เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
You’re all I see [Jongin x Kyungsoo]Nuynyaloners
(OS) I DON’T LOVE YOU.
  • (OS)
    I DON’T LOVE YOU.











    [ KAISOO ]
    Thai Ver.




    *เปิดเพลงนี้ฟังไปด้วยนะคะ เพื่ออรรถรสในการอ่าน*
    https://www.youtube.com/watch?v=W5fl451CWDY









    - ช่วงปิดเทอมของมัธยมศึกษาปีที่ 5


    ภูผา เด็กหนุ่มวัย 17 ปีกำลังนั่งโงนเงนอยู่บนเตียงนุ่มๆ พยามยามไม่ให้ร่างกายต้องไหลตัวลงไปบนที่นอนอีก ยิ่งเขาเป็นโรคชอบฝังใบหน้าเอาไว้ที่หมอนนิ่มๆ ใบใหญ่ๆ สีขาวอยู่แล้วด้วย ต้องเป็นโรคภาวะถูกเตียงดูดแน่ๆ – ภูผาคิดในใจ


    ฝ่ามือขาวๆ ทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาจนสูงมากกว่าระดับศีรษะ เสียงกร๊อบแกร๊บของกระดูกนิ้วข้อมือและกระดูกส่วนต่างๆ ของแขนและไหล่นั้นดังลั่นห้องนอน เป็นเพราะผมกำลังบิดขี้เกียจอย่างขี้เกียจ ซึ่งตัวผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแต่ละส่วนมันเรียกว่าอะไร เพราะตัวเขาไม่ใช่เด็กสายวิทย์อย่างเพื่อนสนิทที่สุดของเขา ซึ่งเจ้าตัวเรียนพวกวิชาชีววิทยาแบบเจาะลึกสำหรับหลักสูตรชั้นมัธยมปลายมาแล้ว และก็ต้องเรียนต่อไปจนกว่าจะแอดมิชชั่นเข้ามหาวิทยาลัยได้นั่นแหละ


    ภูผา หรือ ผม เด็กห้องคิงสายศิลป์-คำนวณของโรงเรียนมัธยมชื่อดังที่ขึ้นชื่อเรื่องกิจกรรม การเรียน และกฎระเบียบที่เข้มงวด แม้แต่ชุดพละสีน้ำเงินของเด็กผู้หญิงมัธยม ซึ่งบรรดาสาวๆ เองก็ต้องพกกางเกงวอร์มใส่กระเป๋าเคียงตราโรงเรียนเพื่อใช้สลับเปลี่ยนกับกระโปรงจับจีบสีน้ำเงินในเวลาเรียนคาบพลศึกษา โชคดีนะที่เกิดมาเป็นผู้ชาย โชคดีที่ได้ใส่กางเกงนักเรียนสีดำความยาวไม่เกินเข่า และมันเป็นกางเกงที่สวมใส่สบายและสามารถใส่ได้เกือบทุกเวลา ยกเว้นเวลานอน


    ชายหนุ่มที่ผมบนศีรษะเริ่มยาวขึ้นมาบ้างแล้วยืดตัวเต็มความสูงอย่างเกียจคร้านตรงปลายเตียงนอน เขาหันหน้าไปดูนาฬิกาปลุกที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียง เข็มสั้นของมันชี้ไปที่เลข 10 บ่งบอกว่าวันนี้เขาตื่นสาย และโชคดีอีกอย่างคือ เขาไม่โดนแม่ด่าด้วยเพราะว่าช่วงนี้ยังปิดเทอมอยู่


    ภูผาจัดการตัวเองหลังตื่นนอนด้วยการอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัวด้วยเสื้อบอลและกางเกงบอลทีมโปรดสีดำโง่ๆ เดินลงจากห้องเพื่อที่จะไปกินข้าวเช้าที่แม่ทำเตรียมไว้ให้เขาก่อนที่จะไปนั่งดูทีวีอย่างทุกวัน กินเสร็จก็ล้างถ้วยล้างจานอย่างเสร็จสรรพและเรียบร้อย ทำหน้าที่ลูกชายที่ดีของบ้านเพื่อไม่ให้แม่บ่นจนหูชา


