เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บานหน้าต่าง บ้านข้างๆwriteismyway
ตอนที่ 1 เสียงร้องไห้ของใครกัน

  • หยาดฝนตกกระทบลงพื้นดินดังซู่ซ่า คล้ายกับเสียงทอดปลาในกระทะที่ดังซู่ซ่าไม่ต่างกัน

    มือของเด็กหญิงผมสั้นเหนือติ่งหูยกขึ้นมาปิดปากของตัวเองขณะที่หาวจนใบหน้าปิดเบี้ยว หนังสือเรียนวิชาวรรณคดีไทยถูกปิดพับไว้ข้างกายตามเดิม ร่างอวบท้วมลุกขึ้นจากโซฟากลางบ้าน พลางบิดตัวยืดไปมาไล่ความเมื่อยล้าออกจากร่างกาย ดวงตาชั้นเดียวมองไปในห้องครัวมุมถัดไป เธอเห็นแม่ยกปลาตัวใหญ่ขึ้นจากกระทะ ใบหน้าของมันค่อนข้างประหลาด ปากอ้าค้าง ดวงตาเบิกโพลง และตัวของมันยังถูกบั้งด้วยมีดบังตอ เนื้อตัวของมันกรอบน่ากินกว่าตอนที่มันดิ้นทุรนทุรายจากการโดนแม่ค้าใช้สากทุบหัวจนตาย
    "มากินข้าวได้แล้วสตางค์" แม่เรียกชื่อลูกรักหลังจากนำปลาทอดมาวางบนโต๊ะไม้ญี่ปุ่น ทว่าหญิงสาวร่างอวบกลับไม่ขยับเขยื้อน แต่กลับมีเด็กผู้หญิงอีกคน วิ่งเข้าไปนั่งบนเก้าอี้โต๊ะกินข้าวด้วยรอยยิ้มแสนหวาน
    เธอไม่ได้ชื่อสตางค์ และเธอไม่ใช่ลูกรักของคนในบ้านสักเท่าไร
    "เงินจะกินไหมข้าวน่ะ จะกินก็รีบมา อย่าชักช้า แล้วก็ตักข้าวให้น้องด้วย" แม่บอกกับเด็กร่างอ้วนด้วยน้ำเสียกระแทกแดกดัน ต่างจากน้องสาวที่น่ารักน่าชังจนแม่และพ่อ พูดจาหวานไพเราะ พวกเขายินดีเสมอที่จะพาลูกสาวคนเล็กไปออกงานสังคมเพื่อเป็นหน้าตาของบ้าน
    "กินน้อยๆหน่อย กินยัดพุแบบนี้ มันเปลืองข้าว!" หากบอกว่าเงินชินชากับคำพูดของแม่แล้วก็ดูเหมือนจะโกหก เงินไม่เคยชินกับคำพูดถากถางน้ำใจสักครั้ง เธอเกลี่ยข้าวในจานกลับลงโถข้าวอีกครั้ง จนเหลือเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของจำนวนข้าวที่เธอตัก
    "น้องสตางค์เป็นไงบ้างลูก ปลาทอดอร่อยไหม?""อร่อยที่สุดเลยค่ะแม่ รสแบบนี้สตางค์ชอบ แม่ของน้องเก่งที่สุด" แม่คงลืมว่าเงินกินปลาไม่ได้ ไม่เคยรู้เลยว่าผักคะน้าคือผักที่เงินเกลียดที่สุดในชีวิต
    "กินเข้าไปสิ จะเขี่ยอีกนานไหม?" แม่หันมาบอกเงินด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดพอสมควร ริมฝีปากหนาของเธอเม้มเข้าหากันก่อนจะกลั้นใจตักผักราดใส่ข้าว ตักเข้าปากแล้วเคี้ยวมันจนละเอียดให้เร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้


    มื้อค่ำจบไป ด้วยใจที่เจ็บปวดเกินทน


    เวลา 23.12 นาฬิกา
    ควรจะเป็นเวลานอนของเด็กมัธยมต้น แต่ไม่ใช่กับเงินที่กำลังนั่งกอดเข่ามองไปนอกหน้าต่าง ห้องของเธอติดกับรั้วบ้านข้างๆ ซึ่งมีบานหน้าต่างอยู่ระดับเดียวกัน แต่รั้วซี่ถี่และความสูง ทำให้เงินมองไม่เห็นว่าในหน้าต่างบานนั้นมีอะไร
    ตั้งแต่จำความได้ เงินเห็นหน้าต่างบานนี้เปิดทุกวันแต่เธอก็ไม่เห็นว่าใครจะเดินไปมาผ่านหน้าต่างบานนั้นและเมื่อเดินผ่านหน้าบานก็เงียบเชียบเสียเหลือเกิน บ้านไม่ได้ดูรกร้างเหมือนในหนังล่าผี แต่บ้านนี้เงียบเกินไปจนนึกว่าไม่มีคนอยู่ด้วยความสงสัยของเงินทำให้เธอลุกขึ้น เขย่งปลายเท้าชะเง้อดู สำรวจดูว่าหลังหน้าต่างบานนั้นมีอะไร
    เธอลากเก้าอี้ที่ใช้นั่งทำการบ้านประจำขึ้นมาปีนดู จังหวะที่เธอกำลังก้าวเท้าขึ้นเหยียบก็ได้ยินเสียงของใครบางคนลอยเข้ามาใกล้ใบหู มันลอยมาตามสายลม ลอยมาตามสายฝนที่ตกปรอยลงมาอีกครั้ง
    "ฮือ..." เสียงเด็กผู้หญิง เสียงเหมือนกำลังโศกเศร้าละคนโอดครวญในเวลาเดียวกัน เสียงนั้นลอยออกมาจากหน้าต่างข้างบ้าน คิ้วเส้นตรงของเด็กสาวขมวดเป็นปมด้วยความสงสัย อยู่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่จำความได้ เธอไม่เคยได้ยินเสียงใครจากบ้างข้างๆ และไม่เคยเห็นคนเดินเสียด้วยซ้ำ
    เธออดแปลกใจไม่ได้จริงๆ
    เธอหยิบเก้าอี้ กางแขนให้ทรงตัวได้ดีเหมือนยืนบนพื้น ดวงตาเรียวของเธอจ้องมอง ทะลุบานหน้าต่างที่เปิดอ้าค้างปล่อยให้ผ้าม่านปลิ้วไสวตามแรงลม
    "ฮือ..." เสียงนั้นดังขึ้น จนเงินต้องใช้สายตาเพล่งดูว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร เธอแน่ใจว่าเสียงร้องไห้ดังออกมาผ่านบานหน้าต่างบ้านข้างๆแน่นอน
    แต่แล้ว สายตาของเธอกลับเห็นร่างของใครบางคนผ่านผ้าม่านสีอ่อน มันโบกปลิวไสวเหมือนกับธง และคนหลังม่านก็เห็นไม่เต็มตา แต่เมื่อมองไปนานๆ
    เงินไม่อยากเชื่อสายตาเธอเสียด้วยซ้ำ
    เด็กผู้หญิงสาวเสื้อสีแดงกับกระโปรงขาวคนนั้น กำลังเยียดยิ้มกว้างพร้อมกับน้ำตาที่ไหนออกมาไม่หยุด แขนหนึ่งข้างของเธอโอบกอดตุ๊กตาเด็กหัวหลุด จากคราแรกที่เธอร้องไห้ไม่หยุด
    เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะและบอกกับเธอว่า "สวัสดีนะ อีคนชั่ว!"

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in