เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
บอสตันและการพบกันของคนแปลกหน้า



  • 29 January 2020




    ทำไมถึงไปบอสตัน?



    เราตัดสินใจแลกเอาไฟล์ทนิวยอร์ก ซึ่งเป็นไฟล์ทสุดท้ายในการทำงานเป็นลูกเรือ Economy เปลี่ยนมาเป็นบอสตันแทนด้วยเหตุผลสองประการด้วยกันค่ะ นั่นก็คือ


    ประการแรก ในปีนี้ เรามีข้อตั้งใจเป็นปณิธานในการใช้ชีวิตอยู่ทั้งหมด 27 ข้อที่อยากจะทำให้ครบในช่วงวัย 27 ปี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเดินทางไปสถานที่ใหม่ ๆ อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง




    เพราะหลังจากการทำงานเป็นลูกเรือมา 4 ปีเต็ม
    เราพบว่าตัวเองหมดใจและหมดไฟลงไปเยอะมากเลย





    หากมิตรรักนักอ่านที่ติดตาม ด้วยรัก...จากทะเลทราย มาตั้งแต่ตอนต้น จะเห็นว่าเราหยิบยกเอาเรื่องราวระหว่างการทำงานมาเล่าสู่กันอ่านเป็นประจำสม่ำเสมอ แต่ในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา เราไม่ค่อยจะมีเรื่องใหม่ ๆ มาเล่าอีกแล้ว เพราะชีวิตการทำงานของเราในทุก ๆ เดือนคือการเลือกบินไฟล์ทที่ง่าย รู้ว่าไปถึงแล้วก็นอน ตื่นมาหาอะไรรองท้อง แล้วเดินไปซุปเปอร์มาร์เก็ต กลับมานอนต่อ ไม่มีความรู้สึกผิดว่าวันนี้อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส ฉันอยากจะออกไปทำนู่นทำนี่ข้างนอก



    ความกระหายที่อยากออกไปเห็นโลกให้ครบทุกด้านทุกมุมของจืดจางลงไปมากและถูกแทนที่ด้วยเรื่องของภาระหน้าที่ ในทุก ๆ วันที่เราออกไปทำงานนั้นก็เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวคือทำไปเพื่อรายได้ เพื่อเงินค่าบิน โดยที่ลืมนึกถึงว่า อะไรคือสิ่งที่เราคาดหวังและตั้งใจว่าจะได้จากการทำอาชีพลูกเรือ และอะไรคือจุดเริ่มต้นจริง ๆ ในการเลือกทำอาชีพนี้





    ที่น่าเศร้าก็คือ ตัวเราเองก็ใช้ชีวิตให้คืนวันผันผ่านไปโดยไม่ได้สังเกตว่าประกายไฟในดวงใจค่อย ๆ มอดลงทุกที จนมาฉุกคิดขึ้นได้ว่าเราจะกลายเป็นเพียงฟันเฟืองหนึ่งที่หมุนทำงานไปเรื่อย ๆ โดยปราศจากเป้าประสงค์ในการดำรงชีวิตจริงหรือ ใช้ชีวิตเพียงแค่กิน อยู่ ทำงานเพื่อให้ได้เงินมาเท่านั้นหรือ โดยที่เราไม่ได้มีหมุดหมายประจำใจในการดำเนินชีวิต ไม่มีความฝัน ไม่มีแรงบันดาลในอื่นใดนอกจากนี้เลยหรือ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงมันก็เป็นการใช้ชีวิตที่น่าเศร้า...

    เรามาระลึกขึ้นได้ว่าชีวิตคนเรามันช่างเปราะบางและแสนสั้นนัก ในขณะที่โลกนี้ช่างกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยความงดงาม ซึ่งในหนึ่งช่วงชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งคงจะไม่สามารถเห็นความงามเหล่านั้นครบถ้วน แต่เราอยากเห็น เก็บเกี่ยว และเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดค่ะ





    ส่วนประการที่สอง คือ ช่วงนี้ (นับตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมจนถึงเกือบจะปลายเดือนมีนาคมที่พวกเราต่างก็โดนปี 2020 ซัดกระหน่ำในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป) เรารู้สึกว่าอะไรในใจมันค่อนข้างวุ่นวายค่ะ โดยเฉพาะช่วงเดือนนี้และเดือนหน้าซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือเรื่องของหน้าที่การงาน



