เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Miscellaneapiyarak_s
พันธ์ (9 Satra fan fiction)

  • (๑)

    ในเรือนโดดเดี่ยวห่างผู้คน ใต้แสงตะเกียงที่ส่องสว่างในความมืด
    ชายสูงวัยร่างใหญ่หนานั่งมองคนอายุน้อยกว่าที่ยังคงนอนหลับตานิ่ง
    หลายชั่วยามแล้ว ที่ชายแปลกหน้าผู้นี้ยังไม่ฟื้นคืนสติ แต่นับว่าดีขึ้นกว่าเก่า
    ตัวยังร้อน แผลฉกรรจ์ที่หลังยังมีเลือดซึม แต่ลมหายใจที่เคยแผ่วเมื่อแรกพบ
    ฟังดูสม่ำเสมอมากขึ้น และนับว่าดีมากแล้วสำหรับคนที่บอบช้ำสาหัสขนาดนี้

    เขาไม่รู้ว่า คนผู้นี้เป็นใคร มาจากไหน
    เพราะเหตุใดจึงพาเด็กอ่อนเซซังมาจนถึงที่นี่
    ยิ่งไปกว่านั้น คนคนนี้เอาแรงใจมากจากไหนมากมายนัก
    จึงยังคงมีชีวิตอยู่ในร่างที่อ่อนล้าและเต็มไปด้วยบาดแผล
    ถ้าหากเป็นคนอื่นทั่วไป อาจไม่มีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงป่านนี้
    และที่สำคัญ คงไม่มีปัญญารักษาชีวิตเด็กที่พามาด้วยซ้ำไป

    ถึงจะถูกซัดมาอยู่ริมหาดในสภาพยับเยินเต็มทน
    ทว่าเมื่อพากลับมาบ้าน ล้างตัว ล้างแผล ผลัดผ้าที่พอใส่ได้ให้
    เขาก็พบว่า ชายผู้นี้ไม่น่าจะเป็นชาวบ้านสามัญที่หนีตายมา

    ผิวพรรณและเสื้อผ้าที่ติดตัวมาบ่งบอกว่าเป็นคนเมืองหลวง
    มือที่ได้สัมผัสเมื่อพยายามปลดเอาตัวเด็กน้อยออกจากอ้อมแขน
    มีรอยด้านของคนที่ฝึกดาบมาตั้งแต่ยังเล็ก และดูถนัดทั้งสองมือ





    (๒)

    ทหาร... เป็นข้อสันนิษฐานแรกที่แวบเข้ามาในความคิด
    หยิบเสื้อผ้าของคนเจ็บที่ซักตากจนแห้ง และพับวางเอาไว้ให้มาดูยิ่งมั่นใจ
    ไม่มีชาวบ้านที่ใส่กางเกงกับผ้าผูกเอวปักลายอย่างนี้ และคงมียศศักดิ์ไม่เบา

    พาลูกหนีทัพมาอย่างนั้นหรือ... เขานึกสงสัยอยู่ในใจ
    เพราะเจ็บเจียนตายก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากเด็กน้อยที่แทบไม่มีรอยขีดข่วน
    ยกเว้นแผลลึกตรงตีนผมที่ลากยาวลงมาจนเกือบจะถึงเหนือคิ้วขวา... แค่นั้น
    ไม่รู้ว่าลูกติดพ่อหรือพ่อติดลูกกันแน่ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอยู่ห่างกัน
    ยิ่งฝ่ายพ่อด้วยแล้ว ถึงแทบไม่มีสติ พอเด็กห่างมือก็ควานหาด้วยสัญชาตญาณ

    ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งที่เขายังเป็นคนที่ทุกคนที่บ้านสิงห์ดำต่างยกย่อง
    เขาอาจโมโห พาลโกรธอีกฝ่ายว่า เป็นทหารมีตำแหน่งแต่ไร้ฝีมือและเห็นแก่ตัว
    แต่ความดื้อดึงจะสู้ตาย ไม่รู้จักถอยในเวลาที่ควรถอยจนต้องสูญเสียทั้งที่เลี่ยงได้
    มอบบทเรียนราคาแพงให้กับเขา และวันเวลาที่ต้องใช้ชีวิตตามลำพังไม่เหลือใคร
    เป็นโอกาสที่ทำให้เขาได้คิดทบทวนและทำความเข้าใจกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า

