เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ลุงหมีเที่ยวญี่ปุ่นMr.PT
เริ่มเที่ยววันแรก
  • พี่ปูกับเท็นพาพวกผมเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าจากสนามบิน Kansai ไปลงที่เมือง Osaka โดยเราจะต้องต่อรถจาก Osaka ไปยังสถานีที่พักอีกต่อนึง ซึ่งระยะเวลาการเดินทางรวมทั้งหมดจากสนามบินไปยังสถานีบ้านพักจะใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมง 


    ทันทีที่เดินออกจากตัวสนามบิน สัมผัสแรกที่จู่โจมเข้ามาหาผมคือความหนาวครับ มันหนาวสั่นหนาวไปตั้งแต่หัวจรดเล็บขบเท้าซ้าย ไอ้เสื้อกันหนาวที่ใส่มาตอนนั่งเครื่องบินนี่แทบไม่ช่วยอะไรผมเลย


    เดินหนาวหำหดได้สักพัก พี่ปูก็พาพวกเราไปซื้อตั๋วนั่งรถไฟฟ้าไปยัง Osaka เรายืนรอรถกันได้แค่แป๊บเดียว รถไฟก็มา (แถมมาตรงเวลาที่บอกไว้บนหน้าจอด้วย) ผมขึ้นรถไปนั่งแชทกับแฟนได้สักพักนึงก็หลับไป




    ขึ้นลงรถสักพักเราก็มาโผล่กันที่เมืองบ้านพักของเรา


    เมืองที่ผมพักไปพักตลอดการเดินทางครั้งนี้ชื่อเมือง Juso เป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก มีร้านรวงอยู่มากมายหลายร้าน ทั้งเคเอฟซี มิสเตอร์โดนัท ร้านข้าวหน้าเนื้อ ร้านซูชิ ร้านราเมน ร้านสลอต ร้านเหล้า และอีกสารพัดจะร้านจนผมอดคิดไม่ได้ว่าขนาดเมืองที่ไม่คุ้นหูเรามันยังเจริญขนาดนี้ แล้วแหล่งท่องเที่ยวพวกตัวเมืองมันจะขนาดไหนวะ…


    เรามาถึง Juso กันตอนประมาณตี 1 แล้ว แต่ผมยังค่อนข้างหิวอยู่ เพราะตั้งแต่ซัดสปาเก็ตตี้อันสุดแสนจะอร่อยเลิศล้ำบนเครื่องบินไปผมก็ยังไม่ได้ทานอะไรอีกเลย 


    พี่ปูกับเท็นเห็นอย่างนั้นจึงพาผมและแม่ไปทานข้าวหน้าเนื้อแถวๆ นั้นกันก่อนที่จะเข้าบ้านนอน ผมสั่งข้าวหน้าเนื้อมาชุดนึงราคา 490 เยน รสชาติอร่อยใช้ได้เลยครับ ติดตรงที่ว่ามันน้อยไปหน่อย ไม่ค่อยจะกระทบกระเพาะหลุมดำของผมสักเท่าไรนัก ครั้นจะสั่งอะไรเพิ่มก็ยังไม่ค่อยกล้าเท่าไร ผมยังรู้สึกตื่นตระหนกในความต่างถิ่นอยู่ จะทำตัวเหมือนตอนกินข้าวร้านป้าแหม่มแถวมอไปก็ไม่น่าจะเหมาะสักเท่าไร...


    สักพักเหมือนสวรรค์รู้ว่าผมยังไม่อิ่มครับ พี่ปูขอให้ผมช่วยทานข้าวชุดของพี่ปู เพราะพี่ปูสั่งมาเยอะ ทานไม่หมด 


    ตอนแรกตามมารยาทผมก็ปฏิเสธไปก่อน แต่หลังจากปฏิเสธพองามแล้ว ผมก็รับข้าวจากพี่ปูมาซัดโฮกภายในเวลาไม่กี่วินาที