    หลังจากที่ทำกิจวัตรหลังตื่นนอนอย่างทุกๆ วันเรียบร้อยแล้ว ภูผาจึงเดินกลับมาทิ้งร่างลงบนเก้าอี้โต๊ะคอมพิวเตอร์ในห้องนอน เขากดเปิดเครื่อง CPU รอให้หน้าจอและตัวเครื่องทำหน้าที่ในระบบปฎิบัติการของมันให้เรียบร้อยจึงเปิดเจ้าหมาไฟหรือ Firefox ขึ้นมา นิ้วเรียวกำลังเคาะแป้นคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็วตามประสาคนติดเกม เขาเข้าเว็บไซต์ประจำยอดฮิตสีน้ำเงินเพื่อเช็กว่ามีใครติดต่อมาบ้าง



    ที่ไอคอนรูปโลกมีตัวเลข 1 สีแดงขึ้นมา เมื่อคลิกเข้าไปก็พบว่า

    - Wayu Wayo ได้โพสต์บนไทม์ไลน์ของคุณ เมื่อ 12 ชั่วโมงที่แล้ว



    “อะไรของมึงวะ” ภูผาพูดเบาๆ กับตัวเองแต่สายตาก็ยังคงจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมกับที่กดคลิกเข้าไปที่แจ้งเตือนของตัวเอง



    Wayu Wayo > Phupha SPJ
    ไอ้ห่าภูผา มึงตายไปแล้วเหรอ ทำไมไม่รับโทรศัพท์กูวะ




    “อ่า แล้วทำไมกูต้องยิ้มด้วยวะ” เป็นอีกครั้งที่ภูผาพูดกับตัวเอง และริมฝีปากรูปหัวใจนั้นเริ่มขยับขยายเป็นดวงกว้างเพราะเห็นข้อความที่เพื่อนสนิทอย่าง วายุ โพสต์ถึงผม


    เมื่อ 3 วันก่อน ผมไปเข้าค่ายติวความรู้พื้นฐานทางสถาปัตยกรรมสำหรับเด็กมัธยมซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยสีชมพู นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าขอเงินและแม่ของเขาเองก็เห็นด้วยที่จะเอาเงินนี้ไปใช้จ่ายที่นอกเหนือจากการเรียนพิเศษ จำนวนเงินนั้นเกือบห้าร้อยบาท แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นถือว่าคุ้มค่าสำหรับเขามาก เพราะชายหนุ่มหน้าหวานได้ทั้งความรู้เพื่อใช้ในการสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ซึ่งเป็นคณะที่เขาใฝ่ฝันเอาไว้ว่าจะแอดมิชชั่นเข้าไปเรียนให้ได้แถมยังมีมิตรภาพเกิดขึ้นจากคนมากหน้าหลายตาที่ต่างก็มาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ช่วงเวลาที่เขาได้เข้าค่ายนี้นั้นทำให้เขาตัดขาดจากเกมส์และโทรศัพท์มือถือได้ชั่วคราว แต่หันมาจับดินสอ ปากกา สมุด และกระดาษวาดรูปแทน ถึงแม้ว่าการเข้าค่ายติวสถาปัตย์นี้จะทำให้เขาเหนื่อยจนแทบจะนอนหลับบนรถเมล์เวลานั่งกลับบ้าน แต่เขาก็มีความสุขมากๆ มากถึงมากที่สุดเลยล่ะ


    แต่นี่อีกเหมือนกันที่ทำให้ตัวผมเอง เกือบจะลืม เพื่อนสนิทที่มักจะโทรคุยกันทั้งวันหลังเลิกเล่นเกม เพราะตลอดเวลาที่เข้าค่ายนั้นเขาไม่ได้ติดต่อกับใครเลยนอกจากแม่


    ขอโทษนะมึง ขอโทษที่กูแอบลืมมึงไปเกือบสนิทเลย – ภูผาพูดถึงวายุในใจเบาๆ



    ชายหนุ่มตัวบางลุกจากเก้าอี้ล้อเลื่อนสีดำ เดินไปหยิบเจ้ามือถือสีดำที่ตัวเครื่องมีขนาดพอดีมือ ผิวเนื้อของนิ้วชี้และนิ้วโป้งสัมผัสกับหน้าจอมือถืออย่างขึ้นลงและไปมาซ้ายขวา กดตัวเลขสิบหลักที่เขาจำได้ขึ้นใจ