    ต่อให้เป็นทหารหนีทัพมา แต่อย่างน้อยที่สุด ชายคนนี้ก็ทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้
    นายทหารคนนี้ใช้พลังชีวิตทั้งหมดที่มีในการปกป้องชีวิตของเด็กคนหนึ่งให้อยู่ต่อ
    เหมือนที่ลูกศิษย์ทุกคนของเขายอมสละชีวิตตนเพื่อปกป้องเขาเพียงแค่คนเดียว
    ความถือดีและทิฐิของเขาทำลายทุกสิ่งที่ควรจะรักษาเอาไว้จนไม่เหลืออะไรเลย
    คนที่ควรมีชีวิตยืนยาว สืบลูกหลานต่อไป คือ ลูกศิษย์ของเขา ไม่ใช่ไอ้แก่อย่างเขา




    (๓)

    บ้านสิงห์ดำเป็นทางผ่านของกองทัพคีรีกัณฑ์ แต่มีกองทัพชาวรามเทพซุ่มซ่อนขัดขวาง
    แต่เดิมมนุษย์อย่างเขาและเหล่าศิษย์เคยอาศัยเชิงมวย การต่อสู้ และเล่ห์กลอื่นเอาชนะ
    ทว่าเมื่อนานไป กลศึกก็ถูกจับทางได้ และกองทัพยักษ์ที่เดินทางผ่านมาก็มากขึ้นทุกขณะ
    ชาวหมู่บ้านที่เคยต้านทานยักษ์เอาไว้ได้ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง หลงเหลืออยู่เพียงหยิบมือ

    เดช ศิษย์เอกของเขาเคยเสนอให้นำบรรดาศิษย์กับชาวบ้านที่มีฝีมือไปรวมกับขุนศรีธรเทพ
    แต่ ณ เวลานั้นเขาปฏิเสธ แม้จะรู้ดีว่าสถานการณ์เริ่มย่ำแย่เต็มทน ในขณะที่ศิษย์เขาก็จนใจ
    เขายื่นคำขาดว่าจะปักหลักไม่ไปไหนทั้งนั้น แต่ไม่ว่าอะไร หากบรรดาศิษย์จะไปจากที่นี่
    กระทั่งวันหนึ่ง เดช โชติ และศิษย์ที่เหลือพากันมากราบลา นำเหล้ามาให้ดื่มเป็นครั้งสุดท้าย
    แต่ใครเลยจะคิดว่าเหล้าที่ดื่มกับศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายจะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตชายหนุ่มเหล่านั้น

    ศิษย์ของเขาวางยาในเหล้าและนำเขาไปล่ามขังไว้ในบ่อน้ำเก่า ใช้กิ่งไม้ใบหญ้าสะไว้ไม่ให้ใครพบ
    ศิษย์ของเขาไม่ได้จากไปไหนแต่ยืนหยัดสู้ตายตามปณิธานของครูอย่างเขาว่าจะสู้จนนาทีสุดท้าย
    ศิษย์ของเขา ลูกชายที่ไม่ได้เกิดร่วมสายเลือดเดียวกันแต่ผูกพันกันยิ่งกว่าลูกแท้ ๆ ยอมตายเพื่อเขา
    คนหนุ่มที่ควรจะมีชีวิตต่อไปในภายภาคหน้าตายเพื่อให้เขาอยู่เพื่อสืบทอดวิชาให้คนรุ่นหลังได้สู้ต่อ

    เสียงการต่อสู้ที่จางหายไปเป็นความเงียบ ภาพที่เห็นหลังกระชากโซ่และพาตันเองออกมาจากที่ขังได้
    ทำให้เขากรีดร้องจนไม่เหลือเสียงจะกรีดร้อง เขาอาจมีชีวิตอยู่อย่างคนตายหากหลวงพ่อสินไม่มาพบ

    ชายชราวางผ้าลงที่เดิม เคลื่อนเท้าช้า ๆ ไม่ให้โซ่เหล็กที่ข้อเท้าซึ่งเคยถูกล่ามไว้ส่งเสียงรบกวนคนหลับ
    เสียงพึมพำเหมือนละเมอด้วยพิษไข้ของคนเจ็บทำให้เขาถอนใจยาว... 