    เราค่อนข้างวิตกกังวลเกี่ยวกับการเป็นลูกเรือ Business Class พอสมควร แน่ล่ะ... การเติบโตในด้านหน้าที่การงานเป็นสิ่งที่เราเฝ้ารอ ความรู้สึกที่ว่าในที่สุดตัวเราหลุดออกจากความจำเจแบบเดิม ๆ ที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาตลอด 4 ปีเต็มและได้ทดลองทำอะไรใหม่ ๆ มีโอกาสเรียนรู้เพิ่มเติมเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ในขณะเดียวกัน การก้าวออกจากความเคยชินมันก็น่าหวั่นใจเช่นเดียวกัน


    ความวิตกดังกล่าวนี้เกาะกินและสูบพลังงานไปจากเรามากพอสมควรเลยทีเดียว ขอสารภาพตามตรงว่าโดยพื้นฐานจิตใจของเรานั้นเป็นคนคิดมาก ปลงไม่ลง ชอบเอาใจไปผูกอยู่กับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต ไม่ค่อยได้อยู่กับปัจจุบันขณะ ตลอดจนมีความคาดหวังในตัวเองสูง กลัวว่าจะทำไม่ได้ หรือถ้าทำได้ก็ทำได้ไม่ดี


    เมื่อสภาพจิตใจไม่ค่อยนิ่ง หากเราไปเจอกับเมืองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานมาก ๆ อย่างนิวยอร์คก็อาจจะไม่ใช่ช่วงที่เหมาะสมเท่าใดนัก บอสตันดูเป็นเมืองน่ารักกุ๊กกิ๊ก น่าจะมีความจุ๊ดจิ๊ดที่ดีต่อใจมากกว่านั่นเองค่ะ :)




     









  • สี่ปีผ่านไป สอนอะไรเราบ้าง?



    ไฟล์ทสุดท้ายของการทำงานเป็นลูกเรืออีโคนั้นเรียบร้อยสบายดีจนผิดปกติวิสัยของไฟล์ทอเมริกาอย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ ทั้งผู้โดยสารที่น่ารัก ลูกเรือก็ขยันขันแข็งช่วยกันทำงาน ตลอดจนซีเนียร์ใจดี มีสไตล์การทำงานที่ตรงกัน ฮูเร่!


    เราก็รับบทเป็นซังกุงห้องเครื่องตามเคย อยู่เหย้าเป็นนางเฝ้าครัว เพราะรักที่จะได้จัดแจงเตรียมของต่าง ๆ โหลดอาหารในเตาและจัดคาร์ท สิ่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งในความสุขของการทำงานเนื่องจากเราถือคติว่าครัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง การจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย เป็นระบบ มีระเบียบทำให้เพื่อนร่วมงานเริ่มทำเซอร์วิสได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เราคิดว่าการทำแกลลี่คือสิ่งที่เราทำได้ดีและมันมาพร้อม ๆ กับการสะสมประสบการณ์ หมั่นสังเกตครูลักพักจำมาจากลูกเรือคนอื่น ๆ ว่าต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง


    เช่นเดียวกับเรื่อง Medical case บนเครื่องที่เมื่อก่อนเราขยาดกับการจัดการเรื่องนี้ จำได้ว่าตอนเทรนนิ่งเพื่อเป็นลูกเรือ เราเครียดกับการเทรน medical มากกว่าเรื่องอื่น เพราะเราคิดว่าทุกวินาทีมีค่าในการช่วยชีวิตคนและเราจะทำพลาดไม่ได้ ซึ่งพอมาเริ่มบินจริง ๆ เรากลัวมาก ๆ หากมีผู้โดยสารไม่สบาย จะคิดว่าเอาแล้วไง ต้องจัดการอย่างไรดี ต้องทำยังไงต่อ แต่ในวันนี้เราได้รับอีเมลคำชมว่าเราดูแลผู้โดยสารที่ไม่สบายได้อย่างดี ช่วยให้ซีเนียร์ทำงานได้ง่ายและติดต่อกับแพทย์ภาคพื้นดินได้ทันเวลา (ตลอดจนจัดการแกลลี่ให้ทำเซอร์วิสไปได้พร้อมกัน)



