เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
เมลเบิร์น โอ๊คแลนด์ กับวินาทีที่ร่วงลงจากฟ้า
  • 30 January 2017



    กลับมาแล้วจ้ะ

    ห่างหายไปจากการเขียนบันทึกเกือบเดือนนึง มีเรื่องเล่าเยอะแยะมากมายหลังจากไฟล์ทไปญี่ปุ่นเมื่อตอนปีใหม่ เราวุ่นวายอยู่กับการหาตั๋วเครื่องบินแบบ Last Minute เพื่อกลับกรุงเทพในวันที่ 1 มกราคม ตกไฟล์ทไปกรุงเทพและภูเก็ตเพราะตั๋วเต็มมาก เช็คกับทุกสายการบิน พยายามทุกวิถีทางจะกระทั่งได้ไฟล์ทจากดูไบไปย่างกุ้งและนั่งจากย่างกุ้งกลับมากรุงเทพ

    เหนื่อยเหลือเกิน แต่ก็คุ้มค่านะ :)


    หลังจากกลับกรุงเทพก็เข้าสู่ช่วงจิตตก เศร้าศร้อย มู้ดสวิงเข้าสู่ด้านลบ เราไป กัวลาลัมเปอร์ แบบเหงาๆ รอบนี้ไม่ได้ทำอะไรมาก เดินเล่น กินวนไปแถวๆตึก Petronas Tower ตามปกติ กลับมานอนอ่านหนังสือเล่นไปเรื่อยๆ


    จากนั้นเราก็บินไป เมลเบิร์น-โอ๊คแลนด์ ก็ได้เพื่อนกินมาสองคนคือ ออกัสโต หนุ่มหล่อจากบราซิล และฟง สาวน่ารักจากเวียดนาม เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการกินอาหารเอเชียนหลากหลาย อย่างวันแรกที่อยู่ที่เมลเบิร์น เราไปกินอาหารไทยที่ร้าน Your Thai และชานมไข่มุก Gong Cha ส่วนที่โอ๊คแลนด์ก็ไปกินปิ้งย่างเกาหลีกับพุดดิ้ง กลับมาเมลเบิร์นอีกรอบก็ไปกินบะหมี่น้ำ ฮะเก๋า เสี่ยวหลงเปาในไชน่าทาวน์ สเต็กเนื้อไม่ได้แตะ เนื้อแกะไม่ได้ลอง กินแต่อาหารเอเชียนวนไปจ้า


    จบจากทริปยาวเราก็ไป มะนิลา ต่อ แต่เราอยู่ที่นั่นแค่ 16 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ได้ออกไปไหนหรือทำอะไรเลย กิน นอน ดูการ์ตูนเน็ตเวิร์ค (The Amazing World of Gumball! ชอบมากกกกกก) และก็ตามด้วยกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ ที่ต้องวิ่งทำเวลาทุกอย่างให้ทันภายใน 24 ชั่วโมง เจอแม่ เจอหมอ เจอเพื่อน นอน กิน โอ้ยย เหนื่อย แต่ก็มีความสุขมากกกกกกกกกก


    และแล้วก็มาถึงไฟล์ทสุดท้ายประจำเดือนมกราคม นั่นก็คือ เมลเบิร์น - โอ๊คแลนด์ รอบนี้นี่เองงงง










  • 24hrs in Melbourne - 31 January 2017



    เช้าวันที่ 30 เป็นวันที่เราออกเดินทาง เราตื่นแต่เช้ากว่าปกติเพื่อมานั่งเทรนเชียร์น้ำตาลให้ได้มงมิสยูนิเวิร์ส รีทวิตแจกน้องนายของคุณหมู พิมพ์ผกาไประหว่างแต่งหน้าไปด้วย ลุ้นระทึกไประหว่างที่พยายามกรีดอายไลน์เนอร์ให้เท่ากันทั้งสองข้าง