    “พ่อขอโทษนะ ลูก... พ่อขอโทษ” 

    อดีตครูมวยลงลูบผมผู้อ่อนวัยกว่าแผ่วเบา คำพูดจากปากชายคนนี้พูดแทนสิ่งที่เขาไม่อาจพูดหมดแล้ว





    (๔)

    ไอ้หนูตื่นแล้ว ไม่ใช่ตื่นธรรมดา พอลืมตามาสักครู่ ก็ร้องไห้จ้า ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรืออะไร
    ตั้งแต่เกิดมาตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ลูกเมียก็ไม่เคยมีกับเขา น้องนุ่งเคยเลี้ยงก็นานจนลืมหมดแล้ว

    ตายละวา จะเอายังไงดีวะ... ชายสูงวัยหันรีหันขวาง จะอุ้มมา ก็กลัวทำลูกเขาหลุดมือ
    พ่อเด็กก็ยังไม่สร่างไข้ ยังอาการเพียบอยู่แบบนี้ ถ้าปลุกให้ตื่นมาดูลูกจะไหวไหม

    ระหว่างพะว้าพะวัง ไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลัง ยกเว้นเอาปลาทั้งพวงที่หามาไปแขวนไว้
    คนเจ็บที่เหมือนจะได้ยินเสียงเด็กร้องก็ลืมตาตื่นขึ้น และยันตัวลุกพรวดขึ้นจากนอนเป็นนั่ง
    ทว่าทรงตัวอยู่ได้ไม่นานก็ต้องทิ้งตัวลงนอนกับที่ และมีเสียงครางแผ่วเบาเล็ดรอดจากริมฝีปาก
    เป็นเสียงที่คนฟังเดาไม่ออกว่าเป็นเสียงของความเจ็บปวดหรือขัดใจที่เคลื่อนไหวไม่ถนัดกันแน่
    แต่ที่แน่ ๆ ชายชราไม่ชอบใจตนเองเอาเสียเลยที่ตอนนี้เขาพูดอะไรไม่ได้ในเวลาที่ควรจะต้องพูด

    เสียงโซ่ที่ลากพื้นทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งน้อย ๆ และหันหน้ามายังชายร่างใหญ่ซึ่งเป็นที่มาของเสียง
    สีหน้ายังคงอ่อนล้า แต่ดวงตาสีเข้ม คมคู่นั้นตื่นตัว เต็มไปด้วยความระแวดระวังและช่างสังเกต
    ระหว่างที่มองประเมินสถานการณ์กับสถานที่ที่ตนเผชิญอยู่ และประมวลเรื่องราวที่เกิดขึ้น
    แขนข้างหนึ่งก็เอื้อมไปหาและสัมผัสร่างของเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้งอแงอยู่ข้างกายเพื่อปลอบไปด้วย

    ร่างกายสมส่วนและแข็งแกร่งแบบทหารขืนเกร็งขึ้นเล็กน้อย เมื่อมือใหญ่ของผู้สูงวัยกว่าเอื้อมมาจับ
    แต่ไม่นานนักกล้ามเนื้อที่มือของเขาสัมผัสได้ก็ค่อยคลายลง ยินยอมให้เขาช่วยประคองขึ้นนั่งโดยดี
    ปฏิกิริยาตอบสนองจากคนตรงหน้าย้ำข้อสันนิษฐานที่เขาครุ่นคิดจนผล็อยหลับไปว่า คนผู้นี้ไม่ธรรมดา
    สิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่า คือ อีกฝ่ายยกมือไหว้ขอบคุณเขา แทนที่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเป็นคำแรก




    (๕)