    ยัดห่าอย่างไม่แคร์ไอ้มารยาทเมื่อตะกี๊นี้เลย…






  • กินข้าวกันเสร็จ พี่ปูก็พาเราเดินเข้าไปยังบ้านพัก เราเดินท่ามกลางบรรยากาศมืดๆหนาวๆกันสี่คน ระยะทางเข้าบ้านไกลพอสมควรในซอยพอพ้นจากเขตที่เป็นศูนย์รวมพวกร้านค้าแล้วก็จะกลายเป็นโซนบ้านคนแทน ซึ่งเท่าที่ผมดูบรรยากาศรอบๆของบ้านเมืองเขาแล้ว มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับไทยเราเท่าไรนะครับ ต่างกันแค่ความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสวยงาม อากาศ ฯลฯ


    ทำไปทำมาก็ชักเยอะนะ…





    เดินไม่กี่อึดใจ เราก็ไปถึงบ้านพักกันแล้ว ไปถึงหน้าบ้านผมเห็นพี่เจน-ลูกชายของน้าเอ๋ และพี่สมัย-รุ่นน้องของพี่เจนยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าบ้าน สภาพของพี่ๆ ทั้งสองคนดูกรึ่มๆกันพอสมควร


    เราทักทายกันเสร็จผมกับแม่ก็เดินเข้าบ้านไปเก็บของและเตรียมอาบน้ำนอนเพื่อจะได้พร้อมเที่ยวสำหรับวันต่อไป


    บ้านที่ผมพักตลอดทริปนี้เป็นบ้านเล็กๆ เรียบๆ ไม่ได้มีอะไรหรูหรามากมาย แต่ก็มีสิ่งของอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งฮีทเตอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องครัว เครื่องนอนต่างๆ ก็มีให้ครบ ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องน้ำกับห้องอาบน้ำที่แยกกัน ส่วนชั้นบนเป็นห้องนอนสไตล์ญี่ปุ่น 3 ห้องที่แบ่งห้องด้วยการใช้ประตูบานเลื่อน


    นึกภาพง่ายๆ มันคือห้องนอนแบบการ์ตูนเรื่องโดราเอมอนนั่นแหละครับ


    หลังจากผมกับแม่เก็บของกันเสร็จแล้ว ผมก็แวะลงมานั่งคุยนั่งดื่มกับพี่สมัยและพี่เจนนิดหน่อย ดื่มได้สักพักผมก็ขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อน เพราะกลัวว่าวันพรุ่งนี้จะไม่ตื่นเอา


    ผมรู้สึกตื่นเต้นกับห้องอาบน้ำญี่ปุ่นมาก ไม่ได้ตื่นเต้นว่ามันล้ำหรืออะไรนะครับ แต่ตื่นเต้นว่ากูควรจะใช้มึงยังไงดี เพราะมันมีแต่ภาษาญี่ปุ่น ตัวเลขที่มีก็ดูไม่รู้เรื่องอีกว่ามันคือเลขที่ใช้บอกอะไร มันเป็นอุณหภูมิหรือยังไงก็ไม่รู้ แล้วถ้าเป็นอุณหภูมิ มันใช้หน่วยอะไรก็ไม่รู้อีก แถมในสภาพอากาศหนาวขนาดนี้ ถ้าเกิดกดผิดได้น้ำเย็นขึ้นมานี่ไม่ต้องคิดเลยว่าไข่นุ้ยผมจะอยู่ในสภาพไหน…


    ผมนั่งง่วนกับการลองกดนู่นกดนี่จนในที่สุดก็ได้น้ำร้อนมาให้อาบ แต่เป็นน้ำร้อนในระดับที่ร้อนสัสๆ คือร้อนจนลวกไข่นุ้ยของผมให้กลายเป็นไข่ต้มได้ พอพยายามจะกดปุ่มแก้ก็ดันกลายเป็นน้ำเย็นสัสๆ พอแก้อีกก็กลายเป็นน้ำร้อนสัสๆ วนลูปอยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่รอบ จนในที่สุดไม่รู้ว่ามั่วไปโดนปุ่มอะไรเลยได้น้ำอุณหภูมิกำลังดีมาอาบ ซึ่งกว่าจะได้ขนาดนั้นไข่นุ้ยผมก็เย็นๆ ร้อนๆ อยู่หลายรอบจนเกือบจะได้ไข่ออนเซ็นอยู่แล้ว…