    น่าเสียดายที่เราไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่ก็เชื่อว่าน้องน้ำตาลและทีมงานมิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ทำดีที่สุดแล้ว

    เราปิดมือถือ ขึ้นบัสไปทำงาน เข้าห้องบรีฟ เดินขึ้นเครื่อง และวาร์ปข้ามมหาสมุทรมานอนแปะมองเพดานของห้องหมายเลข 803 ในตอนเช้าของวันที่ 31 มกราคม วันสุดท้ายของเดือนแรกในปีนี้



    เรารู้สึกเหมือนว่าเราทำเวลาหายไปและวันที่ 30 มกราคมของเรายาวนานเพียง 17 ชั่วโมง






    และแม้ว่าจะบินเหนื่อย แลนด์ถึงเช้าแค่ไหน แต่ถ้าทันบุฟเฟ่อาหารเช้าที่โรงแรมก็จะลากสังขารลงมากิน อาห์... มีอาหารเช้าที่โรงแรมเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตที่แท้จริง! กินเสร็จก็กลับไปนอนตายจนถึงประมาณบ่ายๆก็ออกมาหาของกินอีกแล้วจ้ะ
















    ระหว่างทางเดินไป China Town เราแวะมาถ่ายรูปที่ Hosier Lane ที่เต็มไปด้วยภาพกราฟฟิตี้มากมาย เจ๋งมากเลยแหละ แต่แค่เดินผ่าน ไม่ได้เจาะถ่ายแต่ละภาพเพราะหิว ฮา





    รอบนี้เราลองไปกินร้านบะหมี่จีนที่ Tina's Noodle Kitchen ตามคำแนะนำของเยจิน สาวเกาหลีที่ทำงานด้วยกันบนไฟล์ท ตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปนี่สัมผัสได้ถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางชนชาติมากๆ เข้ามาแล้วมีแต่คนจีน เพลงจีน สั่งอาหารกันเป็นภาษาจีน ทุกคนพูดจีนใส่เราแม้ว่าเราจะพูดภาษาอังกฤษใส่ก็ตามที





    เราเลือกเมนูแนะนำของทางร้าน คือมันก็เป็นชามแบบนี้แหละ แต่ต่างกันที่ท็อปปิ้งด้านหน้าว่าจะเป็นอะไร อย่างของเราที่หน้าตาเหมือนปาท่องโก๋เหี่ยวๆนี้คือหมูทอดจ้ะ ในชามนึงก็จะมีไข่ แฮม เห็ด เต้าหู้ ส่วนเส้นหน้าตาเหมือนเส้นขนมจีนเลย โดยรวมแล้วก็พอกินได้แต่ไม่ถูกจริตเท่าไรนัก



    แม้ใครจะบอกว่ามาถึงออสเตรเลียทั้งทีก็ควรจะไปร้านสเต็ก กินเบอร์เกอร์เนื้อแสนอร่อย แต่เรารู้สึกว่าการได้เดินเล่นย่านไชน่าทาวน์ กินอาหารที่คุ้นลิ้น เดินอยู่ในมวลหมู่ของมนุษย์ตาเล็ก ผิวเหลือง ดูดชานมไข่มุกไปตามทางทำให้รู้สึกว่าเราได้ใกล้บ้านขึ้นมาอีกนิดนึง a home away from home นั่นแล











    พอกินเสร็จเราก็เดินเล่นกุ๊กกิ๊กนิดหน่อย กะว่าจะไป St. Kilda Beach เพราะได้ยินมาว่าตอนเย็นๆจะมีเพนกวินเดินมาแถวๆท่าเรือ แต่ด้วยความเหนื่อยประกอบกับวันรุ่งขึ้นต้องตื่นไปโอ๊คแลนด์ตั้งแต่ตีห้า เลยแค่ไปเดินเล่นริมแม่น้ำ Yarra เฉยๆ




































