เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
ด้วยรัก…จากซีแอตเทิล
  • 25 July 2021


    สวัสดีซีแอตเทิล



    เรากลับมายืนที่จุดเดิม ณ สะพานข้ามถนนด้านหลังโรงแรม พร้อมกับมองภาพของ Mount Rainier ที่อยู่ไกลออกไป แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงกึ่งกลางของฤดูร้อนที่ท้องฟ้าแจ่มใส แดดจ้า และพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าช้ากว่าที่เคย แต่บนยอดเขาก็ยังมีหิมะปกคลุมอยู่ มองแล้วดูงดงามเช่นเดิม

    ภาพนี้เป็นภาพเดียวมุมเดิมกับที่เราเคยมาสัมผัสที่นี่ เมื่อฤดูร้อนในปี 2014

    สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง…






    ตอนนั้นเราจำได้ว่าเราเดินขึ้นเขาแบบหอบไปบ่นไปที่ Kerry Park เพราะคนที่มาด้วยบอกว่าจะพาไปชมวิวอะไรซักอย่าง ไม่น่าจากตอนนี้ที่เรากำลังสาวเท้าเดินต๊อกแต๊กขึ้นเขาไปตาม Madison Street ผ่านย่าน First Hill ไปที่ Pike/Pine


    สองเท้าก้าวไป ใจก็นึกถึงเรื่องเก่า เพราะไม่ว่าจะมาที่นี่กี่ครั้งกี่หนก็ไม่พ้นที่จะชอบคิดเวียนวน พาตัวเองย้อนกลับไปยังวันวานเมื่อครั้งเดินทางผจญภัยลัดเลาะไปตาม West Coast


    จากแอลเอ ซานดิเอโก ลาสเวกัส สู่ซีแอตเทิล (ต่อด้วยพอร์ตแลนด์ และปิดท้ายที่ซานฟรานซิสโก) การเดินทางครั้งนั้นเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของชีวิตที่เป็นจุดเปลี่ยนให้เราก้าวเดินไปตามทางที่หัวใจเลือกปรารถนา เราได้พบเห็นอะไรมากมายระหว่างทาง เก็บเกี่ยวความทรงจำดี ๆ เก็บเอาไว้ในใจมากมาย ประกอบกับได้เรียนรู้อะไรในชีวิตหลาย ๆ เรื่อง


    หากเป็นเมื่อก่อนก็คงไม่พ้นที่จะคิดถึงเรื่องความรักที่ผ่านพ้นไปกับคนใกล้ใจที่เคยมาที่นี่ด้วยกัน แต่ในวันนี้ สิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดคือการเติบโตของตัวเอง ในทริปนี้เราเลยเลือกที่จะเดินย้อนตามรอยเท้าของตัวเองเมื่อหกปีก่อน ย้อนกลับไปดูว่านับจากวันนั้นเป็นต้นมา การเดินทางของเราเป็นอย่างไรบ้าง












  • ซีแอตเทิลที่รัก ระหว่างที่กำลังเดินขึ้นเขามาจนถึง Broadway มุ่งหน้าไปยังร้านขายอุปกรณ์ศิลปะที่หมายตาเอาไว้ เราหวนนึงถึงคำกล่าวที่ว่า “ชีวิตของคนเราก็เหมือนกับการเดินขึ้นภูเขา” 

    บนยอดเขานั่นคือจุดหมายปลายทางที่ฝันใฝ่ สิ่งที่ทำได้คือต้องอดทนฝ่าฟันเพื่อเดินขึ้นไป แม้ว่าจะเหนื่อยบ้าง ล้มลุกคลุกคลานบ้าง หรือเจอทางที่ลำบากก็ขอให้ตั้งมั่นไว้แล้วไปให้ถึง จะช้าจะเร็วก็สามารถพิชิตยอดเขานั้นได้แน่นอน