    ไฟล์ทนี้ทำให้เราคิดได้ว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องของประสบการณ์ที่ผ่านการฝึกฝนทำซ้ำจนชำนาญ แรกเริ่มมันยาก แต่เราก็จะค่อย ๆ พัฒนาขัดเกลาตัวเองขึ้นไปเรื่อย ๆ ได้ในที่สุดค่ะ (note to self : ฉะนั้นขึ้นมาอยู่บิสเนสแล้วทำอะไรไม่ได้ก็ต้องใจเย็น ๆ ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ให้เวลาตัวเองได้เรียนรู้ ยอมรับข้อผิดพลาดและนำมาแก้ไข ตลอดจนไม่กดดันตัวเองมากเกินไปนะจ๊ะ)















  • บอสตันและการพบกันของคนแปลกหน้า







    เกือบ ๆ จะปลายหน้าหนาว ย่างเข้าช่วงฤดูใบไม้ผลิ
    แดดออกกำลังพอดี แต่อุณหภูมิอยู่ที่ 0 องศาเซลเซียส








    หลังจากที่เราสลบยาวตลอดคืนเพราะเหนื่อยจากการทำงานและการปรับเวลา วันนี้เราตื่นแต่เช้าและนั่งอูเบอร์เข้าเมืองเพื่อมาทานอาหารเช้าและจิบกาแฟที่ร้าน Kyoto Ogawa Coffee ค่ะ 















    ร้านกาแฟร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านยอดนิยมสำหรับคอกาแฟแห่งเมืองบอสตันค่ะ หากใครรักในการดื่มลาเต้ต้องห้ามพลาดเพราะบาริสต้าที่นี่มีรางวัล World Latte Art Championship ปี 2010 และ 2013 การันตีความดีงาม มาดื่มกาแฟแบบไม่ได้มาแค่ดื่มกาแฟ แต่มาเสพงานศิลปะที่สุดแสนจะละเมียดละไมที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมแห่งแดนอาทิตย์อุทัย อันเป็นบ้านเกิดของ Ogawa Coffe นั่นเองค่ะ (ซึ่ง...เราเป็นคนดื่มกาแฟดำ ก็เลยลองเมล็ดกาแฟ signature blend ของทางร้านค่ะ ดีงามมาก ๆ และเสียดายอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้สั่งลาเต้เพราะเราเคยชิน แง)

















    เรานั่งขีด ๆ เขียนสมุดบันทึกไปพร้อม ๆ กับจิบกาแฟและทานอะโวคาโดแซนวิชอยู่ซักพัก คุณ @oulepaca หรือ คุณหมอแพร ก็ยิ้มร่าเริงเดินเข้ามาทักทาย นี่คือการพบกันครั้งแรกของเราทั้งสองคน หลังจากที่ติดตามชีวิตของกันและกันผ่าน 280 ตัวอักษรในโลกทวิตเตอร์ค่ะ :) 



    เมื่อเราทวิตว่าปลายเดือนนี้เราจะบินมาที่บอสตัน คุณแพร (จากนี้จะเรียกแทนว่าพี่แพร) อาสาเป็นเจ้าบ้านต้อนรับ มาเป็นไกด์พาเดินเที่ยวรอบเมือง ทางเราก็ดีใจเพราะไม่ได้โดดเดี่ยวเดียวดายเป็นคนเหงาอีกต่อไปในทริปนี้ ฮูเร่!












  • Boston Tea Party ที่ไม่ใช่งานเลี้ยงน้ำชา



    เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมาย เราได้ยินชื่อ "Boston Tea Party" ครั้งแรก ๆ ก็น่าจะเป็นตอนที่เรียนวิชากฎหมายการคลังค่ะ และงานเลี้ยงน้ำชาที่บอสตันนี้ไม่ใช่งานเลี้ยงสังสรรค์รื่นเริงแต่อย่างใด แต่เป็นเหตุการณ์ที่จุดฉนวนนำไปสู่การประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกานั่นเองค่ะ