    อาการโหยหาต้นไม้สีเขียว







    แม้ว่าตอนนี้อากาศที่ดูไบจะค่อนข้างหนาว (16 องศาเซลเซียส)
    แต่เรารู้สึกว่าเราไม่สามารถสูดลมหายใจเข้าปอดได้อย่างเต็มที่ยังไงก็ไม่รู้สิ
    ที่นั่นมีแต่ฝุ่นทรายเต็มไปหมดเลย






    เรากลับมาถึงโรงแรมเวลาสองทุ่ม ข้างนอกยังแดดจ้า ฟ้าใสเหมือนบ่ายสอง เรากลับมาอาบน้ำ เฟสไทม์คุยกับคนที่ไทย และนอนไปตอนตีสามเพราะนอนไม่หลับเนื่องจากเวลาที่ต่างกัน 7 ชั่วโมงจากดูไบทำให้เราปรับตัวไม่ค่อยได้และตื่นมาแต่งตัวไปโอ๊คแลนด์ตอนตีห้า
















  • Kia Ora Auckland - 1 February 2017


    ไฟล์ทจากเมลเบิร์นมาที่โอ๊คแลนด์เป็นไฟล์ทสั้นๆประมาณสามชั่วโมง เรามาถึงโอ๊คแลนด์ประมาณบ่ายสามเพราะเวลาที่นี่ต่างจากออสเตรเลีย 3 ชั่วโมง เปลี่ยนไทม์โซนกันอีกแล้วล่ะ



    พอทำไฟล์ทมาที่ออสเตรเลีย - นิวซีแลนด์บ่อยๆก็เริ่มรู้สึกว่าผู้โดยสารชาวนิวซีแลนด์น่ารักและใจดีกว่าออสซี่เยอะเลยแหละ คือจริงๆออสซี่ก็ดี แต่ชาวกีวี่นั้นใจเย็นกว่ากันมากกกกกก สมมติอย่างเวลามีปัญหาบนเครื่อง ผู้โดยสารชาวออสซี่จะคอมเพลนทันทีและดราม่าใหญ่โตพอสมควร แต่สำหรับชาวกีวี่ผู้น่ารักแล้วจะค่อยๆบอกอย่างสุภาพ ฮือออ น่ารักจัง♡

    เอาจริงๆนะ ทุกคนที่ทำงานเกี่ยวกับการบริการทั้งหลาย ไม่จำกัดเฉพาะว่าเป็นอาชีพลูกเรือ เราว่าทุกคนล้วนมีจิตใจรักงานบริการทั้งนั้นแหละ เรายินดีที่จะช่วยเหลือผู้โดยสาร/ลูกค้าของเราเสมอ แต่จะดีมากถ้าทุกคนพูดกับเราดีๆ ถ้าทุกท่านอยากได้อะไรและสิ่งนั้นไม่เกินความสามารถของเราก็จะพยายามหามาให้นะ แค่พูดว่า Please กับ Thank you ก็ดีใจแล้วล่ะ

    เพราะฉะนั้น อย่าหัวร้อนหรือดราม่าใหญ่โตเลย พูดกันดีๆก็ได้นะจ๊ะ :D










    ตอนแรกเรากะว่าจะไปกินปิ้งย่างเกาหลีเหมือนอย่างเคย เดินเล่นจิบชาอ่านหนังสือไปเรื่อยๆแต่ลูกเรือคนอื่นชวนไป Waiheke Island ไหนๆก็มาแล้ว ไปก็ไปวู้ย



    จากโรงแรม เราเดินลงเนินไปที่ท่าเรือ ซื้อตั๋วไปที่เกาะ และออกมาหาของกินแถวๆนั้น






    ตรงข้ามกับท่าเรือมีคาเฟ่เล็กๆน่ารักอยู่แหละ มีขายกาแฟ ขนมนิดหน่อย และคราฟเบียร์ รวมถึง Lord of Fries ด้วย!
