    เมื่อก่อน เราก็มีคิดแบบนั้นเช่นกัน อยากเดินไปให้ถึงยอดเขาที่ใฝ่ฝันโดยเร็ว อยากประสบความสำเร็จได้ไว เลยทุ่มเทพยายามอย่างสุดความสามารถจนพาตัวเองไปถึงจุดนั้นได้ แต่บ่อยครั้งกลับรู้สึกว่าเมื่อเดินไปจนถึงปลายทางแล้วมันกลับรู้สึกว่าเปล่าอย่างไรพิกล หรือบางทีที่กำลังรีบเดินด้วยใจอันสุดแสนจะมุ่งมั่นอยู่นั้น มันมีความเหนื่อย มันเกิดความท้อ แต่ก็ทนถูลู่ถูกังพาตัวเองให้ก้าวต่อไปเพราะกลัวว่าจะตามคนอื่นเขาไม่ทัน ตลอดจนในบางครั้งก็ถอดใจเลิกเดินไปเสียดื้อ ๆ เนื่องจากหมดแรงกาย หมดกำลังใจไปเรียบร้อยแล้ว


    เมื่อเราเติบโตขึ้นและมองเห็นโลกในมุมที่กว้างกว่าเดิมทำให้เรียนรู้ได้ว่าจริงอยู่ที่เรามียอดเขาในใจที่ต้องพิชิต เพราะนั่นคือความฝันที่อยากทำให้สำเร็จ แต่การโบยตีตัวเองเพื่อขึ้นสู่ยอดเขานั้นมันไม่ใช่ทางที่ถูกต้องนัก หากรู้สึกเหนื่อยจงหยุดพักหันมานั่งมองฟ้า มองดอกไม้รายทางก็ได้ ไม่เป็นไร ตลอดจนก้าวเดินต่อไปในจังหวะของตัวเองโดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร

    แม้อาจจะทำได้ยากเนื่องจากในกระแสสังคมในปัจจุบันนั้นมุ่งเน้นเรื่องผลลัพธ์ ความสำเร็จที่วัดค่าได้เป็นตัวเลข รวมถึงไลฟ์สไตล์ที่คนเราจะต้องใช้ชีวิตให้สุดแสนจะ productive หากไม่ทำตามสูตรสำเร็จดังกล่าวแปลว่าเราจะกลายเป็นผู้ที่ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง เป็นคนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ห่วยแตก และไม่มีความสุข


    แต่เราจะมีความสุขจริง ๆ หรือหากใช้ชีวิตไปตามแบบนั้น
















  • เราพาตัวเองเดินลัดเลาะมาจนถึงจุดชมวิวบน Pier 66 พลางถอดทอนหายใจ มองท้องทะเลที่เป็นประกายระยิบระยับเมื่อเกลียวคลื่นต้องแสงตะวันยามเช้า แม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่พอได้ไปยืนอยู่ตรงที่เก่าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความทรงจำมากมาย มันอดไม่ได้ที่จะย้อนคำนึงถึงเรื่องของ “ความรัก”

    เมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องราวของความสัมพันธ์ที่ผ่านมาขณะที่เดินเลียบท่าเรือไปเรื่อยๆ ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาทิ้งบทเรียนเอาไว้ว่า ความรักที่เกิดขึ้นและจบไปในแต่ละครั้งมีสอนให้เรารู้จัก “รัก” ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป อย่างในช่วงวัยที่ดวงตายังเป็นประกายแห่งไฟฝัน ความรักในยามนั้นช่างงดงาม ขอเพียงแค่มีกันและกัน ทุกอย่างรอบตัวก็พลันสดใส สวยงาม

    หากเอามาพิจารณาเปรียบเทียบกันกับตอนนี้ แม้ดวงใจจะมีรักเช่นเดียวกัน แต่ลึก ๆ ลงไปนั้นมันก็มีความแตกต่างในรายละเอียดอยู่ไม่น้อย ถ้าพูดกันตามตรงด้วยความสัตย์จริง ในความรักมันมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ความมั่นคงในชีวิต ตลอดจนทัศนคติ ความคิดความอ่าน และการใช้ชีวิต