    Old South Meeting House  อาคารเก่าแก่ใจกลางเมืองบอสตัน
    จุดรวมพลการประท้วงของประชาชนที่ต่อต้านเจ้าอาณานิคมอังกฤษ





    มาจะกล่าวบทไปถึงผลพวงของสงครามระหว่างอังกฤษ กับฝรั่งเศส และอินเดีย ที่แม้ว่าอังกฤษจะไชโยโห่ฮิ้วเป็นผู้ชนะในสงครามทั้งสองครั้ง แต่ก็สูญเสียทรัพยากร หมดเนื้อหมดตัวเป็นเงินไปมหาศาล แต่ด้วยความที่ตัวเองเป็นเจ้าอาณานิคมผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน เพราะไม่ว่าดวงอาทิตย์จะส่องแสงไปที่ใด จะมีดินแดนของจักรวรรดิอังกฤษอยู่ที่นั่น ไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร เราก็ออกกฎหมายเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีสินค้างต่าง ๆ เพื่อไล่เบี้ยรีดเงินเอาเงินจากเหล่าอาณานิคมในแผ่นดินใหม่ก็ได้



    ตัดภาพข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ทางฝั่งของเหล่าอาณานิคมทั้ง 13 แห่งในอเมริกาที่ใช้ชีวิตจุ๊งจิ๊ง สร้างบ้านแปลงเมืองกันอยู่ก็งงว่าอิหยังของเจ้าอาณานิคมวะ No taxation without representation สิโว้ย ก็ในเมื่อไม่มีผู้แทนของชาวอาณานิคมนั่งอยู่ในสภา รัฐบาลอังกฤษจะมาเรียกเก็บภาษีไม่ได้และการกระทำดังกล่าวนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญของอังกฤษเองนะเฮ้ย


    แต่นั่นแหละ ทางอังกฤษก็แสร้งทำหูทวนลม ออกกฎหมายใหม่ ๆ ขึ้นมาบังคับขูดรีดจากชาวอาณานิคมอย่างต่อเนื่อง และแล้วอังกฤษก็ปิ๊งป่องเกิดไอเดียขึ้นมาว่าจะให้สิทธิ์แก่บริษัท East India ในการผูกขาดการนำเข้าใบชาสู่อเมริกา พร้อมทั้งจะยกเลิกเก็บภาษีสินค้าอย่างอื่นทั้งหมด ยกเว้นใบชาเท่านั้นและก็จะเก็บในอัตราที่น้อยลงม๊ากมากหากชาวอาณานิคมเซย์เยส


    ด้านชาวอาณานิคมก็ชิชะ เจ้าพวกเมืองผู้ดีจิบอาฟเตอร์นูนทีกับสโคน! เรารู้ทันนะ เพราะหากถ้าเรายอมรับการจ่ายภาษีนี้ก็เท่ากับว่ายอมรับว่ารัฐบาลอังกฤษมีสิทธิ์ในการเก็บภาษีจากอาณานิคม ไม่ได้การล่ะ เราก็คว่ำบาตรสินค้าไม่อนุญาตให้เรือจากอังกฤษเข้ามาเทียบท่ากันดีกว่า และเมื่อเรือขนชามาถึงเมืองบอสตัน ชาวอาณานิคมก็ร่วมใจบุกขึ้นเรือ โยนชาทิ้งทะเล เป็นเหตุให้เกิดการปะทะกันกับเจ้าหน้าที่อย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก ซึ่งนี่คือเหตุการณ์ต่อสู้สู่เส้นทางอิสรภาพและการสร้างชาติของสหรัฐอเมริกานั่นเองค่ะ









    Freedom Trail เส้นทางสู่อิสรภาพ
    ทางเดินลดเลี้ยวลัดเลาะผ่านใจกลางเมืองบอสตันเป็นระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร
    ซึ่งร้อยเรียงสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ 16 แห่งของสหรัฐอเมริกา
















    ทางเดินด้านหน้า Boston Latin School 
    ที่นี่เป็นโรงเรียนรัฐแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา

    ด้านหน้ามีรูปปั้นของ Benjamin Franklin อยู่ด้วยค่ะ















    Granary Burying Ground เป็นสุสานสำคัญในเมืองบอสตันค่ะ
    ที่นี่เป็นที่ฝังร่างของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์​ Boston Massacre
    รวมไปถึงบุคคลสำคัญที่มีส่วนในการร่างคำประกาศอิสรภาพอีกด้วย




