    ไอ้หนูเงียบไปแล้ว หลังจากผลัดผ้านุ่งที่เปียกชื้นออก เช็ดตัวจนสะอาด เปลี่ยนผ้าผืนใหม่
    เคราะห์ดีที่หย่านมแล้ว ไม่เช่นคงโกลาหล ต้องตามหาใครสักคนมาเป็นแม่นมให้เจ้าตัวเล็ก
    เคราะห์ดีที่เด็กชายตัวน้อยกินไม่ยาก แต่ข้าวต้มใส่เกลือที่ประทันไปชั่วคราวก็อนาถาเกินไปหน่อย
    เขาเองก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ไม่เคยคิดสักนิดว่าจะมีใครมาอยู่ร่วม ปิ้งปลา หาผักกินไปตามเรื่อง
    มื้อหน้า คงต้องหาอะไรที่ดีกว่านี้ให้ และพรุ่งนี้ ถ้าทั้งสองอยู่กันเองไหว เขาจะแลกไข่ไก่มาทำอาหารบ้าง

    ชายชรามองคนอายุน้อยกว่า... คะเนดู คงมีอายุในเรือนสามสิบปลาย... อ่อนพอจะเป็นลูกเขาได้
    เจ้าตัวฝืนลุกขึ้นนั่งขยับตัวพิงผนังเพื่อที่จะได้อุ้มเจ้าหนูได้ถนัด ลูบหลังไหล่ พึมพำปลอบไปตามเรื่อง
    กิริยาท่าทีที่แสดงออก คำพูดคำจาที่เขาได้ยินสะท้อนชัดเจนว่า คนตรงหน้าเขาคงเป็นผู้ดีมีการศึกษา

    ผู้ชายคนนี้เป็นพ่อคนแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มีอะไรบางอย่างที่เขายังติดใจไม่หาย
    สองคนนี้เป็นพ่อลูกกันแท้ ๆ แน่แล้วหรือ... ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา
    ทั้งที่เห็นอยู่แล้วอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายใช้ทั้งร่างกายและชีวิตปกป้องเด็กน้อยเหมือนยอมตายแทนได้

    ไม่ใช่เพราะอาการเก้กังเหมือนยังตั้งสติไม่ได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลังในคราวแรกที่อุ้มเด็กขึ้นมา
    ไม่ใช่เพราะหน้าตา ผิวพรรณของคนโตกว่าแตกต่างจากพ่อหนูนั่น เพราะยังพอมีส่วนคล้ายกันบ้าง
    แต่เป็นเพราะแววตาที่ผู้ชายคนนี้ใช้มองเด็กน้อยที่เขาเข้าใจเอาเองในทีแรกว่าคงเป็นลูก

    อารมณ์ที่ฉายอยู่ในดวงตาคมใต้คิ้วเข้มคู่นั้นกอปรด้วยความโศกเศร้า ปวดร้าว รู้สึกผิดมากกว่าความรัก





    (๖)

    นานมากแล้วที่เขาไม่รู้สึกว่า การเปล่งเสียงพูดคุยไม่ได้เป็นปัญหาอะไรนัก แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกแล้ว

    ถึงแม้ว่าชายแปลกหน้าที่เขาช่วยขึ้นมาจากชายหาดจะเข้าใจแล้วว่า เขาได้ยินทุกอย่าง แต่พูดไม่ได้
    และเป็นฝ่ายที่เริ่มแนะนำตัวก่อน พร้อมบอกเล่าสาเหตุโดยย่อที่ทำให้ต้องพาเด็กน้อยหนีมาจนถึงที่นี่
    แต่การไม่สามารถเอ่ยสิ่งที่อยากเอ่ย ถามไถ่ในสิ่งที่อยากรู้ และปลอบใจอีกฝ่ายได้เป็นเรื่องน่าอึดอัด

    “เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของฉันหรอก พ่อเฒ่า”

    คำกล่าวที่ผ่านริมฝีปากออกมาแผ่วเบาราวกับกลัวว่า เจ้าหนูที่นั่งเล่นอยู่บนพื้นใกล้ ๆ จะได้ยิน
    เฒ่าใบ้พยักหน้าช้า ๆ ... จะว่าแปลกใจก็คงไม่มากนัก เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว
    แต่นั่นยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด ต้องมีสาเหตุอะไรที่มากกว่านั้น ที่ทำให้คนคนนี้ปกป้องเด็กเอาไว้สุดชีวิต

