เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My USA DiaryJust plus
Chapter 11 : May
  • Chapter 11 : May


    Solo for Good


    หลังฉันตื้อลอร่านาน(อีกแล้ว) เราสองคนก็ไปออดิชั่นกันในคาบคอรัสเพื่อร้องพาร์ทร้องเดี่ยวในเพลง for good สำหรับการแสดงคอรัสในงาน spring concert จริงๆแล้วพาร์ทร้องเดี่ยวในเพลงนี้มีสองส่วนเพราะฉะนั้นจะมีสองคนที่ได้ร้อง โดยอะเลียคนที่แสดงเป็นเบลในงานละครเพลงครั้งที่แล้วได้พาร์ทแรกไปแล้ว แต่พาร์ทที่สองก็มีคนสมัครเยอะมาก พวกเราตื่นเต้นมากเมื่อครูประกาศว่าลอร่าได้ร้องพาร์ทที่สอง แต่ฉันไม่ทันได้อิจฉาดีครูก็ประกาศว่าจะแบ่งพาร์ทนั้นเป็นสองส่วนอีกที เพราะจะให้ฉันร้องด้วย ฉันดีใจสุดๆ

    หลังจากนั้นฉันก็ไปบ้านลอร่าเพื่อซ้อมร้องเพลงกันบ่อยๆ แล้วก็ต้องฝึกร้องในคาบคอรัสด้วย ตอนแรกฉันก็เขินๆเพราะต้องร้องต่อหน้าคนทั้งห้องแต่ทุกคนใจดีกับฉันมากและถึงตอนนี้ฉันก็รู้จักทุกคนดีแล้ว

    ถึงวันแสดงบ้านโฮสต์จู่ๆก็ไฟดับฉันจึงต้องแต่งหน้าในความมืด แต่มันก็ออกมาไม่แย่เท่าที่คิด หลังจากนั้นก็เจอโชคร้ายที่สองคือลืมโทรศัพท์ไว้ในรถบัสโรงเรียนแต่โชคดีที่เพื่อนจากคอรัสอีกคนชื่อดิลลันหยิบลงมาให้ ก่อนแสดงทุกคนในคอรัสก็มาซ้อมด้วยกันครั้งสุดท้าย ฉันตื่นเต้นมากเลยเพราะครั้งนี้ฉันจะไม่ได้ร้องรวมกับกลุ่มคนแต่ต้องเดินแยกลงมาร้องเดี่ยวข้างหน้าเวทีเมื่อถึงท่อนของฉันกับลอร่า แต่เพื่อนๆในคอรัสก็เป็นกำลังใจให้ฉันมากๆ มีคนในคอรัสเดินมาให้กำลังใจฉันเยอะจนลอร่าหันมาบอกว่าหมั่นไส้

    หลังจากนั้นพวกเราต้องนั่งรอดูการแสดงของนักเรียนชั้นเด็กกว่าขึ้นแสดงก่อน หลังจากนั้นครูสอนคอรัส Mr. Barkley ก็ขึ้นไปเพื่อประกาศชื่อนักเรียนดีเด่นของแต่ละพาร์ทเสียง ฉันไม่รู้มาก่อนว่ามีประกาศอย่างนี้ด้วย และก็ต้องตกใจมากกว่าเดิมเมื่อเขาประกาศชื่อฉันและลอร่าอยู่ในสามนักเรียนดีเด่นของกลุ่มเสียง Soprano ครูถึงกับพูดชื่อจริงของฉัน ซึ่งถือว่าเป็นชื่อที่ยาวและอ่านยากมากสำหรับคนอเมริกา ครูหลายคนจึงเลือกใช้ชื่อเล่น ฉันพึ่งเข้าใจว่าทำไมครูคนนี้ถึงขอให้ฉันสอนวิธีออกเสียงชื่อตั้งแต่เดือนที่แล้ว ซึ้งมากๆ จากนั้นครูก็เปิดวิดีโอที่รวมรูปช่วงเวลาของทุกคนในคอรัสในปีนั้น มันทำให้ฉันแทบร้องไห้

    หลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่กลุ่มของพวกเราต้องขึ้นไปร้องเพลง ดีนะที่ฉันไม่หลุดร้องไห้มาตอนนั่งดูวิดีโอ ไม่งั้นร้องเพลงไม่ไหวแน่ พวกเราร้องแบบที่ซ้อมมาไม่มีผิด แสงเวทีส่องเต็มตาพวกเรา และเสียงกังวาลทั่วหอประชุมเหมือนทุกเคย แต่ครั้งนี้ฉันต้องร้องเดี่ยวกับลอร่า ลอร่าเริ่มเดินออกไปก่อนเพื่อร้องพาร์ทของเธอ หัวใจฉันเต้นแรงจนแทบกรบเสียงทุกอย่างแต่ฉันก็เดินตามออกไปตรงเวลาเป๊ะ แล้วฉันก็หันไปมองลอร่า เพื่อนที่ฉันสนิทที่สุดตั้งแต่มาที่นี่ เพื่อนคนแรกในคอรัสและคนที่ทำให้ปีนี้มีคุณค่าสำหรับฉันมาก แล้วเราก็จับมือกันตามที่ได้ซ้อมมา เพลงที่เราได้ร้องกันเป็นเพลงเกี่ยวกับมิตรภาพของเพื่อนสองคนและฉันคิดว่าเพลงนี้มันเหมาะกับความรู้สึกของฉันมากๆเลย


    “ Because I knew you, I have been changed for good 

    เพราะฉันได้รู้จักเธอฉันถึงได้เปลี่ยนไปตลอดการ" 

    - Wicked the Musical


    Dandelion, a Weed


    ใน​ฤดูใบไม้ผลิ​ อากาศอบอุ่นและแสงแดดส่องสดใสชวนให้ดอกไม้ต่างๆบาน มีดอกนึงที่ขึ้นให้เห็นทุกที่ที่ฉันไป ดอกแดนดิไลออนสีเหลืองกระจายอยู่เต็มทุ่งหญ้าข้างบ้านฉันและโตแทบทุกที่ที่มันจะทำได้

    ระหว่างพักกลางวันไจเนยากับเจสซิก้าเพื่อนจากคาบเรียนแรกของฉัน พาฉันเดินไปเก็บดอกแดนดิไลออนตรงมุมเล็กๆข้างโรงเรียน ตอนนั่งเล่นหน้าบ้านในวันหยุด แอดเดลเล่กับฉันก็เอามันมาทำเป็นมงกุฏดอกไม้เล่น เอลลี่เคยบอกฉันว่ามันเป็นวัชพืชไม่ใช่ดอกไม้และในฤดูใบไม้ร่วงกลีบของมันจะกลายเป็นเมล็ดที่มีขนปุยสีขาวๆ เอามาเป่าไปตามลมและขอพรได้แบบที่ฉันเคยทำตอนพึ่งมาถึง ฉันพึ่งรู้ว่ามันเป็นดอกเดียวกัน ถึงมันเป็นแค่วัชพืชแต่สำหรับฉันมันคือดอกไม้ที่นำพาความฝันให้เป็นจริง


    The Hidden Stream


    ตรงข้ามบ้านของโฮสต์มีทุ่งหญ้าใหญ่ที่มีป่าอยู่ตรงขอบ ฉันไม่เคยเดินไปเลยถึงแม้โฮสต์จะบอกว่าแถวนั้นค่อนข้างปลอดภัย วันหนึ่งฉันกับเอลลี่พา​ มิชชิก้า เจ้าสุนัขตัวใหม่ไปเดินเล่น ตรงนั้นมีทางเดินอยู่ ค่อนข้างเดินง่าย ไม่นานเราก็เข้าไปในป่าลึกขึ้นและพบกับลำธารที่ซ่อนอยู่ระหว่างต้นไม้ มันสวยมาก เราเหยียบหินใหญ่ๆในลำธารเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง ฉันเดินไปเจอกระต่ายป่าและกระรอกที่รีบวิ่งหนีฉันและเอลลี่ก็ชี้ตรงที่กวางเคยเดินผ่านให้ดูแต่สำหรับฉันมันเหมือนกันหมดเลย เอลลี่บอกให้ฉันเดินระวัง ฉันก็อุตส่าซึ้งใจเพราะเอลลี่เป็นคนคูลๆไม่ค่อยเป็นห่วงใคร แล้วเธอก็พูดต่อว่ามันเป็นพื้นที่ของเพื่อนบ้านไม่ใช่โซนป่าของบ้านเรา แต่เขาไม่ถืออะไรมากจึงมาเดินเล่นได้