    ข้าง ๆ สุสานคือโบสถ์ Park Street Church ค่ะ





















    และนี่คืออาคาร Massachusetts State House ที่มียอดโดมสีทองวาววับอันเป็นเอกลักษณ์



















    สวน Boston Common ใหญ่ใจกลางเมือง
    เดิมทีเป็นที่ตั้งของกองทัพอังกฤษในช่วงปฏิวัติอเมริกา
    ปัจจุบันเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง ในฤดูหนาวมีลานสเก็ตน้ำแข็ง
    ส่วนในช่วงฤดูร้อนก็เป็นจุดนั่งเล่นปิ๊กนิกสำหรับคนทุกเพศทุกวัย





































  • Lobster of lunch!




    หลังจากที่เดินตากลมตากลมหนาวจนตัวสั่น มือไม้แข็งไปหมด เราก็พับเก็บการเดินเที่ยวชมเมืองสักครู่แล้วม้วนพับแขนเสื้อ ใส่ผ้ากันเปื้อนเพื่อเตรียมตัวทานอาหารกลางวันกันค่ะ















    พี่แพรพาเราเดินมาที่ร้าน Legal Seafoods  ร้านอาหารทะเลชื่อดังที่มีสาขามากมาย ตั้งกระจายอยู่โดยรอบ เป็นร้านอาหารที่เชิดหน้าชูตา แขกไปใครมาก็ต้องพามาลิ้มลองความอร่อยของร้านนี้ทั้งนั้น และเมนูขวัญใจประชาชนก็คือกุ้งล็อบสเตอร์ตัวโตเนื้อแน่นฉ่ำนั่นเองงงงงงง









    ตอนแกะอาจจะทุลักทุเลกันหน่อย แต่รับรองว่าอร่อยม๊ากมากเลยค่ะ
















    นี่ก็อร่อยม๊ากมากเช่นกัน ประทับใจค่ะ















    อยากกลับไปบอสตันอีกเพราะร้านนี้จริง ๆ ค่ะ
    เอาไปเลยสิบดาววววววววววววว






















  • บอสตัน - เมืองศูนย์รวมแห่งการศึกษาระดับโลก





    เมื่อท้องอิ่มเรียบร้อย พลังกายก็กลับมาใหม่ แรกเริ่มเดิมทีเราอยากจะไปเที่ยวชม มหาวิทยาลัย Harvard (ก็ชีวิตนี้เราอยากไปเห็น Harvard Law School สักครั้งหนึ่ง แค่หลังคาก็ยังดี ฮืออออออ) รวมไปถึง King Bhumibol Adulyadej Square ด้วย แต่ลมหนาวปลายเดือนมกราที่พัดผ่านมาบาดผิวอย่างไม่ปราณี ทำให้เราตัดสินใจล้มเลิกแผนการเดินทางและเลือกที่จะเดินเล่นไปเรื่อย ๆ ภายในตัวเมืองกันต่อค่ะ










    The Hancock Tower เป็นตึกที่สูงที่สุดในบอสตันและในเขตของรัฐนิวอิงแลนด์ค่ะ
















    Trinity Church เป็นหนึ่งในโบสถ์ใจกลางเมืองบอสตันที่มีสถาปัตยกรรมงดงาม
    สามารถซื้อตั๋วเข้าไปเดินชมงานกระจกสีด้านในได้อีกด้วย





















    Copley Square ลานกิจกรรมกลางเมือง
    และเส้นชัยของ Boston Marathon ก็อยู่ตรงนี้ด้วยค่ะ



































    Library of the city of Boston
    build by the people and dedicated to the advancement of learning.