    คำสัญญา... คำสาบาน... หน้าที่... พันธะ... หรืออะไรสักอย่างที่สำคัญกว่าชีวิตของตนเอง

    “แสง ลูกชายแท้ ๆ ของฉันตายเพื่อให้ฉันนำศาสตราที่ซ่อนไว้หนีออกมา เพื่อกลับไปกอบกู้บ้านเมือง
    พ่อแม่ของอ๊อดยอมตายอยู่ที่หมู่บ้านฆ้องใหญ่เพื่อให้ลูกชายตัวเองที่เกิดในฤกษ์ที่อาจใช้ศาสตรารอด”

    สิ้นประโยค ความเงียบก็เข้ากุมอยู่ชั่วครู่ เจ้าของราชทินนามจมื่นพันธ์วรเดชจึงขยับปากคล้ายจะพูดต่อ
    แต่เหมือนเสียงจะแหบหายไปเสียเฉย ๆ จนต้องนั่งนิ่งอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนข่มเสียงที่เอ่ยออกมาไม่ให้สั่น


    “นอกจากศาสตรากับเด็กคนนี้... ชีวิตฉันก็ไม่มีอะไรเหลือให้ต้องห่วงใยอีกต่อไปแล้ว”




    (๗)


    “พูดก็เหมือนเห็นแก่ตัว ถึงเด็กคนนี้จะเกิดในฤกษ์ที่ศาสตราเลือก แต่ฉันไม่อยากเห็นเขาโตเพื่อไปตาย
    ถ้าฟื้นตัวจากการบาดเจ็บแล้ว ฉันคงต้องนำศาสตรากลับไปรามเทพ ทำหน้าที่ของตัวเองให้จบเสียที
    มีห่วงก็เพียงเจ้าอ๊อดที่ฉันอยากฝากฝังไว้กับพ่อเฒ่าหรือใครสักคนบนเกาะนี้ให้ช่วยเลี้ยงดูกันต่อไป”


    คำพูดที่ได้ยินเหมือนคำสั่งเสียของคนที่สิ้นอาลัยในชีวิต และซื่อตรงอย่างคนที่พร้อมจะตายพึงจะซื่อตรง


    ใต้เปลือกที่แข็งแกร่ง ใต้สีหน้าที่พยายามไม่แสดงความรู้สึก สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในแตกสลายแทบไม่เหลือ
    คำสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อแม่ของเด็กน้อย และภารกิจสุดท้ายที่ไม่ลุล่วงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวประการที่มีอยู่
    ถ้าหากไม่ถือสัจจะ ไม่เอาคำมั่นที่ให้ไว้กับคนที่ฝากฝังชีวิตอีกชีวิตหนึ่งให้ดูแลคงสู้จนตัวตายไปนานแล้ว

    เฒ่าใบ้มองนายทหารหนุ่มที่ก้มหน้าลงมองเด็กน้อย คล้ายหลบหน้าเขาและซ่อนความรู้สึกไปพร้อมกัน
    เขาลอบถอนใจกับตนเอง ความขมขื่นที่อีกฝ่ายกล้ำกลืนไว้ตามลำพังไม่ใช่สิ่งที่อาจปลอบโยนกันพล่อย ๆ
    บาดแผลสาหัสบนร่างกาย ลึก หายช้า ฝากรอยแผลเป็นสลักลงในเนื้อได้เช่นไร บาดแผลในใจก็เช่นนั้น

    อยากบอกผู้อ่อนวัยกว่าว่า ถึงไม่ใช่คนอายุน้อย แต่ก็ยังหนุ่ม ยังมีสติปัญญาความสามารถเกินกว่าจะตาย
    แต่เขากลับทำได้เพียงยื่นมือออกไปวางบนเข่าของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วบีบเบา ๆ แทนคำปลอบใจ
    กิริยาของเขาทำให้อีกฝ่ายชะงักนิดหนึ่ง แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพันธ์ยิ้มตอบขณะพึมพำขอบคุณ


