิ้นส่วนอวัยวะเล็กๆออกจากร่างของตน วางบนเนื้อผ้าหยาบ ขา แขน ไส้ อก กระโหลก ห่อตัวอ่อนที่ไม่มีโอกาสได้ออกมาดูโลกไว้ในห่อผ้า กวาดล้วงก้อนเนื้อเยื้อและก้อนเลือดออกจากกายตนด้วยใบหน้าเรียบเฉย

                     
                     "ความตายที่มอบให้นั้นก็คือความปรานี" อดีตทหารคนสนิทพูดตอบ


                     "ตอบคำถามของข้า!" เทหะยักษากระแทกเท้ากับบังลังค์ใหญ่ "เจ้าสังหารทหารยักษ์ของข้าไปกี่มากน้อย!"

                   
                     "34" พรานทมิฬตอบ

                     
                     "ข้าเมตตาชุบเลี้ยงเจ้ามาจนเติบใหญ่ นี่รึสิ่งตอบแทน!" ไฟโทสะประทุด้วยคำตอบของอดีตพรานในอานัติ "เผ่าพันธ์ชั้นต่ำเยี่ยงเจ้า อย่างไรแล้วก็เลวไม่ทิ้งลาย"


                     เลือดสดไหลรินลงระหว่างขาทั้ง2ข้าง เจ้าตัวชินชากับกลิ่นเลือดด้วยหน้าที่ที่ต้องแปดเปื้อนกับมันอยู่ทุกวัน ไม่ได้สะทกสะท้านกับความเจ็บปวดภายในร่างกายแม้แต่น้อย


                     "เลวงั้นรึ" พรานทมิฬคลี่ยิ้ม


                     ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ ตัวอ่อนที่ไม่มีใครต้องการ ร่องรอยสกปรกจากกลิ่นราคะที่เขาไม่เคยต้องการ มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีวันจบ ต้องปลิดชีพเด็กไร้เดียงสาอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำได้เพียงร่ำไห้ให้กับวงจรนรกที่เหนือความควบคุมของตัว


                     "ไว้พระองค์รู้ว่าพวกสัตว์นรกนั่นทำอะไรบ้าง แล้วค่อยตัดสินข้าไม่ดีรึ"


                                                        ******************
  • 1.

                     ร่างเพียวบางยืนเรียงหน้ากระดาน เนื้อผ้าบางปกปิดทรวดทรงโค้งเว้ายั่วยวน เครื่องประดับสีทองระยับดึงดูดสายตาของยักษ์ผู้เป็นใหญ่ในพื้นที่ มือหยาบลูบลวนลามเชลยที่แย่งชิงมาได้จากยักษ์กลุ่มอื่น


                     "เนื้อแน่นมือดี ถูกใจข้าจริง!" ยักษ์ใหญ่ส่งเสียงหัวเราะชอบใจในขณะที่เหล่าเชลยหญิงยืนเกาะกลุ่มกันด้วยความกลัว มีเพียงหนึ่งนางที่ยืนแยกกับคนอื่น คอยจ้องมองในขณะที่สุราไหลเข้าปาก เขี้ยวคมกัดฉีกเนื้อวัวป่าอย่างสบายอารมณ์ ลอบเปิดฝาขวดพิษแล้วรินลงในเหยือกเหล้า"เจ้า! เอาเหล้ามาเทให้ข้า!" เสียงตะโกนเรียกได้จังหวะที่พิษจะแทรกซึกเข้าไปในน้ำ 


                     มือแกร่งยกเหยือกเหล้ารินลงในกระบอกไม้ไผ่ในมือของศัตรู มือใหญ่ลูบเล่นบั้นท้ายของคนที่คิดว่าเป็นสาวงาม "..กระด้างอย่างมิใช่สตรี" ดื่มกินยาพิษที่แฝงไว้ในแก้วจนหมด


                     เสียงหัวเราะคละกับไอสำลักเป็นสิ่งปกติในดงยักษ์ถ่อยไร้อารยธรรม ปกติจนไม่คิดเอะใจทหารยักษ์กระอักเลือดล้มลงทีละตนจนถึงคราวของยักษ์ที่เป็นใหญ่ 