    เมื่ออายุมากขึ้น เราคิดมากขึ้น เมื่อนึกจะรักใครสักคน
    เรามีความกลัวมากกว่าเดิม เพราะใจนึกขยาดกับความเจ็บปวดหากมีเรื่องที่ต้องเสียใจ

    เรานึกถึงตัวเองมาก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ได้ทุ่มเทพลังกายและพลังใจให้แก่ความรักเหมือนครั้งที่ผ่านมา (ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่มีอีกแล้วที่จะกลับเมืองไทยภายในสองสามวันเพียงเพื่อไปนั่งกินข้าวเย็นกับคนรักแล้วต้องรีบวิ่งมาขึ้นเครื่องบินกลับเมืองทะเลทราย) และเราเรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่เคยทำในความสัมพันธ์ครั้งก่อน พร้อมกับสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำผิดซ้ำซากในเรื่องเดิมอีก ตลอดจนเรียนรู้ที่จะปล่อยมือจากความรู้สึกผิดในอดีต ค่อย ๆ ให้อภัยตัวเองทีละนิดทีละหน่อย ควบคู่กับพยายามประคับประคองความรักที่มีในตอนนี้ให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ


    การมีความรักว่ายากแล้ว แต่การประคับประคองให้มันยืนยาวนั้นยากกว่าจริง ๆ






















  • หลังจากที่ยืนเล็งมุมถ่ายรูป Space Needle ให้ได้มุมเดิมกับที่เคยยืนถ่ายรูปเมื่อปี 2014 เราก็พบจุดที่คิดว่าใกล้เคียงมากที่สุด ไม่แน่ใจว่าเพราะเวลาผ่านมาหกปีแล้วต้นไม้ภายในสวนเลยมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม หรือเพราะเลนส์กล้องที่แตกต่างกัน ทำให้ภาพออกมาไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไรนัก




    ภาพปัจจุบัน












    ภาพเมื่อปี 2014




    หากมองย้อนกลับไปในทุก ๆ การตัดสินใจเมื่อในอดีต เราไม่มีอะไรที่รู้สึกเสียใจหรือเสียดายที่ไม่ได้ทำ ตั้งแต่ตอนที่คิดว่าเอาล่ะ ฉันจะไม่ฝึกงานแต่จะมา Work and Travel แทน เลือกที่จะมาเที่ยวที่นี่แทนที่จะไปนิวยอร์กแบบคนอื่น ตลอดจนเมื่อเรียนจบแล้วก็เก็บผ้าหอบผ่อนมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองทะเลทราย กลั้นใจไม่ลาออกจนกระทั่งตอนนี้ที่มายืนกระพริบตาปิ๊ง ๆ สู้แสงแดดหน้า Space Needle


    วันที่ชีวิตเดินทางมาถึงทางแยกสำคัญที่จะต้องเลือกเดินไปทางไหน เราเป็นคนตัดสินใจกำหนดเองทั้งหมด และไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกอยากย้อนกลับไปแก้ไข นี่คงเป็นหนึ่งในความรู้สึกภาคภูมิใจไม่กี่เรื่องที่มีต่อตนเอง


    ในวัยเด็ก เราดูเหมือนจะเป็นคนหัวอ่อน เดินต๊อกแต๊กไปตามทางที่ผู้ใหญ่วางไว้ให้ด้วยความรักและปรารถนาดี ไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบอะไร ถนัดเรื่องไหน เพราะไม่เคยออกไปเรียนรู้และทดลองใช้ชีวิตนอกเส้นทางที่ขีดไว้ ประหนึ่งว่าได้รับการถูกตั้งโปรแกรมไว้เรียบร้อยแล้วว่าโตขึ้นจะต้องเรียนอันนี้ ทำอาชีพนี้ เดินทางไปตามนีี้แล้วชีวิตจะมีความสุขความเจริญ เป็นที่นับหน้าถือตา ทำให้ครอบครัวภาคภูมิใจ และเป็นเสาหลักให้กับครอบครัวต่อไปในอนาคต