    Wayu
    084007xxxx
    กำลังโทรออก…



    เพียงแค่เสียง ตู๊ด ตู๊ด ไม่กี่ตู๊ดและไม่กี่อึดใจ เจ้าของเบอร์มือถือที่ภูผากดโทรออกนั้นก็รับสายและพูดขึ้นก่อนที่เขาจะทันได้พูดเสียอีก



    [กูก็นึกว่ามึงตายห่าไปละนะ] ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงดับเบิ้ลเบสและมีอารมณ์ขุ่นเคืองเจือติดมาปานกลาง

    “โธ่ อย่างอนกูเลยน่า กูก็โทรหามึงแล้วนี่ไง”


    [สมควรให้กูโกรธป่าววะ ก็มึงไม่รับสายกู]


    “ก็กูเหนื่อยอ่ะ เมื่อวานพอกลับถึงบ้าน เดินถึงเตียงกูก็ล้มตัวลงนอนแล้ว แม่งเหนื่อยฉิบหาย…”


    [ห่าเอ้ย มึงนี่แม่ง! ไม่เปิดโอกาสให้กูงอนมึงเลยนะ ไอ้เตี้ย!]


    “เดี๋ยวเถอะไอ้โย่ง! ไม่ใช่กูเหรอวะที่ต้องงอนมึงน่ะ อุตส่าห์ชวนให้ไปเข้าค่ายเป็นเพื่อนกู มึงก็ไม่ยอมไป แถมยังเบี้ยวกูอีก” ภูผาพูดด้วยน้ำเสียงที่คนปลายสายต้องรู้ทันทีแน่ๆ ว่า ผมกำลังงอนวายุ ขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่ภูผาหวังไว้หลังจากที่โอนเงินจ่ายค่าค่ายติวสถาปัตย์เป็นที่เรียบร้อยก็พังลงและนั่นทำให้เขารู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะว่าวายุ เพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมต้นเกิดเบี้ยวนัดและคำสัญญาที่ตกลงกันไว้ว่าจะไปเข้าค่ายด้วยกัน



    [แหะๆ กูขอโทษน้า] น้ำเสียงดับเบิ้ลเบสเริ่มอ่อนลงและน้ำเสียงที่เริ่มอ้อนมากขึ้น


    “…”


    [เอ้อ! งั้นพรุ่งนี้กูเลี้ยงข้าวมึงเอง]


    “…”


    [เลี้ยงหนังด้วยนะ นี่! ไม่สนใจการง้อของกูหน่อยเหรอ?]


    “…”


    [เอ้า! ไหนๆ ก็ไหนแล้ว เลี้ยงไอติมสเวนเซ่นส์ตบท้ายด้วยเลย]


    “…”


    [น้า..หายงอนกูเถอะนะ น้า]


    “จริงๆ กูหายงอนมึงตั้งแต่เลี้ยงข้าวแล่ว! ฮ่าๆ” ภูผาพูดไปก็หัวเราะไปที่สามารถแกล้งเพื่อนตัวโย่งอย่างวายุได้สำเร็จ คนอย่างมันมีเหรอที่เขาจะไม่รู้จักนิสัยใจคอ ไอ้นี่กลัวการที่เขาจะโกรธมันจะตายไป เพราะผมเคยโกรธวายุมากๆ ถึงขั้นไม่คุยกับมันเป็นอาทิตย์มาแล้วครั้งนึงเพราะมันแกล้งตะโกนหน้าห้องเรียนในขณะที่มันกำลังรอผมเพื่อที่จะไปกินข้าวที่โรงอาหารด้วยกัน มันตะโกนบอกคำพูดที่ไม่จริงเอาเสียเลยจนทำให้เพื่อนผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนนึงในห้องเรียนสายศิลป์-คำนวณเข้าใจผิดคิดว่าเขาผมชอบเธอคนนั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว…


    ไอ้ไททั่นโง่เง่า! – กูแอบชอบมึงอยู่ต่างหากเว้ย เคยรู้อะไรบ้างไหมวะ…




    [อะไรวะ นี่กูโดนหลอกอีกแล้วเหรอวะเนี่ย] ปลายสายพูดอย่างบ่นๆ


    “เหอะน่า ไหนๆ ก็โดนกูหลอกซะเปื่อยแล้ว ทำตามที่พูดด้วยนะเว้ย ไม่งั้นจะงอนแบบนานๆ ไปเลยถ้ามึงไม่ทำตามที่พูด..”