    เราสั่งฮอทดอกมังสวิรัติมากับเฟรนฟรายที่เป็นมันหวาน อร่อยมากเลย ฟินนนน








    ห้าโมงเราก็เดินขึ้นเรือ มุ่งไปยังแกรนด์ไลน์! ผิดดดดดดดดด
    (ภาพจากนี้คือการสาดฟิลเตอร์ HB2 ใน VSCO มันเลยดูทึมๆลงมา แต่คือมันมู้ดนี้อะแก จริงจริ๊ง)












    ภูมิทัศน์ The Lord of the Rings มากๆ เห็นภาพซ้อนเป็นซีนใน The Fellowship of the Rings
    ที่กำลังวิ่งหนีพวกออร์คกันอยู่ริมน้ำก่อนที่โบโรเมียร์จะตายอะ






















    และแล้วเราก็มาถึง Waiheke Island ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีจากโอ๊คแลนด์จ้า แวบแรกที่เราเห็นตัวเกาะ เพลง The Sciencist - Coldplay ก็ดังขึ้นในหัววนไปวนมา 












    เกาะนี้เป็นเกาะที่มีไร่องุ่นจำนวนมาก มีร้านอาหารเยอะแยะ แต่เพราะเราไปถึงตอนประมาณหกโมงเย็นทุกอย่างเลยเงียบสงบ กลายเป็นเกาะเหงาๆที่มีลมพัดเอื่อยๆพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆอ่อนลงทุกที








    จากตรงท่าเรือ เราเดินไปที่หาดที่ใกล้ที่สุดคือ Oneroa Bay ซึ่งจากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ ตรงนั้นจะมีหมู่บ้านเล็กๆ แกลลอรี่งานศิลปะ และร้านอาหาร







    เสื้อสีส้มของคุณป้าตัดอารมณ์ความเหงาของเกาะนี้มาก











    ถ่ายโดยไอโฟนหกที่แบตเสื่อม












    เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอร้านเช่าสกู๊ตเตอร์ ร้านขายของจิปาถะ ซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ และร้านอาหาร































    เราตัดสินใจไม่นั่งกินข้าวในร้านอาหาร แต่ไปซื้อแซนวิชกับนมจากซุปเปอร์มาเก็ตมานั่งกินริมทะเลชิวๆ เป็นบรรยากาศที่สบายๆ นั่งดูคนเดินไปมา หมาวิ่งเล่นไล่จับกับเด็กๆ อยากมีชีวิตแบบนี้มาก อยากย้ายมาอยู่ที่นี่เลยแหละ ฮา
























    อะเสียงเปียโนมา
    Come up to meet you, tell you I'm sorry. You don't know how lovely you are. 
    รูปนี้นี่แหละคือคำอธิบายว่าทำไมเพลงนี้ถึงวนอยู่ในหัว






    ไหนๆก็พูดถึงเพลงนี้แล้ว เปิดเพลงนี้ฟังไปพร้อมๆกันด้วยก็ได้นะ










































    ระหว่างเล่นชิงช้าที่ไม่ได้เล่นมานานแล้ว อยู่ๆก็นึกถึงซีนหนึ่งในหนังเรื่อง After the storm ของ Hirokazu Koreeda ขึ้นมาได้




    "What did you want to be?"
    "Are you who you wanted to be?"



    เราโตมาเป็นผู้ใหญ่แบบที่เราอยากเป็นรึเปล่า...