    ความซวยเรื่องน้ำจบไปก็ไปเจอเรื่องสบู่ครับ เนื่องจากผมกับแม่ไม่ได้พกสบู่หรือแชมพูกันมาเลยดังนั้นเราเลยต้องมาใช้เครื่องอาบน้ำที่พี่ปูซื้อไว้ และปัญหาคือมันมีขวดสีคล้ายๆกันวางอยู่ตรงหน้าผม 4 ขวด เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าผมอ่านไม่ออกสักขวดไม่รู้จะแยกมันยังไงเลย ดมกลิ่นมันก็ดูเหมือนๆกัน ทาตัวมันก็ดูเหมือนๆ กันหมด


    ลังเลได้พักนึง สุดท้ายผมตัดสินใจจบปัญหาด้วยการใช้มันขวดเดียวเลยแล้วกันขวดที่ผมถูกใจกลิ่นมันมากที่สุดและคิดว่ามันน่าจะเป็นสบู่ที่สุดใช้ทั้งอาบน้ำสระผมฟอกตัวมันขวดเดียวนี่แหละวะ อย่างน้อยก็น่าจะถูกสักอย่างนึงนะ


    ซึ่งผมก็ได้มารู้ทีหลังว่าไอ้ขวดนั้นมันเป็นครีมนวดผม…


    ทั้งอาบทั้งสระผมด้วยครีมนวดผม…


    WTF




    อาบน้ำขัดสีเสร็จผมก็ขึ้นนอนพักผ่อน ชั้นบนไฟปิดสนิท ทุกคนน่าจะหลับกันหมดแล้ว ยังเหลือแค่บักอ้วนนี่คนเดียวที่ยังไม่หลับไม่นอนสักที


    ผมได้นอนห้องเดียวกับเท็นและแทน-ลูกชายของน้าเอ๋อีก 2 คน ซึ่งรู้จักและสนิทสนมกับผมดี ผมไปนอนตรงที่ที่ยังว่างอยู่ และคืนนั้นของผมก็จบลงแบบเรียบง่าย นอนดูยูทูปแค่แป๊บเดียวก็หลับไป


  • Day 1

    ผมตื่นประมาณ 11 โมงครึ่งใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นานแล้วเราก็ออกจากที่พักเพื่อไปเริ่มเดินทางเที่ยววันแรก


    ทริปนี้มีลูกทริปอยู่หลายคนด้วยกันครับ มีผม แม่ผม น้าเอ๋ พี่เจน พี่ปู เท็น แทน ลูกสาวพี่เจน 2 คน หลานน้าเอ๋ พี่สมัย และแฟนพี่สมัย สิริรวมแล้วทั้งหมด 12 คน


    พวกเราเดินออกมาจากปากซอยบ้าน และตกลงกันว่าจะแยกหาอะไรกินกันก่อนที่จะไปเที่ยว ด้วยความที่ผมยังงงๆ เหวอๆ เบลอๆ ผมเลยคอยเดินตามพี่ปูกับพี่เจนไปก่อน (พี่ปูกับพี่เจนเคยมาเที่ยวญี่ปุ่นกันหลายรอบแล้วครับ) เราเดินวนเวียนมองนู่นนี่กันอยู่นานก่อนที่พี่เจนจะตัดสินใจกินซูชิ ส่วนพวกแม่ๆและเด็กๆ ไปกินร้านเท็มปุระกัน ผมเลือกที่จะตามกลุ่มพี่เจนไป


    เดินเข้าไปถึงผมก็เจอรับน้องกันเลยครับ เพราะในร้านไม่มีภาษาอังกฤษเลยสักตัว เมนูก็มีแค่ที่หน้าร้าน ครั้นจะพูดกับลุงก็คุยกันไม่รู้เรื่อง สุดท้ายแล้วพวกเราเลยต้องไปถ่ายรูปเมนูหน้าร้านแล้วจิ้มๆ ให้ลุงดูว่าเอาอะไรบ้าง เราสี่คนสั่งชุดซูชิเซ็ท และเบียร์สองขวด เซทละ 700 เยน ได้ซูชิมาราวๆ 10 ชิ้น บะหมี่ชามเล็กๆ 1 ถ้วย และผักเครื่องเคียงนิดหน่อย 