    ชายสูงวัยทำมือบอกอีกฝ่ายว่าอย่าเพิ่งคิดเรื่องอะไร และบอกว่าจะขอดูแผล และเปลี่ยนผ้าที่พันไว้ให้
    คนเจ็บที่เกือบลืมไปเสียแล้วว่าตนเองเจ็บดูเหมือนเริ่มเข้าใจภาษากายนั้นมากขึ้น และรับคำอย่างว่าง่าย
    แต่เมื่อยันตัวลุกขึ้นยืนเพื่อก้มลงอุ้มเด็กน้อยขึ้นบนที่นอน ร่างของพันธ์กลับทรุดลงแทบเท้าของเฒ่าใบ้





    (๘) 


    น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เฒ่าใบ้คิดว่าตนเองตัดสินใจถูกต้อง

    อดีตครูมวยอย่างเขาทำไมจะไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บรุนแรงจากการต่อสู้สามารถนำไปสู่อะไรได้บ้าง

    อย่างไรเสียก็ต้องตามหมอ ไม่ใช่แค่หมอ แต่ต้องพาคนที่มีเหตุผล มีปัญญา และโน้มน้าวใจคนได้มาด้วย

     

    ชายชราคิดว่าพันธ์สังเกตเห็นความผิดปกติของตนเองมาพักหนึ่งแล้วแต่ยังไม่อยากยอมรับว่ามันเกิดขึ้น

    ไม่ใช่เพราะพิษไข้ที่ทำให้ลุกไม่ขึ้น ไม่ใช่เพราะร่างกายไม่พร้อมสำหรับการออกแรง แต่เลวร้ายกว่านั้น

    ทั้งแผลเหมือนถูกกรงเล็บสัตว์ลึกถึงกระดูก และแผ่นหลังที่รับแรงกระแทกเพราะตกจากที่สูงลงสู่พื้นน้ำ

    อาการบาดเจ็บที่สันหลังและเส้นประสาทเหล่านั้นทำให้อดีตทหารไม่สามารถยืนหรือเดินได้อีกต่อไปแล้ว

    แม้ร่างกายครึ่งล่างยังมีความรู้สึกอยู่ ยังทรงตัวจากนอนเป็นนั่งไหว แต่สองขาอ่อนแรงและควบคุมไม่ได้


     

    ดวงตาที่มีแววกังวลคราวแรก เปลี่ยนเป็นว่างเปล่าเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงตรงหน้าเมื่อรู้ความจริง

    สำหรับคนที่มีภารกิจติดค้าง มีคำมั่นที่ต้องรักษา การตกในสภาพเช่นนี้ให้ตายเสียยังดีกว่า เขาเข้าใจดี

     


    เพราะอย่างนี้ เขาจึงดีใจที่คว้าเอาตัวไอ้หนูออกลงเรือนไปตามหมอกับหลวงพ่อสินกลับมา

    อย่างน้อยในเวลานี้คนบนเกาะก็ได้เห็นหน้าของอ๊อด และเอื้อเฟื้อสิ่งของจำเป็นมาให้ด้วยความเอ็นดู

    และในเวลานี้ คนที่ไร้สิ้นซึ่งความหวังก็ยังพอมีบางสิ่งให้ยึดเหนี่ยวเหมือนครั้งที่หลวงพ่อพาเขา 'กลับ' มา

     

    ชายชราไม่เชื่อในชะตาลิขิตนัก แต่บางครั้งชีวิตก็ไม่มีคำอธิบายใดดีไปกว่า เรื่องบางเรื่องถูกลิขิตมาแล้ว

    เขามองพันธ์ที่ไหว้รับโอวาทของหลวงพ่อ ต้องใช้เวลาเยียวยา แต่อย่างน้อยก็มีเป้าหมายการเริ่มต้นใหม่

    เขายิ้ม เมื่อมองเด็กน้อยที่ยอมให้เขาอุ้มและซุกหน้ากับไหล่เขาเหมือนคุ้นกันมาทั้งชีวิตทั้งที่เพิ่งพบกัน



    สัญญาแลกสัญญา อ๊อดต้องมีพ่อจึงจะมีครูได้... 



    ก็ให้มันรู้ไปว่า คนใบ้กับคนขาเสียจะเลี้ยงเด็กคนเดียวให้เป็นคนเต็มคนไม่ไหว





    จบภาคแรก

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in