                     "แค่กๆ!!" มือหนาไขว่คว้าเหยือกน้ำเพื่อบรรเทาความปวดแสบปวดร้อนในลำคอ 


                     "..." ร่างผอมสูงถอดผ้าชิ้นบนที่เกะกะรุงรังออก พรานฝีมือฉกาจเฝ้ามองศัตรูทุรนทุรายจะหมดแรง ทหารยักษ์ที่แฝงตัวเข้ามาด้วยกันบุกเข้ามาเก็บกวาดยักษ์ที่ยังมีลมหายใจ


                     "แนบเนียนสมเป็นพรานจริง" ทหารยักษ์ร่างสูงใหญ่พูด หน้ากากครุฑส่งต่อจากมือถึงมือเจ้าของ "นี่ผ้านุ่ง ถอดเครื่องทรงสตรีนั่นเสียเถอะ ไม่กระดากผิวบ้างรึ"


                     "ไม่ต้องยุ่ง" พรานทมิฬตอบ ปลดเปลื้องเครื่องประดับที่ใช้อำพรางออก ฉีกชุดยาวเกะกะให้สั้นกระชับแล้วเดินจากไป ทิ้งกลิ่นอ่อนๆไว้ตามทางที่เดินผ่าน นกยักษ์นอนคอยท่าเจ้านายอยู่ไม่ห่าง


                     "ไม่กลับไปเข้าเฝ้าท่านจ้าวด้วยกันหรอกรึ" เสียงเพื่อนทหารตะโกนถามไล่หลัง สกุณเหราสบัดปีกพานายของตนบินสูงขึ้นไปบนฟ้า ไปในที่ที่ไม่มีใครล่วงรู้ ห่างไกลจากสิ่งมีชีวิตอื่น ที่ที่กลิ่นแห่งราคะจะไม่ลอยเข้าจมูกผู้ใด


                     เชือกเส้นใหญ่ผูกปมมัดเสียดสีเข้ากับผิวกาย ยืดร่างไว้กับคานไม้แข็งแกร่งในรังลับกลางป่า โพลงใต้ต้นไม้ใหญ่ นกใหญ่บินวนรอบบริเวณ โฉบไล่สัตว์ใหญ่ให้ออกไปพ้นโพรงไม้นั้น กลิ่นหอมยั่วยวนมาพร้อมความปวดแปลบทรมาน


                     2วัน 4วัน เวลาเลยผ่านไปเป็นอาทิตย์ กลิ่นเบาบางลง เจ้าของกลิ่นที่เหน็ดเหนื่อยจากการอดทนอดกลั้นกับอาการที่เกิดขึ้นในทุกเดือน ดึงปลดเชือกแล้วยันตัวลุกขึ้น ชำระเหงื่อไคลด้วยผ้าชุบน้ำในถ้วยเล็ก


                     นกใหญ่บินลงมาเดินวนเวียนที่หน้าโพรงไม้ เมื่อนายตนเดินออกมาจึงเข้าไปคลอเคลีย พรานทมิฬปีนขึ้นหลังสกุณเหราก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปยังที่ที่จากมา


                     "..พรานทมิฬ!" ทหารยักษ์เงยหน้ามองเงาดำบนฟ้าแล้วตะโกนให้สัญญาณ ปีกกว้างโบกสบัดพัดฝุ่นบนพื้นขึ้นมาฟุ้งทั่วบริเวณ "ท่านเทหะยักษารอพบเจ้าอยู่"


                     "ตอนนี้อยู่ที่ไหน" พรานทมิฬพยักหน้า แแล้วปล่อยให้สกุณเหราบินออกไป รอพบ..ก็คงเรียกไปถามเรื่องที่หายหัวไปเป็นอาทิตย์เหมือนเดิม ไม่ว่าจะบอกไปซักกี่ครั้งก็ยังเรียกไปพบอยู่เรื่อย


                     "ท่านเสด็จไปคอกวัว" ทหารยักษ์พูด "จะไปก็รีบไป หรือจะรอก็ไปรอที่ประทับ ให้ท่านเลือกวัวให้เสร็จแล้วค่อยเข้าเฝ้า"


                     คำพูดเหยียดหยามทำเขาคลื่นไส้ พรานทมิฬเดินตรงไปที่เต้นท์ผ้าหลังใหญ่ ทหารเฝ้ายามยกหอกขึ้นมาขวางกั้นเขาเอาไว้