    รสชาติของซูชิถือว่าอร่อยเลยครับ ถึงจะดูเป็นร้านเล็กๆ แต่อาหารก็สดและอร่อยใช้ได้เลย บะหมี่ที่แถมให้มาก็อร่อย รวมๆ แล้วถือว่าคุ้มค่า 700 เยนดีครับ




    พยายามหมุนรูปซูชิแล้วแต่มันหมุนไม่ได้จริงๆ ครับ TT


    หลังจากซัดซูชิเสร็จ พี่ปูเดินนำพวกเราไปซื้อตั๋วรถไฟฟ้าเพื่อที่จะไปเที่ยวกันต่อ 


    ผังรถไฟฟ้าที่นี่มันค่อนข้างซับซ้อนกว่าที่ไทยมาก สายนู้นพันกันสายนี้ อันนี้ต่อกับอันนั้น อันนั้นพ่วงอันนี้ อันนี้จะวน Loop อันนี้จะไม่จอดป้ายนี้ ไปอันนี้ให้สุดสายแล้วจะมีสายนั้นต่อ บลาๆๆ ซึ่งมันต่างกับของไทยมากๆ เพราะพี่ไทยเราแค่มีสองเส้นพาดกัน ไม่เรื่องมาก ไม่ต้องวนนู้นวนนี้ อยากไปต่อที่อื่นมึงก็ไปขึ้นอย่างอื่น รถไฟให้ขึ้นได้แค่นี้ จบ


    ขึ้นลงรถไฟฟ้ากันไปมาก็มาโผล่ที่สถานี Temma ซึ่งดูๆ ไปแล้วมันก็จะคล้ายๆ กับตลาดนัดบ้านเรานี่แหละครับ ทรงเหมือนจตุจักร (ในเน็ตบอกว่ามันคือคลองถม แต่ผมมองเป็นจตุจักรนะ) มีของขายหลากหลายทั้งพวกเสื้อผ้า อาหารจุกจิก ขนม ของฝาก มีร้านรวงเยอะแยะไปหมด แต่ผมก็ยังไม่ได้สนใจถูกใจอะไรนัก


    ระหว่างเดินตะคุ่มๆ ไปมา ผมเหลือบเห็นป้ายร้านอาหารร้านนึงที่มีเมนูอาหารไทยอยู่หลายรายการทั้งต้มยำกุ้ง กุ้งแช่น้ำปลา พวกผักแกะสลักสวยๆ หรือเบียร์ยี่ห้อของไทยเห็นแล้วมันก็รู้สึกภูมิใจในอาหารบ้านเรานะที่มันดังมาไกลถึงขนาดนี้ ทั้งๆที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย แต่ก็รู้สึกดีครับ เหมือนได้เจอเพื่อนในต่างแดน


    ส่วนเรื่องรสชาติอาหารเป็นยังไงผมไม่รู้นะครับไม่ได้เข้าไปกิน ใครจะไปกินไหวกุ้งแช่น้ำปลาแม่งจานละ 1,280 เยน ตกแล้วเกิือบ 400 บาท…




    เดินที่ Temma ได้สักพักพี่ปูก็พาเรานั่งรถไฟไปเที่ยวตลาดปลาต่อ


    ผมจำชื่อไม่ได้ว่ามันชื่อตลาดอะไร มันเป็นตลาดที่ทรงๆเหมือนตลาดสดบ้านเรา แค่ไม่สกปรกเท่า คือเดินไม่ต้องระวังน้ำที่พ่อค้าแม่ค้าสาดเหมือนตลาดบ้านเรา ที่นี่ดูเดินสะดวกกว่า แต่เรื่องกลิ่นหรือความเหม็นอะไรมันก็ยังมีบ้างตามประสาตลาดสด เผลอๆอาจจะเยอะกว่าตลาดสดแถวบ้านเราซะอีก