    การเดินทางในครั้งนั้นจึงเป็นก้าวแรกที่เราขอออกนอกเส้นทางที่วางไว้เพื่อมาค้นหาตัวเองว่าจริง ๆ แล้วฉันคือใครกันแน่ มีความชอบแบบไหน อยากทำอะไรต่อไป อยากจะใช้ชีวิตใแบบไหน ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณทางครอบครัวที่สนับสนุนและอนุญาตให้มา (ตลอดจนเราตระหนักว่านี่คือ privilege ที่เรามีมากกว่าใครหลาย ๆ คนในสังคม เนื่องจากได้โอกาสและมีความพร้อมดังกล่าวนี้) เพราะหากไม่ได้มาที่นี่ เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าลึก ๆ แล้วเราสนุกกับการทำงานกับคนหมู่มาก มีความสุขกับงานในสาขาการบริการต่าง ๆ และรักในการเดินทางผจญภัย ประกอบกับสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำให้เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าเส้นทางที่วางไว้มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการอยากทำ

    จากคนที่ไม่มีความฝันอะไรนอกจากการเรียนจบไปเป็นผู้พิพากษา การเดินทางในครั้งนี้ได้จุดประกายเล็ก ๆ ขึ้นมากลางใจว่าโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่และมีอะไรรอให้ค้นพบอยู่มากมาย และชีวิตจะมีความสุขได้หากเราเลือกทำในสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ (อนึ่ง วนกลับมาในเรื่องของ privilege อีกครั้งที่ทำให้เราสามารถเลือกได้ด้วย)










    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราต้องพิสูจน์ตัวเองให้คนรอบตัวเห็นอยู่บ่อยครั้งว่าเส้นทางที่เราเลือกเดินนี้เป็นทางที่ใช่สำหรับเราจริง ๆ เพราะคนส่วนใหญ่ยังมองว่าการเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินนั้นเป็นอาชีพที่ทำได้ในระยะสั้นเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ไม่ยั่งยืน ไม่มั่นคง ไม่สามารถงานนี้ไปตลอดชีวิตได้ ประกอบกับสถานการณ์โควิดที่ผ่านมายิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าเส้นทางอาชีพนี้ไม่มีอะไรแน่นอน รวมไปถึงค่านิยมที่มองคนไม่เท่ากัน เห็นพนักงานบริการเป็นคนรับใช้ (ซึ่งก็มีบางคนที่ได้ดีเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองอยู่นะ) สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นแรงเสียดทานที่เราต้องเผชิญอยู่เสมอ

    เมื่อก่อนอาจมีน้ำโมโหอยู่บ้างเมื่อมีคนมาค่อนแคะในเชิงดูแคลนต่าง ๆ นานา แต่โดยส่วนตัวแล้วเรามีความคิดว่า อาชีพนี้ไม่ใช่เป็นนางฟ้าที่พิเศษใส่ไข่ไปมากกว่าคนที่ทำงานอื่น เราประกอบอาชีพสุจริตเพื่อหาเลี้ยงตัว ไม่ได้ไปเบียดเบียนหรือทำให้ใครเดือดร้อน สามารถดูแลตัวเองและครอบครัวได้โดยไม่ต้องไปพึงพาอาศัยใคร หากใครจะว่าอะไรก็สุดแท้แต่ใจของเขาเถิด









    แต่การพิสูจน์ตัวเองกับใครก็ไม่หนักหนาในใจเท่ากับคนในครอบครัว เพราะทุกครั้งที่กลับบ้านเราจะเจอกับชุดคำถามเดิม ๆ เกี่ยวกับเส้นทางชีวิตในอนาคตเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่เรามีความคิดว่าหากชีวิตนี้ตกลงใจแล้วว่าจากนี้จะไม่ทำงานประจำแล้ว ก็ไม่เห็นความจำเป็นจะต้องใช้ใบปริญญาเพราะเราเองก็ไม่ได้มีเรื่องที่อยากรู้ อยากศึกษาให้ลึกซึ้งถ่องแท้จริง ๆ และหากจะต้องเรียนเพื่อสร้างสถานภาพทางสังคมใด ๆ นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำ

    สิ่งที่เราชอบ สนใจอยากศึกษาไม่ได้อยู่ในหลักสูตร ประกอบกับโลกเต็มไปด้วยคลังความรู้มากมายที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ด้วยตนเอง แต่ในมุมมองของคนรุ่นเขา คนเราจะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องเดินจากจุด A ไป B และ C ตามลำดับเท่านั้น แต่ความเป็นจริงในโลกปัจจุบันที่มีทางเลือกให้เดินมากขึ้นกว่าเดิม ฉะนั้นคำว่า “ความสำเร็จในชีวิต” ของเราจึงมีความคลาดเคลื่อนกันอยู่พอประมาณ


    ไม่ใช่ตัวเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพร่ำบอกนั้นมาจากความรักและความปรารถนาดี อยากเห็นลูกเติบโตและก้าวเดินไปในเส้นทางที่สว่างไสวงดงาม เราตระหนักและซาบซึ้งในสิ่งที่ดี ๆ ที่เขาอยากมอบให้อยู่เสมอ แต่สิ่งที่อยากได้มากกว่านั้นคือความเชื่อใจ ไม่ต้องเข้าใจกันก็ได้ เพียงแต่ขอให้เชื่อว่าทางที่เราเลือกนั้นมันเหมาะสมกับตัวเรามากที่สุดแล้ว













  • หลังจากที่เดินไปคิดไปโดยไม่พัก เราหยุดแวะเพื่อทิ้งก้อนความคิดอันหนักอึ้งที่ Citizen Cafe ร้านกาแฟบรรยากาศดีที่อยู่ไม่ห่างจาก Space Needle เท่าไรนัก

    ย่านนี้มีชื่อว่า lower Queen Anne neighborhood ที่เต็มไปด้วย street art น่ารัก มีคาเฟ่และร้านอาหารกุ๊กกิ๊กมากมาย และสาเหตุที่เลือกร้านนี้เพราะเขามีพื้นที่ให้นั่งรับลมด้านนอกอาคาร

    บรรยากาศแบบนี้แหละคือสาเหตุว่าทำไมเราถึงรักซีแอตเทิลนัก ที่นี่ให้ความรู้สึกสบาย ๆ กำลังดี ไม่ต้องรีบร้อนแบบเมืองใหญ่ แต่ก็ไม่เฉื่อยจนรู้สึกว่าเราใช้ชีวิตเนิบช้าจนเกินไป มีพื้นที่สีเขียวให้พักผ่อนหย่อนใจ รวมถึงมีงานศิลปะตั้งอยู่ทั่วทุกมุมเมือง นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางเข้าถึงธรรมชาติป่าเขาได้ง่ายอีกด้วย


















    พูดถึงเมืองน่าอยู่แล้วก็อดคิดถึงชีวิตในภายภาคหน้าไม่ได้ แน่ล่ะ เราคงจะไม่อยู่ในเมืองทะเลทรายไปตลอดกาลและตลอดไปหรอก พอถึงจุดหนึ่งก็ต้องขยับขยายย้ายถิ่นฐาน ไม่ใช่ว่าเมืองทะเลทรายไม่ดี แต่มันไม่เหมาะสมแก่การอยู่อาศัยเท่าไรนักเนื่องจากสภาพอากาศในช่วงฤดูร้อนที่โหดร้ายเกินไปรวมถึงการใช้ชีวิตที่ห่างไกลจากธรรมชาติเหลือเกิน

    ยิ่งอายุมากขึ้น เราใช้ชีวิตให้ห่างไกลจากไลฟ์สไตล์ที่ระยิบระยับวับวาวมากกว่าเดิม เริ่มเข้าหาความสงบ อยากอยู่กับธรรมชาติ และใช้ชีวิตด้วยความเรียบง่ายมากขึ้น แต่ใช่ว่าจะปฏิเสธความเจริญและวัตถุไปเสียทั้งหมดนะ มันก็ต้องอยู่กันอย่างพอดี ๆ นั่นแหละ