    ห้องสมุดประชาชนประจำเมืองบอสตันเป็นสถานที่ที่เราชอบมากที่สุดเลยค่ะ  เนื่องจากเขาได้มีการอนุรักษ์ตัวอาคารเก่าไว้และมีส่วนขยายเพิ่มเติมเพื่อรองรับกับการใช้งานของคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้ทุกคนมีส่วนเข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้
















    เข้ามาภายในอาคารด้านหน้าก็ต้องร้องว้าวเพราะอลังการงานสร้างมาก ๆ เลยค่ะ ซึ่งงานสถาปัตยกรรมนี้เป็นสไตล์ที่เรียกว่า Beaux-Arts Architecture หรือ อเมริกันเรเนซองส์ ภายในมีรูปแกะสลักและจิตรกรรมฝาผนังที่สวยสดงดงามอยู่มากมายค่ะ

































































    อาคารด้านหน้าจะเป็นโซนเงียบให้เข้ามาอ่านหนังสือกันได้ มีโคมไฟพร้อม ปลั๊กไฟครบ และบรรยากาศชวนชวนให้นึกถึงห้องสมุดในฮอกวอตส์เลยค่ะ ตัวเราก็กรี๊ดอยู่ในใจ อยากมานั่งอ่านหนังสือตรงนี้กับเขาบ้าง









    มีมุมบาร์อยู่ชั้นล่างด้วยนะ
























    ถัดจากอาคารหลักด้านหน้าก็เข้าสู่ส่วนต่อขยายซึ่งเป็นอาคาร 10 ชั้น โดยออกแบบให้คงเส้นกรอบของอาคารเดิมเอาไว้ เนื่องจากเป็นการให้ตัวห้องสมุดมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับกับการใช้งานของประชาชนได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงมีพื้นที่เก็บหนังสือเพิ่มขึ้นอีกถึง 450,000 เล่มเลยทีเดียวค่ะ






    และเมื่อเข้ามาถึงอาคารด้านหลังจะพบกับห้องจัดงานนิทรรศการที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกับไปตลอดปี ประชาชนสามารถเดินเข้าไปชมได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเลยค่ะ และนิทรรศการที่กำลังจัดแสดงอยู่ในนี้มีชื่อว่า America Transformed ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องการเติบโตและการวางผังเมืองในสหรัฐอเมริกาค่ะ




    (ความเห็นส่วนตัว ข้ามไปก็ได้จ้า : Urban planing เป็นเรื่องที่เราสนใจมาก ๆ เพราะเราเชื่ออยู่เสมอว่า เมืองที่ดีจะไม่ทำร้ายคนเมือง ผังเมืองที่มีประสิทธิภาพจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากร ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์ให้เป็นไปในแนวทางที่ดีให้อยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนมากกว่าการบังคับใช้กฎหมายต่อตัวบุคคลโดยตรงเพียงอย่างเดียว และเมืองแต่ละเมืองมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกัน คนในแต่ละเมืองก็มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน ซึ่งเรามองว่ามันก็เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมรอบตัว นั่นก็คือเมืองที่เราอาศัยอยู่นั่นเอง เช่น ทำไมคนในเดนมาร์กและเนเธอแลนด์ถึงใช้จักรยานมากกว่าคนในเยอรมนี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการออกกฎหมายเกี่ยวกับภาษีรถยนต์ แต่ส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้คนหันมาใช้จักรยานเป็นจำนวนมากก็เพราะการออกแบบเมืองของโคเปนเฮเกนและอัมสเตอร์ดัมนั้นเอื้อให้กับประชาชนที่ใช้จักรยานมากกว่ารถยนต์นั่นเอง -- หากเขียนต่อก็คงจะยาว ขอตัดจบเพียงเท่านี้ก่อนนะคะ)






















    ตรงนี้คือน่ารักมาก เป็นมุมสำหรับเด็กค่ะ
    อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าเราชอบห้องสมุดที่นี่มาก
    เพราะไม่ว่าช่วงอายุไหนก็สามารถเข้ามาเรียนรู้ได้













    Geography and Map Reading Room
    นี่เป็นห้องที่เก็บรวมรวมแผนที่เก่าและหนังสือเกี่ยวกับแผนที่ค่ะ






























    แน่นอนว่ามีมุมของเด็ก ๆ อีกเช่นเคย

























    พ้นจากส่วนนิทรรศการมาแล้วเราก็จะเจอกับโถงหลักของอาคารด้านหลัง ซึ่งเป็นพื้นที่ของศูนย์การเรียนรู้ขนาดใหญ่สำหรับเด็กและวัยรุ่น ซึ่งมีความทันสมัย รองรับการใช้งานห้องสมุดในปัจจุยันได้ดียิ่งขึ้นค่ะ


