    พี่ปูพาพวกเราไปยังร้านที่พี่ปูเคยมาร้านอยู่ในส่วนลึกๆ ของตลาด เราเลยต้องเดินลัดเลาะกันเข้าไประหว่างทางเดินผมเห็นร้านขายอาหารหลายชนิดทั้งอาหารสด เช่น พวกเนื้อวัวสดๆ เนื้อโกเบเนื้อวากิว เนื้อปลาซาซิมิ หรือร้านอาหารปรุงสุกแล้วอย่างแซลมอนย่างปลาไหลย่างราดน้ำซอส หรือพวกร้านเทมปุระก็มีให้เห็นอยู่ตลอดทาง


    เดินๆ ได้สักพักพี่ปูก็หยุดที่ร้านขายปลาไหลย่าง พี่ปูโฆษณาให้ผมฟังว่าเคยมากินปลาไหลย่างที่นี่ พี่ปูบอกว่ารสชาติมันอร่อยมาก มันเข้มข้นรสชาติมันดีมาก พูดไปพลางพี่ปูก็จ่ายเงินซื้อปลาไหลย่างไปพลาง พี่ปูซื้อมาประมาณ 3 ไม้ไม้ละ 1,000 เยน สิริรวมแล้วราคาทั้งหมดแค่ถาดเดียว 3,000 เยน หรือเทียบเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1,000 บาท…


    ผมแอบเสียดายเหมือนกัน 1,000 บาทถ้าอยู่ไทยนี่เราสามารถเอาไปเที่ยวต่างจังหวัดได้คืนนึงเลยนะแต่นี่เราเล่นเอาไปกินปลาไหลแค่จานเดียวก็ละลายไปแล้วพันนึงมันก็ชวนให้เสียดายอยู่บ้าง แต่สุดท้ายผมก็เลิกความคิดเสียดายครับเพราะพี่ปูเลี้ยง 


    มึงจะเสียดายทำไมล่ะ ตังตัวเองก็ไม่ได้ออก…


    ยืนงงได้สักพักพี่ปูก็ยื่นปลาไหลมาให้ผมลองกิน ผมลองจ้วงปลาไหลเข้าหนึ่งชิ้น


    อ้ำ...


    อร่อยสัส !!!!


    เนื้อปลาแน่นๆ ไม่มีกลิ่นคาวถูกย่างมาอย่างพอดิบพอดี ไม่เหนียวไป ไม่แห้งไป น้ำซอสเข้มๆ หวานๆ หอมๆ กัดไปนี่มีแต่ความฟินในปาก ทุกอย่างพอมันผสมกันมันลงตัวมาก


    ตอนอยู่ไทยผมไม่เคยมีโอกาสได้กินปลาไหลย่างซอสแบบญี่ปุ่น เพราราคามันแพงมาก อย่างที่เคยเห็นในร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังที่ชื่อขึ้นต้นด้วยฟูลงท้ายด้วยจิเนี่ย ข้าวหน้าปลาไหลจานนึงมันก็เกือบ 900 บาทเลยนะ


    ด้วยความที่ผมไม่เคยกินปลาไหลย่างมาก่อนแล้วมาเจอรสชาติของแท้ที่ประเทศต้นตำรับ มันเลยยิ่งรู้สึกโคตรฟินไอ้หนึ่งพันบาทที่ (พี่ปู) จ่ายไปมันช่างคุ้มค่าเหลือเกิน…


    อ้าห์….