    [เออๆ ก็ได้! นี่กูง้อมึงอยู่หรอกนะ งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่ห้าง xx ตอนเที่ยงครึ่ง ห้ามสายห้ามเบี้ยวด้วย เข้าใจ๊?]


    “น่ารักจัง” ภูผาพูดออกไปอย่างที่หัวใจรู้สึกจริงๆ ก็วายุมันน่ารักจริงๆ นี่นา มันเป็นคนที่ไม่เคยใจดีกับใคร แต่มันกลับใจดีกับผมแค่คนเดียว…


    [อะ..อะไรของมึงเนี่ย จู่ๆ ก็มาชมกู] ปลายสายพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย


    “ฮ่าๆ เขินเหรอจ้ะเพื่อนรัก”


    [ใคร! ใครเขิน ไม่มี๊!] จู่ๆ น้ำเสียงแบบดับเบิ้ลเบสก็เปลี่ยนโทนมาเป็นเสียงสูงซะอย่างงั้น


    “จ้า เอาที่มึงสบายใจเลย ฮ่าๆ งั้นกูจะวางแล้วนะ เปลืองเงินค่าโทรเว้ย!”


    [ดะ..เดี๋ยว!]


    “อะไรวะ”


    [กู..คิดถึงมึงนะ ภูผา]




    ตู๊ด ตู๊ด ยังไม่ทันที่ภูผาจะได้พูดตอบอะไรกลับไป คนปลายสายอย่างวายุก็ชิงตัดสายไปซะก่อน


    คำพูดทิ้งท้ายเพียงไม่กี่พยางค์ แต่กลับทำให้พวงแก้มขาวๆ ขึ้นสีแดงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภูผายกมือขึ้นมาจับที่เนื้อนิ่มๆ บนใบหน้าของตัวเองแล้วก็พบว่ามันกำลังร้อนผ่าว เขารู้ว่าความร้อนนี้ไม่ได้เกิดจากอาการเป็นไข้หวัดหรือไม่สบายแต่อย่างใด แต่นั่นเป็นเพราะว่า ผมกำลังเขินอยู่ต่างหาก


    ภูผากลับมาทิ้งตัวลงนอนที่เตียงนุ่มๆ อีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มรูปหัวใจบนใบหน้าที่มันไม่ยอมจางหาย เขารู้สึกว่าหัวใจของตัวเขาเองกำลังเต้นแรงเล็กน้อย เพราะคำว่า ‘กู..คิดถึงมึงนะ ภูผา’ น้ำเสียงดับเบิ้ลเบสยังคงถูกเล่นราวกับว่าเป็นเสียงเพลงซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวสมองของผม พร้อมๆ กับที่ความรู้สึกกังวลที่ถูกผมเก็บและกดมันเอาไว้ในส่วนลึกเริ่มผุดแทรกความสุขนี้ขึ้นมา


    ผมกำลังแอบชอบเพื่อนสนิทตัวเอง – ใช่ ในตอนนี้ผมแอบชอบวายุ เพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 1 ของผม เพื่อนสนิทต่างห้องหนึ่งในไม่กี่คนที่ยังคงพูดคุยกับผมเสมอหลังจากที่แยกห้องเรียนตามลำดับคะแนนสอบตอนช่วงที่อยู่ม.2 จนถึงทุกวันนี้ ความใจดีพิเศษใส่ไข่ของมันก็ยังมีไว้ให้ผมคนเดียว


    ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าตอนไหน และไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ภูผาแกร่งอย่างเขาปล่อยให้สายลมหมุนวนอย่างวายุมาคอยกัดกร่อนและทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวได้ตั้งแต่เมื่อไหร่


    คงจะเป็นตอนม.2 ละมั้ง ตอนที่วายุยื่นมือมาให้จับตอนที่ผมถูกคนที่เกลียดเตะตัดขาอย่างจงใจกลางลานหน้าเสาธง ทั้งๆ ที่แถวของห้องผมกับห้องของวายุก็ห่างกันตั้งไกล ตอนนั้นผมบอกได้เลยว่าผมอายแต่วายุไม่อาย แถมเจ้าตัวยังส่งรอยยิ้มให้ราวกับจะบอกว่า ‘กูยังอยู่ข้างๆ มึงนะ กูคอยมองมึงอยู่ห่างๆ ตลอดน่ะแหละ’


