เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#เรียนหมอหนักมาก It's Not Easy To Be A DoctorSALMONBOOKS
02: ทำไมถึงอยากเป็นหมอ

  • เวลามีคนถามว่า “ทำไมถึงอยากเป็นหมอ?” เรามักจะตอบไม่ได้เพราะ เราไม่ได้อยากเป็นหมอสักหน่อย (อ้าว) ไม่ใช่แค่ไม่อยากเป็นหมออย่างเดียวนะ เราไม่อยากเป็นอะไรเลยด้วยซ้ำ อยากอยู่เฉยๆ ใช้ชีวิตสบายๆ นอนตื่นสายบ่ายออกไปช้อปปิ้ง กินข้าว ตกค่ำก็กลับมานอน (ขี้เกียจไปแล้วมึง!) หรือถ้าจะให้ดี อยากหายใจออกมาเป็นเงินเป็นทองเลยด้วย

    แต่ทุกความคิดเพ้อฝันก็พังพินาศลงเมื่อเราลืมตามาพบโลกแห่งความจริง

    ความจริงที่ทุกคนต้องเรียนจบ ทำงาน ซื้อบ้าน ซื้อรถ มีอนาคตที่ดี ซึ่งอนาคตอันใกล้ที่สุดของเราในตอนนั้นก็คือ สอบเข้ามหาวิทยาลัย

    ย้อนกลับไปสมัยมัธยมต้น ตอนนั้นชีวิตเรายังไม่ต้องคิดอะไรมาก วันๆ มีแค่เรื่องเรียน เรื่องเพื่อน คำถามในชีวิตมีแค่พักเที่ยงกินอะไรดี เลิกเรียนแล้วไปไหน เสาร์-อาทิตย์นี้ทำอะไร ความรับผิดชอบสูงสุดในตอนนั้นคือ เรียนให้ได้เกรดดีที่สุด

    พอเข้าสู่ช่วงมัธยมปลาย สถานการณ์ก็บังคับให้เราเริ่มคิดถึงอนาคตขึ้นมาอีกหน่อย เพราะเราจะเจอทางแยกที่ต้องเลือกระหว่างสายวิทย์กับสายศิลป์

    ตอนมัธยมต้น เราเป็นเด็กเนิร์ดคนหนึ่ง ตัวอ้วนๆ ใส่แว่นหนาๆ วันๆ ไม่ค่อยยอมขยับไปไหน นั่งอ่านแต่หนังสือ ชีวิตมีเป้าหมายอย่างเดียวคือ เรียนให้ได้เกรดสี่ทุกวิชา

    พอถึงเวลาต้องเลือกสายการเรียนตอนมัธยมปลายเราก็ใช้ความบ้าเรียนนี่แหละเป็นตัวตัดสินเลือกสายวิทย์ โดยเราในตอนนั้นคิดแค่ว่า เลือกไปก่อน พอจะเข้ามหา’ลัยค่อยว่ากัน

    ด้วยความรักที่มีต่อการเรียน ส่งผลให้เราสอบติดโครงการโอลิมปิกชีวะรอบแรก (ครับ ครบสูตรที่เด็กเนิร์ดสายวิทย์คนหนึ่งพึงจะมี) แต่พอติดรอบแรกปุ๊บก็ตกรอบสองทันที...เพราะระหว่างนั้นโรงเรียนดันมีงานกีฬาสี แล้วเราที่เนิร์ดมาทั้งชีวิตพอได้เข้าร่วมกิจกรรมเข้าก็เริ่มรู้สึกว่า โลกนี้มีอะไรสนุกๆอีกเยอะ แล้วไหนจะได้อยู่กับเพื่อนๆ ทำกิจกรรมจนดึกดื่น กลายเป็นว่าเราหลงรักบรรยากาศการทำกิจกรรมไปเลย
  • ถึงตรงนี้ต่อมเนิร์ดของเราก็ค่อยๆ ปริออกทีละนิด (คือโดยรวมก็ยังเนิร์ดอยู่ แต่ลดระดับลงไปบ้าง) กลายเป็นเด็กครึ่งๆ กลางๆ ไม่รู้จะเนิร์ดเรียนหรือจะบ้ากิจกรรมดี เราใช้ชีวิตแบบนั้นมาเรื่อยๆ โดยมีความคิดว่าอีกตั้งสามปีกว่าจะเข้ามหา’ลัย…

    สามปีผ่านไปไวมากๆ...