    ขากลับฉันเดินพลาดทำรองเท้าเปียกไปข้างนึงแต่ฉันก็ยังเดินเก็บดอกไม้ร้องเพลงเล่นระหว่างทาง​ ป่าในช่วง​ฤดูใบไม้ผลิ​มันอบอุ่นและลึกลับน่าค้นหา ฉันคิดว่าถ้า Fairy (นางฟ้าตัวเล็กๆ) มีจริงมันคงอยู่ในป่านั้นนั่นแหละ


    Weis


    ร้านซุปเปอร์มาเก็ตเป็นสถานที่เที่ยวที่ฉันชอบที่สุดในทุกประเทศที่ฉันไปเพราะมันจะมีของน่าสนใจของแต่ละประเทศอยู่ ฉันจึงตื่นเต้นมากเมื่อเอลลี่ชวนไป ถึงแม้เราจะไปซุปเปอร์มาเก็ตเป็นระยะๆอยู่แล้วแต่ฉันยังไม่เคยไปของ weis เมื่อไปถึงฉันก็วิ่งเล่นทั่วทางเดินและได้ขนมกลับมาเพียบเช่นป๊อปทาร์ตและไอศกรีมแบบที่เป็นสี่เหลี่ยมเรียกว่า Kondike Bar ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมฉันถึงน้ำหนักขึ้นตอนกลับมา ตอนแรกฉันเห็น Red Bull ก็นึกตกใจเรียกคนอื่นมาดูว่าอันนี้มาจากไทยด้วยนะ ฉันยังไม่เคยลองเลยกะจะซื้อไปแต่เอลลี่บอกว่ามันไม่ค่อยดีต่อสุขภาพอย่ากินเลย ฉันเลยยังไม่ได้ลองจนถึงตอนนี้


    Williamsport and Red Lobster


    เพื่อนๆบางคนนัดฉันไปเดินเที่ยวเมือง Williamsport ใกล้ๆ โฮสต์มัมขับรถพาเฮลลี่กับฉันไปถึงย่านช๊อปปิ้งและเราสองคนเดินส่องร้านเสื้อผ้า ร้านของฝาก ร้านหนังสือโน่นนี่ไปทั่วระหว่างรอแคทเทอรีนและลอร่ามาถึง เฮลลี่คอยลากฉันไม่ให้โดนรถชนตายกลางถนน ฉันว่าเพื่อนหลายคนก็รับหน้าที่พี่เลี้ยงจำเป็นเวลาอยู่กับฉัน แต่ฉันแทบหยุดตัวเองไม่ได้ ฉันชอบเดินไปทั่วในสถานที่ใหม่ๆ มันมีอะไรให้ดูเยอะเกินไปและบางทีฉันก็กลัวว่าถ้าไม่รีบเดินดูให้ครบตอนนี้จะไม่มีโอกาสได้มาเห็นมันอีก สุดท้ายฉันได้กำไลและของฝากไปให้คนในครอบครัวเพิ่มก่อนเพื่อนคนอื่นจะมากันครบ

    เราเดินเล่นกันต่อสักพักและสุดท้ายไปลงเอยกินอาหารที่ร้าน Red Lobster ฉันอยากมาที่นี่มานานแล้วเพราะพ่อจากที่ไทยก็บอกว่าเคยมากินและมันอร่อยมาก เพื่อนคนอื่นขอให้ฉันจองโต๊ะด้วยชื่อนามสกุลจริงเพราะมันยาวมาก พนักงานทำกับทำหน้างงเมื่อฉันพูดนามสกุลตัวเองเสร็จแล้วถามว่าขออีกรอบได้ไหมคะ ฉันสงสารเขาเลยบอกชื่อเล่นไป 

    เรารอไม่นานก็ได้โต๊ะ พนักงานเสิร์ฟของเราน่ารักมาก ฉันถึงกับชวนเธอนั่งลงระหว่างจดอาหาร เพื่อนบอกว่าจริงๆร้านนี้มันแพงอยู่ ฉันก็เห็นด้วยแต่คงไม่ได้มีโอกาสมากินบ่อยๆหรอก สุดท้ายฉันสั่งล็อบสเตอร์กับปลาซาลมอนมากิน มันอร่อยสมที่พ่อเคยโฆษณาไว้แต่เวลาฉันนึกถึงมื้ออาหารครั้งนั้นกลับเป็นบทสนทนาและเสียงหัวเราะของเพื่อนๆระหว่างกินอาหารด้วยกัน