    วายุ คือ เด็กชายที่มีลุคเหมือนหมีริลัคคุมะใส่แว่นและกอดตุ๊กตา แต่เวลาที่เจ้าตัวทำอะไรด้วยความตั้งใจก็มักจะมีลำแสงประหลาดแผ่รอบตัวเสมอ และรอยยิ้มที่สาดแสงในวันนั้นจะยังคงอยู่ในเพนซิฟของเด็กชายที่ชื่อ ภูผา คนนี้เสมอมา


    รอยยิ้มที่เหมือนอาแปะก็ยังเหมือนเดิม ทำให้ผมแอบใจสั่นอยู่เงียบๆ คนเดียวได้เหมือนเดิม





    ความเป็นเพื่อนระหว่างเรา
    – ทำให้ผมกลัว กลัวว่าถ้าจู่ๆ วันนึงผมเกิดทนมันไม่ไหวอีกต่อไป เกิดอาการบ้าคลั่งคุมตัวเองไม่ได้จนหลุดคำที่น่าจะทำลายทุกๆ อย่างลงไปหรืออาจจะเป็นคำที่ทำให้เป็นมากกว่าเพื่อน


    ความรู้สึกที่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยตั้งแต่แรก




    .
    .
    .





    วันนี้ วันพรุ่งนี้ วันต่อๆ มา วันแล้ววันเล่าได้ผ่านไป จนกระทั่งตอนนี้ผมกับวายุกำลังจะเรียนจบม.ปลายแล้ว


    มันก็ยังเหมือนเดิม เป็นคนใจดีพิเศษใส่ไข่สำหรับผมเสมอ ไม่ว่าผมจะทำตัวง้องแง้งงี่เง่าขนาดไหน มันก็ไม่เคยที่จะเดินหนีผมไปเลยสักครั้ง
    ส่วนผมเองก็ยังเหมือนเดิม ผมก็ยังเดินอยู่ข้างๆ มันเวลาเดินไปป้ายรถเมล์ในเกือบทุกๆ วัน แต่พิเศษเพิ่มเติมเลยคือ ความรู้สึกแอบชอบวายุมันกลับเพิ่มขึ้น มากขึ้นทุกๆ วันเนี่ยน่ะสิ


    ห้องสมุดในตอนเช้าก็ยังคงเหมือนเดิม แอร์หนาวยังกะอยู่ขั้วโลกเหนือ ผมชอบนั่งฟังเพลงกับอ่านแฮร์รี่พอตเตอร์ ส่วนวายุก็ยังเอาการบ้านมานั่งทำก่อนเข้าแถวที่หน้าเสาธงหรือไม่ถ้าวันไหนมันทำเสร็จมาจากบ้าน มันก็จะหาหนังสือประเภทรวมข้อสอบพวก GAT PAT มานั่งทำ


    มีอยู่วันนึง มันคงคิดว่าผมเป็นฮาร์ดดิสไดรฟ์ C ที่เก็บไฟล์เพลงมากมายเอาไว้ละมั้ง จู่ๆ มันก็เอามือถือของผมไปทำการโอนไฟล์เพลงผ่านบลูธูทไปยังเครื่องมือถือของมันซะอย่างงั้น


    “ก็เห็นว่ามึงชอบฟังเพลงนี่หว่า” - เสียงมุ้งมิ้งเล็ดลอดออกริมฝีปากหยักได้รูปของมันตอนที่ผมฮึดฮัดออกเสียงบ่นมันเล็กน้อย


    ผมเองก็ยังไม่เก่งเลขอยู่วันยังค่ำ ภูผาก็คือภูผาผู้เกลียดอะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวเลข แต่โชคดีที่วายุมันเก่ง(เก่งมากๆเลยแหละ) ก็เลยพอจะสอนให้ผมแก้โจทย์เลขได้บ้าง ถึงจะสอนไปบ่นไปก็เถอะ


    ส่วนวายุ มันก็ยังไม่เก่งเรื่องวาดรูปเหมือนเดิม
    อย่างล่าสุด การบ้านไอโซเมตริก มันคงไม่รู้จะทำยังไงละมั้งและคงไม่รู้จะว่าวาดภาพกล่องสามมิติยังไงด้วย ผมก็เลยต้องมานั่งวาดรูปให้มันอย่างช่วยไม่ได้ เพราะว่ามันเล่นขอร้องผมบนไทม์ไลน์เฟสบุคซะขนาดนั้น
    – สกิลวาดรูปของคนหน้าหมีริลัคคุมะนั้นก็ยังต่ำเตี่ยเรี่ยดินสวนทางกับความสูงโย่งของมันอยู่วันยังค่ำ


