เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกนึกเล่าADRT
3 to 85 in 365



  • 3 to 85 in 365 คืออะไร หลายคนคงสงสัย
    แต่หลายคนคงเดาออกว่า 365 มันคงเป็นจำนวนวันภายในระยะเวลาหนึ่งปี
    แต่ 3 to 85 ล่ะ...? ลองอ่านกันดู อ่านจบแล้วคุณจะเจอคำตอบ



    ก่อนอื่น... เราอยากบอกว่าจริงๆ แล้วเราแล้วเป็นคนชอบอ่านหนังสือ และชอบเข้าร้านหนังสือ
    เวลาไปเดินห้างคนเดียว ถ้ามีเวลาจะเดินเข้าร้านหนังสือทันทีแล้วขลุกตัวอยู่ในนั้นเป็นชั่วโมง
    ถามว่าเข้าไปนั่งอ่านหนังสือเหรอ จะตอบว่า 'ใช่' ก็ไม่เต็มปาก จะว่า 'ไม่' ก็ไม่เชิง
    คือเข้าไปเดินวนๆ หยิบเล่มนั้นมาดูหยิบเล่มนี้มาดู เจอเล่มปกสวยก็เปิดดู พอเนื้อหาไม่ถูกใจก็เก็บ
    บางครั้งเจอเนื้อหาถูกใจ แต่ราคาดันไม่ถูกใจก็มีอีก คือชอบซื้อหนังสือมาเก็บไว้ ทั้งที่คิดว่าจะอ่าน
    อยากอ่าน อ่านคำโปรยหนังสือแล้วน่าอ่าน หน้าปกสวย นักเขียนคนนี้ดี หรือบางทีแค่ถูกใจเล่มนี้
    คือพูดง่ายๆ มันมักจะมีเหตุผลมารองรับในการซื้อหนังสือเล่มนั้นๆ มาเก็บไว้เสมอ
    แล้วสุดท้าย ก็วางตั้งซ้อนกันให้ฝุ่นเกาะเล่นอยู่บนชั้นหนังสือ แบบที่ไม่ได้เฉียดไปแตะมันเลยสักนิดเดียว
    สาเหตุหลักๆ เลย ความขี้เกียจครอบงำ พอคิดจะอ่านๆ 'แม่งขี้เกียจว่ะ ไว้ก่อนละกัน' จบ จบเลย


    ณ วันนี้ มองย้อนกลับไปเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว ตอนนั้นคือช่วงที่เริ่มอ่านหนังสือจริงจังแบบจริงๆ จังๆ
    คือตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองเอาไว้ว่า อย่างน้อยเดือนนึงต้องอ่านสือไม่ต่ำกว่าสองเล่ม
    ซึ่งปกติแล้วปีปีนึงนี่อ่านหนังสือยังไม่ถึงสามเล่มด้วยซ้ำ ย้ำว่าสามเล่มยังไม่ถึงจริงๆ
    เพราะฉะนั้นปีนึงเฉลี่ยแล้วเราต้องอ่านหนังสืออย่างน้อยได้ 24 เล่ม เป็นอย่างต่ำ
    และผลสรุปของระยะเวลา 1 ปี จากช่วงกลางปีที่แล้วจนวันนี้ คืออ่านหนังสือไปทั้งหมด 85 เล่ม
    รวมเล่มปัจจุบันที่กำลังอ่านอยู่คือ Harry Potter and the Philosopher's Stone
    พูดเลยว่าตกใจตัวเองมากที่อ่านไปเยอะขนาดนั้น(เหย 85เล่มภายในหนึ่งปีอ่ะ อารมณ์แบบกูทำได้ไงวะ!)
    คือต้องบอกก่อนว่า เราอ่านทั้งหนังสือที่เป็นเล่มและอ่านแบบออนไลน์ แต่ก็นับรวมเป็นเล่มไปด้วย
    หนังสือที่อ่านนี่มีตั้งแต่เล่มบางๆ เล็กๆ มีหน้าไม่กี่สิบหน้า จนไปถึงหนังสือเล่มหนาเตอะเป็นร้อยๆ หน้า
    หรือหนังสือบางเล่มที่ไม่มีตัวหนังสือเลยมีแต่รูปภาพ เราก็อ่าน
    สำหรับบางคนการอ่านหนังสือ 80 เล่มภายในเวลาหนึ่งปี อาจเป็นเรื่องปกติหรืออาจน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
    แต่สำหรับคนที่แตะหนังสือปีนึงไม่ถึง 3 เล่ม มันเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงกับตัวเองจริงๆ

    หนังสือที่อ่านนั้นมีทั้งหนังสือการ์ตูนเบาสมอง นิยาย/นวนิยาย ทั้งงานเขียนทั่วไปหรืองานซีไรต์ต่างๆ
    เรียกว่าอ่านตั้งแต่นิยายรักน้ำเน่า นิยายแฟนตาซี ไปจนนิยายแนวบู๊ฆ่ารันฟันแทงก็อ่าน
    และที่อ่านแล้วมีความรู้ไปประดับสมองแน่ๆ อย่างพวก หนังสือจิตวิทยา ประวัติศาสตร์ อัตชีวประวัติ
    สารคดี แนวทางการใช้ชีวิต หนังสือหมอก็อ่าน(ตอนนั้นก็งงตัวเองนะ ว่าอ่านทำไมวะ 55555)
    คือเรียกง่ายๆ ว่าก็อ่านหมดนั่นแหละ แต่ทั้งหมดนั่นก็เป็นหนังสือที่ตัวเราสนใจนะ
    ไม่ใช่สักแต่ว่าอ่านๆ ไปให้จำนวนหนังสือมันเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แบบนั้น
    หนังสือแต่ละเล่มที่อ่าน เนื้อหาของมันต้องทำให้เรารู้สึกว่าอ่านแล้วมันน่าเปิดอ่านต่อไปเรื่อยๆ
    (แม้จะเป็นหนังสือหมอ ที่อ่านแล้วโคตรจะไม่เข้าใจศัพท์ แต่มันก็มีความอยากรู้ไง?)
    ไม่ใช่ว่าหนังสือที่ซื้อมา พอเปิดอ่านไปไม่กี่หน้า หรือไม่กี่บท ก็วางก็เก็บขึ้นหิ้ง
    แต่ถามว่ามีไหม สำหรับหนังสือที่พออ่านไปแล้วรู้สึกเริ่มไม่ถูกจริตกับที่ตัวเองชอบ มันก็มีอยู่แล้ว
    หากแต่ก็คิดอีกแง่ว่า ในเมื่อมันไม่ถูกจริต ก็หาเหตุผลให้ตัวเองสิว่าไม่ถูกจริตกับหนังสือเล่มนี้เพราะอะไร
    หาเหตุผลจากการอ่านไปจนจบเล่ม และพอรู้ว่าไม่ชอบเล่มนี้เพราะอะไร สิ่งที่เราจะได้ตามมาคือ
    ข้อคิดและมุมมองที่ต่างออกไปจากมุมมองของเรา เอาง่ายๆ คือ ให้คิดว่าหนังสือมันก็เหมือนกับคน
    ทุกเล่มก็ต่างกันออกไป ไม่มีเล่มไหนเหมือนกัน และเราไม่มีทางชอบหนังสือทุกเล่มได้
    หากแต่เราสามารถเรียนรู้จากหนังสือทุกเล่มได้ และเมื่อเรียนรู้จากมันแล้ว
    ก็เอาสิ่งที่ได้มาเนี่ยแหละสอนตัวเอง และปรับมุมมองต่างๆ ที่เราเคยมีให้กว้างขึ้น
    เมื่อมุมมองที่เคยมีกว้างขึ้น เราจะเปิดรับอะไรต่างๆ เข้ามาในชีวิตได้เยอะขึ้นกว่าเดิม
    และที่สำคัญ มันจะทำให้เราโตขึ้นกว่าเดิมด้วย


    หลังจากที่อ่านหนังสือมาปีนึง มันมีความรู้สึกว่าเราได้เปิดโลกอีกโลกนึงให้กับตัวเอง
    เมื่อก่อนเป็นคนชอบดูหนังมาก(ทุกวันนี้ก็ยังชอบดูอยู่)
    หากแต่หนังเรื่องไหนที่สร้างมาจากหนังสือ และหนังสือเล่มนั้นมีวางขาย
    เราก็จะตามหาหนังสือเรื่องนั้นๆ มาอ่านอีกรอบ
    และผลลัพธ์ที่ได้จากการอ่านหนังสือมันต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากการดูหนัง
    อย่างน้อยรายละเอียดยิบย่อยที่หนังไม่สามารถหยิบออกมาถ่ายทอดให้เราเห็นได้
    ตัวหนังสือที่เราอ่าน มันทำให้เราเห็นรายละเอียดตรงนั้นได้อย่างชัดเจน

    พวกหนังสือแนวจิตวิทยา นี่สรุปเป็นหนังสือแนวที่ชอบที่สุดเลย
    ไม่จำเป็นต้องเป็นหนังสือที่เขียนถึงหลักจิตวิทยาโดยตรง
    หากแต่นิยายบางเรื่อง ที่ใช้หลักจิตวิทยาเข้ามามีบทบบาทในเนื้อหา
    นี่ก็อ่านจนจบ แล้วรู้สึกว่าจิตวิทยามันค่อนข้างมีประโยชน์มากในการใช้ชีวิตเราเลยนะ

    พวกนิยายรักน้ำเน่าบางเรื่องที่อ่าน ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่ให้อะไรกับเราเลย
    บางครั้งนิยายพวกนี้ทำให้เราเห็นมุมมองเรื่องความรัก มุมมองการใช้ชีวิต
    มุมมองความคิด มุมมองในเรื่องต่างๆ ในอีกหลายๆ แง่มุมที่เราไม่เคยรู้


    ไม่รู้นะ ส่วนตัวคิดว่าการอ่านหนังสือมันไม่เสียเวลาไปเปล่าประโยชน์
    ต่อให้หนังสือเล่มที่คุณอ่านจะเป็นนิยายรักน้ำเน่า หรือหนังสือการ์ตูนก็ตาม
    อย่างน้อยถ้าการ์ตูนเรื่องนั้นเป็นการ์ตูนที่แฝงหลักข้อคิดเอาไว้ คุณได้ประโยชน์จากมันชัวร์ๆ
    หรือแม้ว่ามันจะเป็นหนังสือที่ไม่มีสาระอะไรเลย ซึ่งหนังสือแบบนี้มันมีนะ
    หากแต่สิ่งที่คุณจะได้รับจากการอ่านหนังสือเล่มนั้นคือ คุณจะมีช่วงเวลาที่คุณไม่ต้องคิดอะไรเลย
    และนั่นมันจะเป็นช่วงเวลาที่คุณสบายใจที่สุด



    'หนังสือ' มันให้อะไรมากกว่าที่คิดจริงๆ นะ
    ทุกวันนี้เรากลายเป็นคนติดหนังสือไปแล้วโดยปริยาย
    และไม่คิดจะเลิกติดมันด้วย







    ___
    นึกเล่า | #01 'การเปลี่ยนแปลงของคนที่อ่านหนังสือ ปีนึงไม่ถึงสามเล่ม'
    01:37 am | August 28, 2016

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in