                     "ได้ยินว่าท่านต้องการพบข้า ข้ามาเข้าเฝ้า" พรานทมิฬพูด


                     "เข้าเฝ้าทำไมไม่ไปรอที่ประทับวะ" ทหารยักษ์แยกเขี้ยว ไม่ใช่ยักษ์ทุกตนที่ยอมรับในตัวพรานคนสนิทของนายเหนือหัว "ใจเอ็งคงอยากจะมาสูดกลิ่นพวกวัวในคอกซะล่ะมั้ง"


                     "..." เขาไม่ใช่คนที่ยอมถูกเหยียดหยาม แต่ในขณะที่ร่างกายพึ่งฟื้นตัว ไม่มีทางเลยที่จะเอาชนะยักษ์ร่างใหญ่ตรงหน้าได้ พรานทมิฬยอมล่าถอยออกไป


                     "พรานทมิฬรึ" เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นจากในเต้นท์ผ้า ท้าวเทหะยักษาเดินออกมาจากสิ่งที่ยักษ์เรียกว่า 'คอกวัว' ลากจูงเด็กสาวชาวมนุษย์ถูกล่ามด้วยตรวนที่คอ "ครานี้หายไปนานกว่าคราก่อนนานนัก"


                     "ข้าไปในที่ที่ห่างไกล ใช้เวลานานในการกลับมา" พรานทมิฬตอบ ยักษ์สาวเดินตามออกมาโดยไร้โซ่ตรวน "คุยในยามนี้คงไม่เหมาะสม ไว้ข้าจะเข้าเฝ้าในวันพรุ่งนี้"


                     "ไม่ต้อง ตามข้ามา" เทหะยักษาพูดแล้วส่งตรวนให้พรานทมิฬก่อนจะเดินนำไปที่ที่ประทับของตนพร้อมกับนางยักษ์ที่เดินตามไปด้วยความเต็มใจ


                     พรานทมิฬมองเด็กสาวที่ถูกล่ามด้วยโซ่ เขาจำเธอได้ เธอคือเชลยของกลุ่มยักษ์กบฏที่เขาพึ่งไปทลายเมื่ออาทิตย์ก่อน ดูเหมือนเธอเองก็จำเขาได้เช่นกัน


                     "เดินตามมาดีๆ ไม่เช่นนั้นข้าจะลากเจ้าไป" เด็กสาวหันไปมองเชลยคนอื่นที่ขัดขืนแล้วถูกลากไปบนพื้น นางกลืนน้ำลายแล้วเดินตามไปอย่างไม่เต็มใจ


                     เขาไม่ได้อยากทำแบบนี้.. พวกยักษ์เรียกมันว่า 'คาวี' วรรณะที่ต่ำต้อยที่สุด พวกคาวีจะถูกรวมไว้ใน 'คอกวัว' เพื่อบำเรอเทหะยักษาเมื่อต้องการ แต่เมื่อเป็นเฉลยแล้ว ไม่ว่าจะในวรรณใด ถ้าท่าทางไร้ประโยชน์ใช้แรงงานไม่ได้แล้ว ก็ต้องมารวมกันอยู่ที่นี่ทั้งนั้น


                     เทหะยักษานั่งลงบนแท่นบรรทม นางยักษ์นั่งลงแทบเท้า กอดซบบนหน้าขาออดอ้อนด้วยมารยาทั้งหมดที่มี แต่นางไม่มีทางทำได้ เทหะยักษาไม่ใช่ยักษ์โง่เขลาอย่างพวกทหารยามหรือลนแรงงาน แม้ได้กลิ่นราคะของคาวี เจ้าแห่งยักษ์ก็ยังมีสติยับยั้งตนได้เสมอ


                     "นั่ง" พรานทมิฬพูดแล้วดึงตรวนกดลงเบาๆ เด็กสาวคุกเข่านั่งลงกับพื้น


                     "ที่ว่าไกลน่ั้น ไปถึงที่ใด" เทหะยักษาเอ่ยถามในขณะที่ลดมือลงลูบเล่นเส้นผมนุ่มของนางโลมที่เรียกตัวมา


                     "ทางใต้" พรานทิมฬตอบ "ข้าไปเยือนในแดนใหม่ เพื่อให้ในยามที่ท่านต้องการเคลื่อนไปทางได้จะได้รู้ทิศทาง"