    อาห์… 173 cm กับ 182 cm


    การเจอกันระหว่างคาบเรียนก็ยังเหมือนเดิม ถึงผมกับมันจะเรียนกันคนละห้อง แต่เวลาที่เดินไปเรียนในคาบต่อไปถ้าเกิดเจอกันก็ทักทายโบกไม้โบกมือกันปกติตามประสาเพื่อนสนิท


    ตอนกลางวันในโรงอาหารก็ยังคงเหมือนเดิม ทั้งเสียงดังและคนเยอะ ถึงแม้ทางโรงเรียนจะแยกเวลาพักกลางวันของเด็กม.ต้นกับเด็กม.ปลายออกเป็นคนละคาบกันแล้วก็ตาม พวกเด็กนักเรียนก็แทบจะนั่งขี่คอกินข้าวกันอยู่เหมือนเดิมเพราะที่นั่งในโรงอาหารมีไม่เพียงต่อจำนวนประชากรของเด็กนักเรียน


    ทั้งผมและไอ้วายุก็ยังกินข้าวร้านเดิมๆ มันร้าน 18 ส่วนผมร้าน 17 หรือบางทีมันก็ไปกินอาหารตามสั่งร้าน 2 สั่งผัดกะเพราหมูกรอบไข่ดาว ส่วนผมก็กินข้าวซอยไก่ร้าน 5


    เอาพิเศษ ข้าวเยอะๆ เลยนะป้า ผมหิว – เสียงของมันเวลาสั่งอาหารกับป้าเจ้าของร้าน 2


    คนอะไรวะ ยิ่งกินเยอะก็ยิ่งผอมลง
    ส่วนผมยิ่งกินก็ยิ่งอ้วน ล่าสุดแม่บ่นว่าให้ผมลดความอ้วนได้แล้วนะ




    ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเรายังเหมือนเดิม – คงเป็นผมเองที่คิดไปเอาเองคนเดียวว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังเหมือนเดิม

    ไม่มีใครที่จะ ‘เหมือนเดิม’ ไปได้ตลอดเวลาหรอก




    แต่ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น บทบาทหน้าที่ของเด็กชั้นม.6 ที่ต้องอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศนั้นทำให้ระยะห่างในความสัมพันธ์ของผมกับวายุมัน เพิ่ม มากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยโทรคุยกันทุกวัน ก็เริ่มโทรคุยกันน้อยลง


    ระยะห่างที่มากขึ้น ทำให้ผมหวั่นไหว ทำให้ผมกลัวว่าสักวันนึง ผมจะกลายเป็นอดีต ผมกลัวว่าผมจะไม่อยู่ในสายตาของวายุอีกต่อไป
    กับความรู้สึกที่มากขึ้นในทุกๆ วัน ทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้และเผลอหลุด คำสามคำ นั่นออกไป




    - วันหนึ่งในช่วงการเรียนเทอมสุดท้ายของม.ปลาย เป็นวันที่อากาศเย็นจนทำให้ผมเศร้า


    ภายในอาหารเรียนตึก 2 ชั้น 2 ที่ไม่มีแสงจากหลอดไฟ มีเพียงแสงสีส้มจากพระอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานเกร็ดเข้ามา ไม่มีใครสักคนนอกจากชายร่างเล็กวัย 18 ปีกับชายร่างสูงวัย 17 ปี

    มีแต่ความเงียบงันที่น่าอึดอัด



    “กูชอบมึง”


    ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจที่จะพูดความรู้สึกที่ถูกเก็บเอาไว้ในใจมาเนิ่นนานแสนนานให้คนที่ก่อความรู้สึกภายในใจของผมนี้ได้ฟัง พร้อมกับมีความหวังที่เพ้อฝันข้างเดียวของผม โดยไม่รู้เลยว่า…


    จู่ๆ จากคนที่พูดมากจนติดจะไปทางน่ารำคาญก็กลายมาเป็นคนที่เงียบจนดูน่ากลัว วายุไม่พูดอะไรสักคำเดียวหลังจากที่ผมเผยความในใจออกไป



    “แต่กูไม่ได้คิดกับมึงแบบนั้น แบบ..ที่มากกว่าเพื่อน”


    “…”


    “…”