    Two Worlds Colliding


    ถึงแม้ยังต้องอยู่อเมริกาอีกเดือนสองเดือนแต่ความเป็นจริงที่ฉันจะต้องกลับไทยนั้นย้ำฉันชัดเจนมากขึ้นทุกวัน ในเดือนนี้นอกจากโทรคุยกับพ่อแม่แล้วฉันก็ติดต่อกับเพื่อนที่เตรียมอุดมบ่อยขึ้นเพราะมันเป็นช่วงรับน้อง ฉันต้องขอให้เพื่อนดูแลน้องรหัสน้องลำดับให้แล้วทักไลน์คุยกับน้องๆแทนที่จะได้เจอตัวจริง ฉันจำได้ว่าก่อนเข้าเตรียมแล้วได้รับข้อความจากพี่ลำดับมันรู้สึกตื่นเต้นแค่ไหน แต่ด้วยความที่อยู่ไกลกันมาก ฉันเลยไม่มีโอกาสได้เจอน้องๆเลยนอกจากคุยไลน์ ซึ่งมันก็เกร็งๆกัน เราคุยเรื่องเกมไร้สาระอะไรไม่รู้และตอนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกสนิทกันเท่าที่หวัง แต่ฉันก็โชคดีมากนะ เพราะตอนกลับมาเรียนฉันซ้ำชั้นอยู่ห้องเดียวกับน้องลำดับ จำได้ว่าตอนแรกก็เหงาๆ ตอนปรับตัวกับการกลับมาเรียนในระบบการศึกษาไทยใหม่ แต่สักพักก็เริ่มสนิทกับน้องลำดับมากจนได้อยู่กลุ่มเดียวกันและสนิทกันจนถึงตอนนี้


    Knoebel


    ฉันเคยมาสวนสนุกนี้กับคาร่าแล้วล่ะช่วงที่มาแรกๆ แต่ครั้งนี้คอรัสจัด เพื่อนสนิทฉันไม่ได้มาเพราะติดธุระกันนอกจากเฮลลี่แต่เธอก็อยู่รถบัสคนละคันกับฉัน ฉันเลยไปนั่งกับซาร่าเพื่อนอีกคนที่ช่างคุยและ Extroverted สุดๆ เรานั่งคุยกับตลอดทางและฟังเพลงจากละครเพลงเรื่อง Dear Evan Hanson กัน หลังจากนั้นฉันเลยไปเดินเล่นสวนสนุกกับซาร่าและเพื่อนกลุ่มของเธอไปเลย มันสนุกมากๆฉันเล่นเครื่องเล่นหลายอย่างที่ฉันไม่น่าจะเล่นถ้าไปคนเดียว ฉันไปเล่นชิงช้าที่หมุนขึ้นไปสูงๆ มันน่ากลัวมากเลยฉันเอาแต่กรี๊ด แต่เวนดี้ เพื่อนคอรัสอีกคนที่มีผมสีส้มและใจดีมากคอยบอกฉันว่าลองหุบปากแล้วจินตนาการว่ากำลังบินอยู่ดู มันก็ดีขึ้นนิดนึงแหละ หลังจากนั้นก็ลอง Roller Coaster เล็กๆที่มีแต่เด็กเล่นแต่ฉันก็กรี๊ดแทบตายอยู่ดี ฉันชอบบรรยากาศสวนสนุกมากๆนะแต่การนั่งอะไรน่ากลัวนี่ขอผ่านดีกว่า หลังจากนั้นฉันก็ไปเดินช้อปปิ้งหาซื้อของฝากกลับไทยแทน


    Hangout with Ellie and Evan


    ช่วงนี้ฉันได้ออกไปทริปสั้นๆนอกบ้านกับเอลลี่บ่อยขึ้น เป็นเพราะเอลลี่มีแฟนใหม่แล้วไปเที่ยวกันบ่อยเลยพาฉันไปเป็นกขคด้วย ฉันได้ไป taco bell ครั้งแรกระหว่างไปทริปกับพวกเขาซึ่งทุกคนในบ้านโฮสต์เห็นตรงกันว่ามันรสชาติแย่มาก แต่ฉันอยากลองดู (เพราะเขาบอกว่ามันไม่อร่อยเนี่ยแหละ แล้วก็เพราะขับผ่านบ่อยด้วย) แต่มันก็โอเคอยู่นะ แล้วเราก็ได้ไป Hershey Factory ขาไปเราโดนตำรวจเรียกด้วย ฉันตกใจมากเลยตอนรถตำรวจขับตามเราแล้วมีเสียงไซเรนดัง แต่เขาแค่บอกว่าป้ายทะเบียนหมดอายุนะ คุยกันแบบมีมารยาทสักพักก็ได้ไปต่อ ไม่นานเราก็ไปถึง นอกจากขายช็อกโกแลตหลายแบบแล้วที่นั่นยังมีเครื่องเล่นนิดหน่อยให้เข้าไปเรียนรู้ประวัติของ Chocolate Hershey ถึงมันจะไม่เหมือนในหนัง Charlie and the Chocolate Factory แต่มันก็สนุกกว่านอนอยู่บ้านและเป็นที่ซื้อของฝากได้ดีด้วย นอกจากนั้นฉันก็เคยไปเป็นกขคตอนเขาดูหนังที่ฉายนอกโรงกลางสนามหญ้าเรื่อง Jurrasic World บนรถของเอเวน