    ระหว่างทางกลับเราไปแวะชายหาดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคือหาด Black pool เพราะอยากหาจุดนั่งดูพระอาทิตย์ตก แต่การคาดคะเนของเราผิดพลาดไปนิดนึง เพราะจุดที่ดูพระอาทิตย์ตกได้ชัดที่สุดคือต้องกลับไปที่ท่าเรือนั่นแหละ









    นี่คือเวลาประมาณทุ่มครึ่ง จุดตรงนี้ฟ้าใสกว่า หาดตรงนี้กว้างกว่ามากแต่เต็มไปด้วยหิน และคิดว่าเลยไปก็เป็นเขตน้ำลึกเลยเพราะเรือใบจอดกันเต็มไปหมด ทั้งชายหาดไม่มีคนอื่นอยู่เลย












    คนอื่นกำลังถ่ายรูปกันใหญ่ ไม่สนพระอาทิตย์ตกกันแล้วล่ะ











    ด้วยรักจากเกาะเหนือแห่งนิวซีแลนด์











    พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าตอนเวลาประมาณสามทุ่ม เรานั่งเรือฝ่าลมแรงกลับมาที่โอ๊คแลนด์























  • With love from 16,500 ft. - 2 February 2017



    วันนี้เราตื่นประมาณเก้าโมง ลงมากินอาหารเช้าตามปกติและเตรียมตัวเตรียมใจไปสานความฝันในชีวิตอีกข้อนึง... Skydive in Auckland!!




    รถมารับเราตอน 11 โมงและขับพาเราออกไปนอกเมืองประมาณ 45 นาทีก็มาถึงที่หมาย แดดจ้า ฟ้ามีเมฆเป็นบางส่วนแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค์ใดๆในการดิ่งพสุธาของเรา







    เมื่อมาถึงแล้วจะมีเจ้าหน้าที่พาเราไปบรีฟเกี่ยวกับระดับความสูงที่เราอยากจะโดด เริ่มจาก 9,000 ft. ที่จะมีเวลาในการดิ่ง 30 วินาที 13,000 ft. สำหรับ 45 วินาที และ 16,500 ft. ซึ่งเป็นสูงสุดเท่าที่จะดิ่งได้ในเกาะเหนือของนิวซีแลนด์ กับระยะเวลาในการดิ่ง 75 วินาที


    แน่นอนว่าไหนๆก็มาแล้ว เราก็เลือก 16,500 ft. ไปเล้ย สูงที่สุด นานที่สุด เอาให้คุ้มไปเล้ยยยย


    เมื่อเลือกแพ็กเกจการดิ่งแล้วก็มานั่งดูวีดีโอเกี่ยวกับความปลอดภัยต่างๆ จากนั้นก็เปลี่ยนชุดและไปเจอกับบัดดี้ของเรา








    บัดดี้ของเราชื่อ มิค ใจดีมาก ชอบประเทศไทยมากโดยเฉพาะเกาะพะงัน (แหม่...) คอยถามไถ่ให้คลายความกังวลอยู่เสมอ ชวนคุยไปเรื่อยๆระหว่างที่เดินไปที่เครื่องบิน

    ตอนนั้นคือเรายิ้มสู้ ย้อนกลับไม่ได้แล้วอะ ยังไงก็ต้องไป ยังไงก็ต้องทำ เอาว้อยยยยย เราไม่ใช่แมวและไม่ได้มีเก้าชีวิต เราเกิดมาแล้วตายได้ครั้งเดียว เพราะงั้นเอาให้สุดดดดดดดดด #YOLO มากๆ










    ยอมรับว่านี่คือเป็นการขึ้นเครื่องบินที่ตื่นเต้นและกลัวที่สุดเท่าที่เกิดมาจนมีอายุครบ 24 ปี หนาว สั่น มือเย็นเป็นน้ำแข็งไปหมด กลิ่นน้ำมันคละคลุ้ง เสียงเครื่องยนต์ดังมาก แต่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังกว่า โอ้ยยย นี่เราจะทำสิ่งนี้จริงๆหรอวะ ก็พยายามมองฟ้ามองเมฆทำจิตใจให้สงบต่อไป...