    “แล้วที่ผ่านมามันคืออะไรวะ”


    “ที่ผ่านมาก็เป็นเพื่อนกันไง มึงคือเพื่อนสนิทที่สุดของกูนะ”


    “ไม่ใช่! ที่มึงทำให้กูทุกอย่าง ที่มึงคอยแคร์กู มันไม่ใช่แค่เพื่อนหรอก…”


    “มึงคิดไปเอง กูทำแบบนี้กับทุกคน กูเป็นของกูแบบนี้อยู่แล้ว”


    “…” ผมพูดไม่ออกเลย – ใช่ ผมคงคิดไปเองจริงๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มันทำให้ผมนั้นเป็นอะไรที่มากกว่าคำว่า ‘เพื่อน’


    ผมลืมความจริงข้อนี้ไปเสียสนิทใจ หรือว่า ผมแค่ไม่อยากรับรู้ความจริงข้อนี้กันนะ




    “กูขอโทษ ขอโทษที่ทำให้มึงคิดแบบนั้น”


    คำขอโทษของมึงมันไม่ช่วยให้หัวใจที่แหลกสลายไปแล้วของกูกลับคืนมาได้หรอกนะ


    “แต่กูกับมึงยังเป็นเพื่อนกันได้ ใช่มั้ย? มึงคือเพื่อนสนิทที่สุดของกูนะ”


    แต่กูคิดกับมึงมากกว่าเพื่อนไปแล้วไง! ทำไมถึงใจร้ายกับกูขนาดนี้…




    ผมเอาแต่นั่งเงียบ เพราะว่าผมกำลังกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ผมกำลังพยายามไม่ให้ตัวเองร้องไห้และดูอ่อนแอต่อหน้าคนใจร้าย ผมไม่อยากให้วายุมาทำดีกับผมอีกแล้ว
    ส่วนวายุลุกเดินออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเองก็ไม่รู้ ผมไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว แค่พยายามทำให้ร่างกายยืนขึ้นให้ได้ยังยากลำบากเลย ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย


    กลายเป็นผมเองที่ทำให้ทุกอย่างระหว่างเรามันพังทลายจนไม่มีคำว่า ‘เรา’ อีกต่อไปแล้ว



    ผมอ่อนแอมากๆ ภูผารู้ตัวเองดี สิ่งที่ดีที่สุดที่พอจะทำให้กับตัวของเขาเองได้ก็คือ การหลบหน้าคนๆ นั้น
    และเหมือนกับว่า วายุ สายลมที่เคยแสนอบอุ่นสำหรับภูผานั้นก็รู้ดี เจ้าตัวจึงไม่เคย massage ผ่านเฟสบุค หรือแม้กระทั่งโทรมาหาผมเลย…หลังจากวันนั้น มันคงรู้ละมั้ง รู้ว่าถ้ามันยังทำตัวเหมือนเดิมอีก นั่นจะยิ่งทำให้ผมร้องไห้และเป็นบ้าหนักกว่าเดิม




    75% หรือน้อยกว่านั้น



    จนกระทั่งวันปัจฉิมนิเทศ เป็นวันสอบวันสุดท้ายของเด็กม.6 ภายในโรงเรียนที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง เป็นที่ๆ รวบรวมความทรงจำ ความสุข และความรู้สึกทุกๆ อย่างของผมเอาไว้ พอมาถึงวันนี้ กลายเป็นว่าผมต้องโตขึ้นและเดินออกจากสถานที่แห่งนี้ไปเพื่อไปเจอกับคำว่า ‘มหาวิทยาลัย’ และ ‘นิสิต’


    ภูผาอย่างผมค่อยๆ ก่อรูปก่อร่างสร้างตัวเองขึ้นมาจนเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ ถึงจะไม่เหมือนกับภูผาคนแกร่งคนเดิมเหมือนเมื่อก่อน - ก่อนที่จะพูดคำๆ นั้นออกไป แต่ผมกลับมายิ้มและหัวเราะได้


    ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นการเสแสร้งแกล้งทำเป็นว่า ผมยังสบายดี ก็ตาม


    วายุเขียน Friendship ให้ผม ส่วนผมก็เขียนคำอวยพรให้มันโชคดีบนเสื้อนักเรียนของมัน



    ถึงแม้ว่าผมจะพยายามฝืนตัวเองเป็นพันล้านครั้ง แต่ผมก็ยังทำไม่ได้ ภูผาก็ยังคงมองหาและวางสายตาไปที่วายุอยู่เหมือนเดิม