    แต่ทริปที่ฉันชอบที่สุดที่ได้ไปกับเอลลี่กับแฟนเธอคือบ้านของคุณยายของเอเลน (แฟนเธอเอลลี่) มันชนบทกว่าบ้านโฮสต์อีก มีต้นไม้ป่าอยู่รอบแล้วก็มีแอ่งน้ำใหญ่ๆอยู่ในทุ่งข้างบ้าน เราได้ลองนั่งเรือเข้าไปในนั้น เจอซาลาแมนเดอร์ตัวเล็กๆที่เอลลี่อุ้มออกมาจากน้ำให้ฉันดู แล้วก็ได้นั่งรถที่เรียกว่า Four Wheelers โดยที่ฉันนั่งไปกับเอลลี่ มันเร็วแล้วก็ใหญ่มากๆ ฉันแทบกรี๊ดแต่กลัวเอลลี่ด่า พอเราขับเข้าไปในป่าแล้วก็ได้เดินเล่นชมนกชมไม้ เจอลูกกวางที่กระโดดหนีออกจากพุ่มไม้ หลังจากนั้นก็กลับมานั่งเล่นดูทีวีลองเล่นvrที่บ้าน แล้วเอเวนก็หยิบปืนมาให้ลองยินกระป๋องตรงทุ่งหลังบ้าน คนอเมริกาในโซนนี้ส่วนใหญ่ยิงป่าล่าสัตว์เป็นกัน เพื่อนเคยเอาเนื้อกวางที่ยินได้มาให้ลองในคลาสด้วย ฉันรู้สึกขอบคุณเอเวนมากเลยเพราะมันเป็นประสบการณ์ที่พิเศษมากๆ คงไม่ได้ลองที่ไหนนอกจากที่นี่อีก เขาก็บอกว่ายินดีมากเลย แล้วเขาก็แอบบอกฉันว่าเขาวางแผนจะซื้อบ้านนี้ต่อจากคุณยายแล้วมาอยู่ที่นี่กับเอลลี่ ทำไมน่ารักกันขนาดนี้ ตอกย้ำความโสดอยู่ได้ เอลลี่ก็เคยถามว่าฉันอยากมีแฟนไหม ฉันตอบไปว่าไม่แล้วเอลลี่ก็บอกว่าฉันโกหก เด็กรุ่นฉันทุกคนก็อยากมีแฟนทั้งนั้น มันอาจจะจริงก็ได้ ยิ่งเห็นเวลาเอลลี่กับเอเวนอยู่ด้วยกันแล้วใครไม่อิจฉาบ้างก็แย่แล้ว ปกติเอลลี่เป็นคนแรงๆหน่อยหงุดหงิดง่ายแต่พออยู่กับเอเวนกลับยิ้มตลอดเลย จนถึงตอนนี้เอลลี่กับเอเวนก็ยังรักกันต่อไป ฉันว่าทั้งคู่มีโอกาสได้ย้ายไปอยู่บ้านนั้นจริงๆแหละ