    ฝืนยิ้มให้กล้องแต่แววตาเป็นกังวล คิ้วขมวดอยู่ในที ในใจคือมาถ่ายอะไรตอนนี้ว้อย ทำสมาธิอยู่






    ด้านหน้าของเรามีคนที่โดดก่อนที่ระดับความสูง 9,000 ft. ตอนที่เขาเปิดประตูแล้วลมเย็นวูบเข้ามา จังหวะนั้นคือฉิบหายแล้ว คนนั้นร่วงลงไปแล้วววววววววววว และจากนั้นก็เป็นพวกที่โดด free fall ของแท้ที่แต่งตัวเหมือนกระรอกบิน(เหมือนจริงๆนะ) ซึ่งคนข้างหน้าเราชื่อ เบน หันมายิ้มแฉ่งและ fist bump หนึ่งที่และหงายหลังโดดลงไป







    เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

    เขาร่วงลงไปแล้วว้อยยยยยยยยยยยยยยยย






    เครื่องบินไต่ระดับขึ้นไปอีกซักพัก มิคก็เอาหน้ากากออกซิเจนมาให้ใส่ ตอนนั้นเริ่มใจหวิวๆ มือไม้อ่อน ต่อไปแม่งตากูนี่หว่า ตาย ตาย ตาย กูตายแน่ๆ มิคเริ่มก๊อกแก๊กติดอุปกรณ์และให้เราใส่แว่นตากันลมก่อนหันมาบอกว่า ตอนนี้เราตัวติดกันแล้วนะ ไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน Please take me with you!  ก่อนจะหัวเราร่าและเปิดกล้องโกโปรถามว่าเรารู้สึกยังไง ตื่นเต้นมั๊ย อยากบอกอะไรกับเพื่อนและครอบครัวมาก


    วินาทีนั้นเราแว้บคิดถึงแค่คนๆเดียวเท่านั้น



    " I love you mom!! "


    เราตะโกนแข่งกับความดังของเครื่องยนต์และยิ้มร่าให้กับกล้อง










  • เครื่องบินขึ้นมาถึงระดับ 16,500 ft. มิคให้สัญญาณว่าเราต้องไปที่ประตูนะ ตอนนั้นเรามือไม้อ่อนแรงไปหมด จังหวะที่นั่งลงตรงพื้นเครื่องและขาลอยละล่องอยู่กลางอากาศเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนไปหนึ่งวินาทีก่อนที่จะรู้ตัวอีกทีว่าเอ๊ะ... นั่นเครื่องบินที่นั่งมานี่หว่า วินาทีถัดมาคือพลิกตัวและสิ่งที่เห็นด้านหน้าคือ เชี่ยยยยยย นั่นคือพื้นดินนนนนนนนนนนนนนน





    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด




    ลืมหมดหมดทั้งโลก ลืมหมดว่าจะต้องทำหน้ายังไงใส่กล้อง จะโพสต์ถ้าไหนให้ดูคูล ถ่ายรูปออกมาลงไอจีแล้วดูดี ไม่! จุดนั้นคือกรีี๊ดอย่างเดียว กรีี๊ดจนปอดจะออกมาแล้วก็ยังกรีี๊ดต่อไป กรีี๊ดจนหมดลมแล้วแต่ปากยังอ้าอยู่แบบไม่มีเสียง พี่ตูนอยากเห็นคนไทยบินได้ วันนี้เราบินจริงๆแล้วว้อยยยยยยย แตะขอบฟ้าแล้วววววววววว





    รูปเดียวที่ยิ้มจากห้าสิบกว่ารูปที่แหกปากกรี๊ด





    เป็น 75 วินาทีที่สนุกมาก เป็นช่วงหนึ่งในชีวิตแต่แม่งเอ๊ย สุดยอดดดดดดดดดดด แต่ปวดหูสุดๆและรู้สึกว่ากระดูกทั่ง ค้อน โกลน กำลังสั่นระริก แก้วหูลั่นเปรี๊ยะตลอดเวลา เราพยายามที่จะเคลียร์หู (ถ้าดูจากคลิปคือทำหน้าตาเหมือนจะอ้วก แต่เปล่าเลย นั่นคือปวดหูพยายามฮึบเคลียร์ความดันในหูอยู่นะจ๊ะ -- ดูคลิป โปรดจิ้ม -> ด้วยรัก...จากทะเลทราย แล้วไปดูตรงวีดีโอนะค๊า)