    ตอนกินคำแรกๆ ผมก็ยังกินด้วยความเกรงใจ กินทีละนิดทีละนิด แต่พอสักพักรู้สึกว่ามันอร่อยจนอดใจไม่ไหว ความเกรงใจอันเป็นสมบัติของผู้ดีหายไปหมดท้าย ที่สุดแล้วผมเลยจ้วงเอาจ้วงเอา จ้วงจนพี่ปูคงแอบคิดว่ากูจ่ายไปพันนึงได้กินอยู่ไม่กี่คำ ไอ้อ้วนนี่แม่งแย่งแดกหมด…


    เดินซัดปลาไหลไปสักพักก็มาถึงร้านที่พี่ปูบอกไว้ หน้าร้านเป็นร้านขายปลาดิบ มีที่นั่งหน้าร้านเล็กน้อย ส่วนร้านข้างๆเป็นร้านขายเนื้อโกเบ เราสามารถเลือกเนื้อแล้วจะให้พ่อครัวปรุงให้ก็ได้หรือจะซื้อกลับบ้านก็ไม่ว่ากัน


    ไปถึงพวกเราไม่รอช้า สั่งอาหารมากินกันชุดใหญ่ทั้งซาซิมิปลาดิบทั้งเนื้อโกเบ พี่ปูพี่เจนและน้าเอ๋สั่งอาหารมาอย่างต่อเนื่อง สั่งแหลกลาญสุดขีดเรียกว่าร้านนั้นมีอะไรก็สั่งมันเกือบทุกอย่าง ถ้าถามผมว่าชอบมั้ย ?

     

    ตอบได้คำเดียวเลยว่าโคตรชอบครับ !!


    ผมกินอย่างโคตรเพลิน กินแบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม เพราะแต่ละอย่างมันอร่อยมากๆไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆ นอกจากอร่อย สาธยายพรรณนายังไงมันก็วกกลับมาที่คำเดิมนั่นแหละครับคือคำว่าอร่อย


    การเตรียมอาหารของเขาก็ทำกันให้เห็นกันจะๆ ตรงนั้น เนื้อโกเบพ่อครัวเขาก็แกะออกจากแพ็คแล้วย่างให้เราดูสดๆ ซาชิมิเค้าก็แล่ปลากันต่อหน้า ถึงจะดูเหมือนไม่มีอะไรแค่หั่นปลาเป็นชิ้นๆ แต่ผมรู้สึกว่าเขาดูเก็บรายละเอียดมากๆ หั่นเนื้อปลาออกมาก็ขนาดกำลังดี หั่นมาแล้วจัดวางอย่างสวยงามเป็นระเบียบ ขนาดวาซาบิเขายังเอามีดบั้งให้เป็นรูปใบไม้สวยๆ เลย 


    ไม่รู้ว่าพี่แกจะละเมียดละไมไปถึงไหน


    รสชาติของอาหารก็อย่างที่บอกไปครับเนื้อปลาซาชิมินุ่มๆ หวานๆ ละลายในปาก เนื้อโกเบย่างก็หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ จิ้มกับเกลือ ทานกับต้นหอมซอยยิ่งทวีคูณความฟิน ยิ่งกินยิ่งมีความสุข อ้าห์


    อยากหยุดเวลาไว้ที่อาหารพวกนี้เหลือเกิน…









  • หลังจากอิ่มหมีพีมันกันแล้ว พวกเราแวะไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้ออาหารสำหรับมื้อเย็นพี่เจนกับพี่สมัยเลือกซื้อเนื้อเพื่อที่จะไปทำชาบู ส่วนพวกผมกับแม่ก็ดูซูชิกล่องๆ กันเรื่อยเปื่อย เดินวนไปวนมาจนได้ของที่ต้องการครบแล้ว พวกเราก็นั่งรถไฟกลับบ้านพักกัน (แอบเห็นพี่เจนกับพี่สมัยได้เบียร์กันมาอีกเพียบเลยด้วย)


    ระหว่างที่เราเดินทางกลับบ้าน เท็นคุยกับผมว่าเท็น พี่ปู น้าเอ๋มีแผนไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าแถวๆ Osaka ต่อ เพราะว่าสถานี Osaka กับสถานีบ้านพักก็ไม่ได้ไกลกันมากนัก (Juso ห่างกับ Osaka ราวๆ 3 สถานีรถไฟฟ้า) และตอนนั้นก็เพิ่งจะหัวค่ำอยู่ด้วยป้าๆ พี่ๆ น้องๆ เลยอยากจะเที่ยวกันต่ออีกสักหน่อย ซึ่งพี่ปูจะพาเด็กๆ เข้าบ้านและเอาของที่ซื้อมาไปเก็บก่อน แล้วค่อยออกไปเที่ยวต่อ