    จากเด็กมัธยมที่อยู่ไปวันๆ มาวันนึงเราก็ต้องเลือก (อีกแล้ว) ว่าจะเรียนคณะอะไร เข้ามหาวิทยาลัยไหน แถมคราวนี้มันเป็นการเลือกที่ต้องคิดถึงอนาคต สิ่งที่เราตัดสินใจวันนี้ มันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต

    สุดท้าย ผมก็ตัดสินใจเรียนหมอ!

    ทำไมเราถึงตัดสินใจแบบนี้

    สารภาพว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน พอมานั่งคิดตอนนี้ เราอยากจะเรียนอย่างอื่นมากกว่าด้วยซ้ำ แต่พอลองคิดย้อนกลับไปก็พบว่ามันมีปัจจัยไม่กี่อย่างที่ทำให้เราเลือกเรียนหมอ

    หนึ่ง—เป็นเด็กบ้าเรียน เกรดเฉลี่ยมัธยมปลายดันสวยงาม และที่สำคัญคือ เราทำคะแนนวิชาสายวิทย์ได้ดีมาก (อย่าทำหน้าเอือม นี่กูพูดเรื่องจริง ไม่งั้นกูจะเรียนหมอเรอะ)

    สอง—เราคิดว่า อาชีพหมอเป็นอาชีพที่มั่นคง รายได้ดี ฐานะทางสังคมก็ดี พูดง่ายๆ คือโดนกระแสสังคมสปอยล์มานั่นแหละ

    สาม—เราคิดว่าการช่วยเหลือคนอื่น จะทำให้เรามีความสุข ซึ่งการเลือกเรียนหมอก็เท่ากับว่าเราได้ช่วยคนไข้ให้หายป่วย และเราคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี (หล่อมากกกก)

    และสี่—เป็นสิ่งที่โคตรจะไม่สมเหตุสมผล และไม่เคยบอกใครเลย นั่นก็คือ...เราเลือกหมอตามคนที่แอบชอบ! นี่ถ้าพ่อแม่มาอ่านเจอจะรู้สึกยังไง จากวันนี้ไปเราจะมองหน้าพ่อแม่ได้มั้ยเขาจะคิดยังไงกับเรา... (โอ๊ยยยย จะบ้าตาย)
  • ตอนนั้นเรามโนและนิมิตขั้นสูงสุดว่าถ้าได้เข้ามาเรียนหมอที่เดียวกับคนที่เราชอบ เราคงได้อยู่ด้วยกันในห้องผ่าตัด ช่วยกันเย็บแผลในกระเพาะอาหาร ดูดเลือดคั่งในสมอง ล้างลำไส้ใหญ่ ปลูกถ่ายหัวใจร่วมกัน ตอนอยู่เวรก็มานั่งเป็นเพื่อน ก่อนสอบก็นั่งติวกันในห้องพักแพทย์ กุ๊กกิ๊กโรแมนติกจะตายไป (เขินอาย บิดตัวไปมา)

    มาถึงตรงนี้ หลายคนคงนึกด่าเราในใจว่าทำไมไร้สาระแบบนี้ คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกซีรีส์เกาหลีหรือไงถึงได้ตามคนที่ชอบมาเรียน ไร้เหตุผลที่สุดเลยโว้ย

    แต่เราก็อาจจะเถียงได้ว่ามีเหตุผลนะครับ

    มันเป็นเหตุผลของหัวใจยังไงล่ะ...

    ถุย!
  • Q: ชีวิตรักหลังจากนั้นเป็นยังไงบ้าง?

    A: สุดท้ายแล้ว เราก็ไปกันต่อไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเราไม่เดินไปพร้อมกัน แต่เขา...เดินไปหาคนอื่นแทน (หัวเราะทั้งน้ำตา)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in