    พอกระตุกร่มแล้วค่อยชิวหน่อย นั่งแกว่งมองฟ้ามองวิวไปเรื่อยๆ มีเวลามาปรับความดันในหูแล้วเลยไม่ค่อยปวดมากเท่าไร พอถึงพื้นแล้วดีใจมากกกก ไม่เคยรักพื้นดินขนาดนี้มาก่อน กระโดดหย่องแหยง I did it อยู่กับมิค



    โอ้ย เกิดมาชาตินี้คุ้มค่าแล้ว มีเรื่องไปเล่าให้ลูกหลานฟังแล้วว้อยยยยยย โอ้ยยย พีคคคคคคค





    เรารีบกลับมาโรงแรม อาบน้ำ แต่งตัวและไปบินต่อเลยด้วยจิตใจหวาดหวั่นว่าไปบินแล้วหูเราจะเป็นอะไรรึเปล่าว้า แต่ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทำเซอร์วิสแบบงงๆนิดหน่อยเพราะยังมึนอยู่ พอถึงเมลเบิร์นก็สลบเลยจ้า








  • Hello again Melbourne - 3 February 2017



    เรากะว่าจะตื่นแต่เช้า ไปเดินเล่นที่ Queen Victoria Market แต่ก็ล้มเลิกเพราะตื่นไม่ไหว รู้สึกตัวอีกทีตอนประมาณบ่ายโมงเลยออกไปหาของกินตามเคย คราวนี้ไปกินซีอิ้วผัดขี้เมาที่ร้านกินข้าว ซื้อวิตามินนิดหน่อย (พื้นที่โฆษณา ​- รับหิววิตามินจากออสนะจ๊ะ ราคากันเอ๊ง) และมานั่งเล่นในสวนข้างโรงแรม


























    มาเดินริมแม่น้ำอีกแล้วล่ะ มีร้านคาเฟ่บรรยากาศดีๆมากมาย ช๊อบชอบ รอบหน้าจะมานั่งแหละ
























    ชอบสวนที่นี่มากเลยแหละ กว้างใหญ่ มีป้ายให้ระวังอย่าให้อาหารตัวพอสซั่มด้วย :)























    ตรงนี้คือ Cook's Cottage มีให้เช่าชุดโบราณถ่ายรูปด้วย คนจีนเต็มไปหมดเลยล่ะ








    เรากลับมาที่โรงแรม พยายามจะนอนหลับก่อนไปทำไฟล์ทยาวแต่ก็ไม่หลับแหะ นอนมองเพดานนิ่งๆไปจนกระทั่ง wake up call ทำไฟล์ทยาวนาน 14 ชั่วโมงกลับมาที่ดูไบในสภาพซอมบี้หมดเรี่ยวแรง แต่พอเจอกล้องก็ดี๊ด๊า ถ่ายรูปร่วมกับเพื่อนร่วมไฟล์ทจ้า




    อินเดีย ฮังการี เกาหลี ไทย สโลวาเกีย





    จบแล้วกับทริปยาวๆ การดิ่งพสุธาครั้งแรกในชีวิต (ซึ่งน่าจะมีอีกเป็นครั้งที่สองแหละ ฮิฮิ)
    ขอบคุณที่ติดตามกันมาร่วมหนึ่งปีแล้ว ฮูเร่

    รอบหน้าจะไปไหน โปรดติดตามนะจ๊ะ




    (ไปกดไลก์เฟสบุ๊คกันด้วยเด้อ)





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in