                     "ข้าก็ไม่ได้เคลือบแคลงอันใด ใยจึงร้อนตัวนักเล่า" เทหะยักษาพูด


                     "..." พรานทมิฬไม่ได้ตอบ


                     "ที่เรียกเจ้ามาก็เพื่อเรื่องนี้" เทหะยักษาเรียกให้พรานทมิฬนำเชลยเดินเข้าไปใกล้ "ครั้งนี้เจ้าทำได้ดี ข้าหาเวลาที่จะตบรางวัลให้เจ้าอยู่นาน แต่ยังไม่เห็นสิ่งของอันใดที่มันจะสมกับความภักดีของเจ้า" มือใหญ่ดึงโซ่ตรวนเข้ามาใกล้ ใบหน้าขาวผ่องของเชลยนั้นแสดงถึงชาติตระกูลอันสูงส่ง


                     "ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใด" พรานทมิฬตอบ


                     "อย่าปฏิเสธให้ยาก" เทหะยักษาพูด "ข้ารู้หรอก เหตุผลที่เจ้าเที่ยวจรออกไปนั้น มันคืออาการของเทวาล่ะสิ"


                     "..." พรานทมิฬไม่ไปพูดอะไรตอบกลับ เขาดีใจเสียด้วยซ้ำที่ถูกเข้าใจผิด "เป็นดั่งที่ท่านว่า"


                     "เจ้านี่!" เทหะยักษาตบตักชอบใจ "แค่นางวัวไม่กี่ตัว! ข้าแบ่งให้ได้!" เขาพูดแล้วยักโซ่ตรวนใส่มือทหารคนสนิท "รับไป นี่คือรางวัลของเจ้า"


                     "..แต่"


                     "นางมนุษย์นี่มิใช่แค่สามัญชน เจ้าดูแล้วก็น่าจะรู้" เทหะยักษาพูดแล้วหันไปสนใจทรวงอกที่เบียดเข้าเรียกร้องความสนใจ "รับไปซะ อย่าขัดน้ำใจข้า บอกพวกทหาร ว่าคืนนี้เลี้ยงฉลองรับเจ้า"


                     "...รับด้วยเกล้า" พรานทมิฬพูดก่อนจะเดินถอยออกมาจากตำหนัก ปล่อยให้นายของตนรื่นเริงกับนางสนมที่พร้อมพลีกายให้ผู้เป็นใหญ่ หลังประตูผ้าหนามีเหล่าทหารยักษ์ที่จับจ้องรอผลการเข้าเฝ้า


                     พรานทมิฬเดินออกมาพร้อมของรางวัลที่ตนพึ่งได้รับ "คืนนี้เลี้ยงฉลอง" เขาพูด เหล่ายักษ์โห่ร้องแสดงความดีใจ เขาพานางเชลยเดินลับเลาะไปที่ที่พักของตน


                     "เจ้าจะทำอะไรข้า" เด็กสาวพูดด้วยเสียงหวาดกลัว


                     "ไม่รู้หรอกรึ ว่าเชลยวรรณะคาวีมีไว้ใช้ได้แค่อย่างเดียว" เขาถาม หน้าของเชลยสาวถอดสีจนซีดเผือก "แต่เจ้าก็ได้ยินแล้ว ว่าข้าไม่ได้ต้องการเจ้า"


                     "เช่นนั้นก็ปล่อยข้าไปเถิด" นางพูด


                     พรานทมิฬถอนหายใจแล้วยกร่างของเด็กสาวโยนลงบนกองผ้านุ่ม ยึดตรึงโซ่ตรวนไว้กับหลักแกร่งไม่มีทางหนี


                     "เปลี่ยนผ้านุ่งเสีย" พรานทมิฬพูด "ข้าไม่ได้อยากจะสมสู่กับเจ้า แต่ถ้าดื้อด้านนักข้าจะทำให้เจ้าฝันร้ายไปจนตาย" นางเชลยฟังคำขู่ดังนั้นจึงจำใจหันไปเลือกผ้าในกองมาปกปิดร่างกาย


                     เรื่องแบบนี้ไม่เคยอยู่ในหัวของเขา ทุกวันที่ตื่นมาพบแสงแดด มีแต่การระแวงระวังตัว ไม่ให้ตนเผยวรรณะที่แท้จริงของตนออกไปเพียงเท่านั้น