    ช่วงที่ผ่านมานี้ เราห่างหายจากการเขียนด้วยรักฯไปนานพอสมควรและทุ่มเทเวลาไปกับการฝึกหัดวาดภาพระบายสีน้ำ สิ่งนี้เป็นกิจกรรมที่เราชอบและคิดว่าตัวเองก็พัฒนาความสามารถได้รวดเร็วพอตัว หากจะต่อยอดนำเอางานอดิเรกนี้มาทำให้เป็นอาชีพที่หาเลี้ยงตนในภายภาคหน้าก็จะดีไม่น้อย หากอยู่ในที่ที่สภาพแวดล้อมเหมาะสม อยู่ในที่ที่ผู้คนให้คุณค่าเรื่องงานศิลปะก็จะดีไม่ใช่น้อยเลย อะไรหลาย ๆ อย่างก็อาจจะง่ายขึ้นมาก

    จริงอยู่ที่มันดูเป็นเรื่องปลายน้ำไปเสียหน่อย เพราะหากเราเก่งและเจ๋งจริง อยู่ที่ไหนก็ขายงานได้ทั้งนั้น เนื่องจากปัจจุบันนี้ก็มีช่องทางออนไลน์มากมายในการรับวาดภาพคอมมิชชั่นต่าง ๆ ตลอดจนขายงานศิลปะ (รวมถึง NFT ที่บอกตามตรงว่าไม่ใช่ทางที่เราจะทำ) แต่นั่นแหละ เรามีความรู้สึกว่าเมืองทะเลทรายไม่ใช่สถานที่ที่เอื้ออำนวยให้เราเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่เราอยากจะเป็นได้ ตลอดจนการกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย ณ เวลานี้ก็ไม่น่าจะใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับเราเช่นกัน

    มันก็ดูเคว้ง ๆ อยู่เหมือนกันนะ สำหรับคนในวัย 29 ปีที่รู้สึกว่าความฝันมันช่างห่างไกลเหลือเกิน แถมยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีภาระด้านอื่น ๆ ตามติดมาเป็นเงา ครั้นจะเลือกคิดถึงแค่วงกลมห้าเมตรรอบตัวเองเพื่อตัดช่องน้อยแต่พอตัวก็ทำไม่ได้เสียแล้ว


    แต่หากเป็นไปได้ ถ้าสามารถย้ายมาอยู่ที่นี่ได้จริง ๆ ก็น่าสนใจไม่น้อยเลย









    ซีแอตเทิลจ๋า ก่อนที่เราจะโบกมือจากกันในวันนี้

    หากยังจำกันได้ ณ ตอนนั้นเรายืนมองหิมะบนยอดเขาที่อยู่ไกลลิบ ฟังเพลง Hello Seattle ของ Owl City ด้วยความตื้นตันใจว่าในที่สุดก็ได้มาที่นี่ตามที่ใฝ่ฝันไว้สำเร็จแล้วและหันบอกกับคนที่มาด้วยกันว่าเรามีความฝันอยากเดินทางรอบโลกให้ได้ก่อนอายุ 35 ปีให้ได้

    เพราะเรารู้สึกว่าโลกสีครามใบนี้ช่างกว้างใหญ่นัก มีอะไรมากมายรอคอยให้ออกไปพบเจอ แม้จะไม่สามารถเห็นให้ครบทุกซอกทุกมุมในหนึ่งช่วงชีวิตที่เกิดมา แต่ก็อยากออกไปสัมผัสให้ได้เยอะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เราเดินทางมาไกลเหลือเกิน ไกลกว่าที่เคยนึกฝันไว้เสียอีก และตอนนี้เราได้ย้อนกลับมาที่จุดชมวิวที่เดิมอันเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ฟังเพลง Hello Seattle อีกครั้ง และเล่าเรื่องราวของชีวิตที่ผ่านมาให้เธอฟัง

    แน่นอนว่าจากนี้เราก็ยังจะก้าวเดินต่อไป และหวังว่าวันใดวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า เราจะได้กลับมายืนอยู่ที่นี่อีกครั้ง และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เธอฟังอีกเช่นเคย


    รักเสมอ








Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in