    First Wedding


    วันหนึ่งหลังฉันกลับม่าถึงบ้านกินอาหารเย็นกับโฮสต์อยู่ โฮสต์แด๊ดก็บอกว่าเราต้องรีบไปแล้ว เธอจะไปด้วยไหม ฉันก็งงว่าจู่ๆจะไปไหนกัน แล้วโฮสต์ก็บอกว่าวันนี้มีงานแต่งที่โบสถ์ ฉันเลยตัดสินใจไปดูด้วย งานนี้เป็นงานแต่งของลูกชายของบาทหลวงนั่นเอง เป็นงานเล็กๆที่จัดตรงสวนหลังโบสถ์แต่ก็มีคนรู้จักและคนที่มาโบสถ์วันอาทิตย์มาร่วมงานเยอะแยะ บรรยากาศเหมือนงานแต่งในหนังเลยแต่รู้สึกสบายๆมากกว่าแล้วก็ต่างกันที่ไม่มีเพลงดื่อดื้อดื้อดือดื่อดื้อดื่อดือ แต่ก็มีเพลงอื่นเล่นแทนนะ 

    เจ้าบ่าวเจ้าสาวใส่ชุดขาวเดินไปที่หน้าพิธี มีพูดเกริ่นกันนิดหน่อยแล้วบาทหลวงซึ่งก็คือพ่อเจ้าบ่าวก็พูดบทสวดแล้วก็ “Do you take this woman/man, to be your wife/husband?” มันดูโรแมนติกมากๆเลย อยากมีงานแต่งชุดขาวอย่างงี้บ้างจังแต่อาจจะต้องตายเป็นผีก่อน55 ไม่รู้ทำไมประสบการณ์ในเดือนนี้เหมือนอยากบอกฉันว่าฉันควรหาแฟนบ้าง แต่ตอนที่ฉันไปแลกเปลี่ยนฉันกลัวผู้ชายมากเลยไม่มีเพื่อนผู้ชายที่สนิทด้วยสักคนและฉันก็ไม่สนใจผู้หญิงในเชิงโรแมนติกในตอนนั้น ปีก่อนจะไปอเมริกาฉันพึ่งจบจากโรงเรียนหญิงล้วนด้วย นั่นแหละอีกข้ออ้างที่ทำไมฉันจึงยังอยู่บนคานมานานขนาดนี้ จริงๆฉันก็มีสนใจนักเรียนแลกเปลี่ยนผู้ชายคนอื่นบ้างนะ แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดทุกครั้ง เจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินไปคุยกับคนอื่นๆ และรอถ่ายรูปกัน แต่ไม่นานเราก็ออกมาเพราะงานแต่งช่วงที่สองสำหรับฉลองกับญาติและคนสนิท


    Parting Glass


    ตอนนั้นฉันรู้สึกผูกพันธ์กับเมืองที่อยู่มาก ฉันไม่อยากกลับเลยถึงจะรู้มาตลอดว่าต้องกลับ วันหนึ่งในคาบคอรัสครูให้เราฝึกร้องเพลง Parting Glass มันเป็นเพลงที่ร้องในงานศพไอริช แต่ฉันกลับรู้สึกอินกับเพลงมากๆ เพราะอีกไม่นานฉันก็ต้องจากไปราวกับต้องตายไปจากชีวิตทุกคนที่ฉันรู้จักที่นี่และฉันก็คงลืมรายละเอียดทุกอย่างไปทีละนิด ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกหนาวนิ้วมือแทบแข็งในฤดูหนาว การเดินไปเรียนคาบต่อไปท่ามกลางคนที่คุ้นตา การออกไปวิ่งเล่นในสนามหญ้าที่เต็มไปด้วยแดนดิไลออนกับแอดเดเล่กับแมวหมาของโฮสต์ การตื่นขึ้นมาพร้อมความตื่นเต้นว่าวันนี้จะเจอกับอะไร ฉันไม่อยากลาที่นี่เลย ระหว่างเราขับรถกลับบ้านวันนึง ฉันถึงกับขอโฮสต์ว่าถ้าฉันเกิดตายขึ้นมาภายในปีนี้ช่วยเอาเถ้าถ่านของฉันไปโปรยไว้ในแม่น้ำซัสแคตเชวันในเมืองนี้แบบที่แกรมมี่ทำกับคุณตาได้ไหม เราก็หัวเราะเล่นกันแต่จริงๆ ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันยังไม่พร้อมที่จะบอกลาจริงๆ


    “And all I’ve done for want of wit และทุกๆสิ่งที่ฉันทำไปด้วยความต้องการเรียนรู้

    To memory now I can’t recall ฉันกลับจำอะไรไม่ได้เลย

    So fill to me the parting glass เติมแก้วแห่งการจากลานี้ให้ฉัน

    Good night and joy be with you all ราตรีสวัสดิ์ และขอให้ความสุขอยู่กับทุกคน”

    - The Parting Glass




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in