                     ปกปิดความจริง ว่าพรานคนสนิทที่เจ้าแห่งยักษ์ทั้งมวลไว้ใจนั้น มีวรรณะต่ำต้อยไม่ต่างจากพวกนางโลมในคอกวัว



  •                  "ดื่มน้อยจริง เดิมทางมาเหนื่อยๆ ผ่อนคลายเสียบ้างเถอะ" สหายร่วมรบยกแขนขึ้นกอดคอพรานทมิฬแล้วยกแก้วเหล้าเข้าปาก "ได้ยินว่าท่านจ้าวประมานเมียให้รึ งามรึไม่เล่า"


                     "มนุษย์ที่งามรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรข้าไม่รู้หรอก" พรานทมิฬส่ายหน้า


                     "โถ่เอ้ย! ไอ้แบบที่ไม่สวยก็มีให้เห็นที่โรงครัวแล้ว! ผิวเหี่ยวๆนมยานๆหน้าเป็นกระเป็นฝ่า สวยก็ต้องตรงข้ามกันสิวะ" 'เที่ยง' คือแม่ทัพไม่กี่คนที่ยอมรับในความแตกต่างของเผ่าพันธ์ เมื่อมีศึกที่ต้องรบเคียงกับพรานจากเผ่าทมิฬ พวกแม่ทัพอื่นก็พากันเกี่ยงไม่ยอมไปร่วมด้วย จนสุดท้ายก็ดูเหมือนจะมีแค่เขาเท่านั้นที่รับศึกเหล่านั้นร่วมกับพรานทมิฬ


                     "ไม่ยักรู้ว่าเจ้าพิศวาทพวกมนุษย์" พรานทมิฬตอบ "อย่ายลนักก็อดใจรอ อีกไม่นานคงมาพร้อมนางบำเรอ" เขาเหลือบมองขบวนนางบำเรอที่เดินเข้ามาเพิ่มสีสันให้งานฉลอง กวาดตาหานางเชลยที่ถูกมอบให้เป็นสมบัติของเขา "มาโน่นแล้วไง ดูเสีย"


                     "โห" เที่ยงเบิกตากว้าง เชลยสาวเดินก้มหน้าก้มตามานั่งลงข้างๆนายของตน "งามนัก ถ้าไม่บอกว่าเป็นมนุษย์ล่ะก็ ข้าคงคิดว่าท่านจ้าวประทานนางอัปสรมาเป็นเมียเจ้าแน่" เขาชะโงกหน้ามองไม่วางตา


                     "เพ้อเจ้อ" พรานทมิฬพูดตัดบทแล้วใช้หลังมือเคาะคางของสหาย "ปิดปากเสียง น้ำลายจะไหลลงแก้ว"


                     "เจ้ามีนามว่าอะไร" เที่ยงเอ่ยถาม


                     "..." สาวชาวมนุษย์ไม่ตอบ เพียงแต่ทำหน้าที่ตามที่นางบำเรอคนอื่นๆกำชับไว้ ยกขวดเหล้ารินใส่แก้วของนายตน ระแวงระวังสายตาแทะโลมของยักษ์ตนอื่นในระแวกใกล้


                     "ไม่ต้องกลัวดอก" เที่ยงไม่ละความพยายามที่จะซักไซร้ "ดีแล้วที่ท่านจ้าวประทานเจ้าให้พรานทมิฬ หากเป็นยักษ์ตนอื่น พวกมันได้---"


                     "..." พรานทมิฬกระทุ้งศอกเข้ากับแขนของยักษ์ปากเปราะ "อะไรที่ไม่จำป็นก็ไม่ต้องพูดก็ได้"


                     "วิมลดรา" นางเชลยตอบ "เพื่อนเรียกข้าว่าดารา"


                     "ชื่อไม่เหมือนสามัญชน เป็นใครมาจากไหน" เที่ยงเอ่ยถาม เรื่องความเป็นมาของเชลยศึกไม่ได้ดึงความสนใจของพรานทมิฬไปจากสายตาของยักษ์ตนอื่นที่เฝ้ามองพวกเขาจากที่ห่างๆ มันไม่แปลกหากพวกมันจะมองที่ดารา แต่ถ้าหากพวกมันไม่ได้มองนาง..นั่นหมายถึงอันตรายกับตัวของเขา


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in