    วันเวลาดำเนินผ่านไป ภูผากลายเป็นนิสิตคณะมนุษยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยสีเทาแดง ส่วนวายุก็กลายเป็นนิสิตคณะบัญชีฯ ของมหาวิทยาลัยสีชมพู
    ถือว่าเป็นโชคดีของผมมั้ย? ผมเองก็ไม่รู้หรอก เพราะว่าหลังจากสอบติด ผมก็ต้องวุ่นวายเรื่องเอกสารและการขนของย้ายไปอยู่หอที่จังหวัดนครนายก 1 ปีการศึกษา ตามวิถีปฎิบัติของทางมหาวิทยาลัย


    การได้ย้ายมาอยู่หอ ณ ดินแดนที่ห่างจากกรุงเทพมหานครไม่ไกลเท่าไหร่นักทำให้ผมลืมคนๆ นึงไปได้บ้าง เพราะได้เจอสิ่งแวดล้อม ผู้คน เพื่อน การเรียน และกิจกรรมใหม่ๆ ที่ทำให้ผมสนุกจนลืมช่วงเวลาที่เจ็บปวดไปได้บ้าง




    ต่างคนต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเอง และไม่ได้ติดต่อพูดคุยกันอีกเลย นับตั้งแต่วันปัจฉิมนิเทศ

    ภูผาก็ไม่ได้แกร่งตามคุณสมบัติของมัน ไม่ได้มีความแข็งแกร่งพอที่จะกล้าพูดคุยกับเพื่อนที่เคยสนิท ไม่กล้าพอที่จะกลับไปยืนอยู่ในจุดๆ เดิม


    วันนั้น คำๆ นั้น ทำให้ภูผาคนนี้ไม่สามารถถอยหลังกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ราวกับว่าเข็มสั้นและเข็มยาวได้หยุดนิ่งไปแล้วตลอดกาล

    เพนซิฟของภูผาก็ยังมีความทรงจำใหม่ๆ เข้าไปเติมเต็มน้ำสีเงินในอ่างอยู่เรื่อยๆ แต่ความทรงจำที่มีทั้งรอยยิ้ม ความสุข เสียงหัวเราะ ระหว่างวายุกับภูผายังคงถูกเก็บลงไปในก้นอ่าง

    แต่ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายเหลือเกินที่จะกวนและสะกิดมันขึ้นมาจากก้นลึกของอ่าง

    เพราะว่าเจ้าของเพนซิฟนั้นยังคงนึกถึงคนๆ นั้นเสมอ










    I lied to you. I lie to myself, I lied. I pretend to smile. This is all because I feel pain.

    - ME









    ที่กูปฎิเสธความรู้สึกของมึงในวันนั้น
    ไม่ใช่ว่ากูไม่เคยชอบมึงนะ
    กูชอบมึงมากๆ
    ชอบจน…กูไม่อยากสูญเสียมึงไป

    ‘เพื่อน’ ไม่มีวันเลิกเป็นได้
    แต่ ‘แฟน’ มันมีวันที่จะต้องเลิกรา

    แต่ก็นั่นแหละ กูผิดเอง
    เพราะกูสูญเสียมึงไปแล้ว…

    - Wayu












    ——————


    이게 내 진심인 거야
    This is how I really feel
    นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึก

    널 사랑하지 않아
    I don’t love you
    ฉันไม่ได้รักนายแล้ว

    널 사랑하지 않아
    I don’t love you
    ฉันไม่ได้รักนาย

    널 사랑하지 않아
    I don’t love you
    ฉันไม่ได้รักนายอีกต่อไปแล้ว

    너도 알고 있겠지만
    I’m sure you already know
    และบางที นายก็น่าจะรู้



    ——————








    - แด่ ผู้ที่อยู่ในสถานะ FRIENDZONE –












    Talk

    ภูผา คือ คยองซู
    วายุ คือ จงอิน

    OS นี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้เพราะความเศร้าในวันที่อากาศเย็นของไรท์เอง
    ถือซะว่าเป็นการเขียนระบายอย่างนึงเนอะ
    แต่เราจะร้องไห้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วแหละ ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนคนอ่านบางคนแถวๆ นี้ตีเอา ฮ่าๆ

    #รักแห่งไคซู

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in