    ได้ยินอย่างนั้นผมเลยสนใจอยากจะไปกับพี่ปูและเท็นด้วย ผมลองชวนแม่ไปด้วยกันดู สุดท้ายแล้ว เราก็ตัดสินใจขอติดสอยห้อยตามไปเดินห้างกับแก๊งพี่ปูด้วย แต่เราจะไม่เข้าไปเก็บของกับพี่ปู เพราะแม่ต้องเก็บแรงเผื่อไว้เดินเที่ยว


    เรานั่งรออยู่ตรงม้านั่งแถวๆ หน้าสถานี นั่งรอได้ไม่ถึงสิบนาทีเราก็รู้สึกว่ามันไม่ไหวละ แม่งหนาว แถมคนสูบบุหรี่เยอะ แม่เลยชวนผมเข้าไปนั่งหลบหนาวในมิสเตอร์โดนัท และหาอะไรกินไปพลางๆ 


    เราเข้าไปสั่งโดนัทสองชิ้น และชาร้อนกันคนละแก้วแล้วก็นั่งคุยเล่นนั่งรอไปเรื่อยเปื่อย รอได้ไม่นานพวกพี่ปูก็เดินกลับมาที่สถานี พวกเราเดินทางออกจาก Juso เพื่อมุ่งหน้าไปเที่ยว Osaka กันต่อ 


    เราขึ้นรถไฟจาก Juso มุ่งหน้าไปยังสถานี Osaka เวลาตอนนั้นเพิ่งจะทุ่มกว่าแต่ท้องฟ้ามืดสนิทหมดแล้ว (ผมไปช่วงฤดูหนาวฟ้าเลยมืดเร็วหน่อย) ร้านรวงต่างๆ ก็เริ่มทยอยปิดทำการกันแล้วเราเลยไม่ได้เดินเที่ยวในตัวเมืองนัก ทำได้แค่เดินเที่ยวห้างแถวๆ นั้น


    ชำเลืองมองกันอยู่สักพักเราก็ตัดสินใจที่จะไปยังห้าง Yodobashi ที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านนั้น




    เรามองหาทางเดินที่จะทะลุไปยังห้างนั้น ส่องไปส่องมาพี่ปูก็เห็นว่าเราต้องเดินอ้อมจากสถานีเพื่อทะลุห้างๆหนึ่งไปถึงจะถึงห้างๆ นั้น (อย่าเพิ่งงงนะครับ) ระยะทางน่าจะพอๆกับการเดินบนสะพานลอยที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิบ้านเราตั้งแต่บีทีเอสยาวไปจนถึงฝั่งใต้ทางด่วน


    ไอ้เรื่องระยะทางการเดินไม่เท่าไรหรอกครับ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคกับการเดินอย่างมากคืออากาศ


    อากาศที่นี่หนาวมาก ผมลองเช็คพยากรณ์อากาศในโทรศัพท์ของผมบอกว่าตอนนี้อากาศอยู่ที่ 8 องศาเซลเซียสเท่านั้น ซึ่งผมไม่เคยเจอบรรยากาศแบบนี้ที่ไทย (แหงสิวะ) มันเป็นอารมณ์ที่เราเดินอยู่แถวอนุฯ แต่เป็นการเดินท่ามกลางอากาศแบบดอยอ่างขางตอนตี 4 เดินไปก็สั่นไป ต้องเอาฮู้ดมาคลุมหัว ใส่หน้ากากอนามัยกันไม่ให้ปากแตก กระดงกระดุมซิปเซิปอะไรก็ต้องปิดผนึกมันทุกรู เดินไปก็ต้องล้วงกระเป๋าไป เพราะแค่มือออกไปเจออากาศหนาวก็หนาวยะเยือกไปทั้งตัวแล้ว


    เดินฝ่าหนาวไปได้สักพัก เราก็เข้าไปยังห้าง Yodobashi สภาพรวมๆ มันก็เหมือนๆ กับห้างไทยนั่นแหละครับ แต่ค่อนข้างเป็นระเบียบกว่า ตัวห้างดูแคบๆ แต่มีหลายชั้น ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมี 8 ชั้นได้


    เราเดินขึ้นบันไดเลื่อนกันไปเรื่อยๆ ไปยังชั้นบนๆของห้าง เพราะชั้นล่างๆ จะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าซะส่วนใหญ่ และเราก็ไม่ได้มีความสนใจอะไรในเครื่องใช้ไฟฟ้ากันอยู่แล้ว


    เราเดินขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุดก็ได้เจอกับร้าน Uniqlo แบรนด์ร้านขายเสื้อผ้าที่เราคุ้นเคยกันดี พวกเราเดินเข้าไปเลือกซื้อหาเสื้อผ้ากันสักพักนึง



    เสร็จจากเดินห้าง พวกเราก็กลับมายังบ้านพักเรา เปิดประตูเข้ามาก็เห็นพี่เจน กับพี่สมัยนั่งปิ้งเนื้อย่างที่ซื้อมาจากตลาดกันอยู่ ผมกับเท็นจึงเข้าไปนั่งกินด้วย ส่วนแม่ขอตัวขึ้นไปนอนก่อน 


    ผมซัดทั้งเนื้อและซูชิที่แม่ซื้อมาอย่างหนักหน่วง ยัดห่าอย่างรุนแรงมากกินแล้วกินอีก อะไรที่พี่สมัยกับพี่เจนกินเหลือผมซัดเรียบคือตอนนั้นมองสีหน้าพี่สมัยกับพี่เจนก็พอเดาได้ครับว่าพี่แกช็อคน่าดูที่ผมยัดห่าได้ขนาดนั้น 


    นอกจากซัดอาหารอย่างหนักหน่วงแล้วผมก็ซัดเบียร์ไปหลายกระป๋องอยู่เหมือนกัน เพราะพี่เจนกับพี่สมัยซื้อกันมาเยอะมากแถมซื้อมาก็แทบจะไม่ซ้ำกันเลย แน่นอนว่าอานิสงส์ก็มาลงที่ผมอีกเช่นเคย ซึ่งถ้าหากคุณผู้อ่านอยากทราบว่าผมได้ลองเบียร์อะไรไปแล้วบ้างและรสชาติมันเป็นอย่างไร ก็ขอเชิญติดตามอ่านได้ที่ https://minimore.com/b/J0TsZ/1 นะครับ (โฆษณาแบบไม่เนียน)


    ยัดห่าเสร็จผมก็อาบน้ำแล้วขึ้นนอนตามปกติ


    จบวันแรก หลับตาเอนกายอย่างสงบสุข พรุ่งนี้เช้าว่ากันใหม่…



  • ก็อยากจะจบแบบย่อหน้าข้างบนนั่นแหละครับ แต่ที่ไหนได้ ผมดันนอนไม่หลับซะอย่างงั้น... 


    คือผมเป็นคนนอนดึกจนชินแล้ว ตอนอยู่มหาลัยกว่าจะนอนก็ปาเข้าไปตี 3 ตี 4 นู่น แล้วพอมาที่นี่ ผมก็ยังคุ้นชินกับการนอนดึกอยู่ เลยกลายเป็นว่าตอนที่คนอื่นเขาหลับกันหมด ผมดันยังไม่หลับ 


    และผมยิ่งหลับยากขึ้นไปใหญ่ เพราะเสียงกรนจากรอบๆ ตัวผม ทั้งเท็น แทน แม่ผม น้าเอ๋ และอีกหลายๆ เสียงต่างร่วมกันประสานอย่างไพเราะซะจนผมไม่สามารถหลับได้ จะพยายามข่มตานอนมันก็โดนเสียงคำรามจากทั่วทุกสารทิศมากระหน่ำใส่หูซะยิ่งกว่าดูหนังในโรง IMAX อีก...


    สุดท้ายผมเลยต้องนอนเขียนไดอารี่ที่คุณอ่านกันอยู่เนี่ยแหละ


    เขียนมันไปจนหลับคามือถือนั่นแหละครับ...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in