    มีคาเฟ่และห้องอัดรายการทีวีสดด้วยนะ :)



































  • ช็อกโกแลตร้อนอร่อยขึ้นเมื่อจิบยามอากาศหนาว




    เมื่อเราออกจากห้องสมุดแล้ว เดินมาอีกนิดนึงก็จะเจอกับเส้นชัยของ Boston Marathon ที่ตอนนี้เริ่มเลือนลางจากหายไปแล้ว











    แถวนี้มีร้านกาแฟและร้านอาหารปุ๊กปิ๊กน่ารักเรียงรายเต็มไปหมดเลย กุ๊กกิ๊กม๊ากมาก และพี่แพรก็พาเราเดินมาถึงร้าน L.A. Burdick Handmade Chocolate ค่ะ








     เนี่ย เห็นแล้วอบอุ่นหัวใจ













    ภายในร้านก็น่ารักมาก ๆ ค่ะ
    มีช็อกโกแลตให้เลือกซื้อเต็มไปหมดเลยยยยย แค่เห็นก็มีความสุขแล้ว
















    white hot chocolate ของพี่แพร
    และ dark hot chocolate ของเราค่ะ

    อร่อยมากกกกกก นุ่มนวลละมุนละไม
    ดื่มแล้วสุขใจ สัมผัสได้ถึงความ hygge ในดวงจิต
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่อากศหน๊าวหนาวแบบนี้
















    อร่อยจริงไม่ติงนัง เป็นร้านช็อกโกแลตที่ดีมาก ๆ
    อยากให้ทุกคนได้มาลองชิมค่ะ











    เมื่อดื่มช็อกโกแลตเรียกพลังกันแล้ว เราก็เดินไปซื้อของนิดหน่อย ก่อนที่จะบอกลาพี่แพรแล้วโดดขึ้นอูเบอร์ คือต้องใช้คำว่าโดดขึ้นจริง ๆ เพราะก้าวขาขึ้นไปเกือบไม่ถึง เนื่องจากรถที่มารับคือกระบะ Rang Rover สีแดงคันบึ้มที่คุณลุงคนขับมีคาแรกเตอร์เหมือนนักร้องเพลงคันทรี่ (ลุงใส่หมวกคาวบอย) แล้วเป็นคนตลกมาก ชวนคุยไม่หยุด เล่าให้ฟังว่าเนี่ยแกอยู่รอบนอก ขับอูเบอร์มาก็สามปีแล้ว สนุกมากเลยเพราะได้เจอคนเยอะ แล้วเมื่อก่อนนะ บอสตันเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ โซนที่เราพักอยู่เนี่ย แต่ไม่มีนะ (South Boston ) เขาถมทะเลเอาแล้วสร้างเป็น CBD ฯลฯ

    กว่าจะได้ลงรถแกก็อวยพรให้เดินทางปลอดภัยต่าง ๆ นานา ประทับใจมากค่ะ อยากกลับไปนั่งอีก ความเฟรนด์ลี่แบบอเมริกันนี่มันอเมริกันจริงจริ๊งงงง :D





    สำหรับไฟล์ทขากลับของเราก็เงียบสงบเหมือนขามาเลยค่ะ ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำเพราะมันเงียบก็ได้มีโอกาสไปคุยกับคู่รักที่กำลังเดินทางไปแต่งงานที่มัลดีฟส์ เราก็เลยเขียนการ์ดเล็ก ๆ ให้















    และนี่คือการมาสัมผัสเมืองบอสตันเป็นครั้งแรก ซึ่งแน่นอนว่าเราจะกลับมาใหม่อีกแน่นอนค่ะ เพราะสำหรับเราแล้ว ที่นี่เป็นเมืองที่ให้ความรู้สึกถึงความสงบเงียบและน่ารัก มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากมายกระจายอยู่โดยรอบ อีกทั้งบรรยากาศของเมืองเองก็เต็มไปด้วยโรงเรียน มหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด และศูนย์การเรียนรู้ ทำให้บอสตันเป็นเหมือนสนามที่อุดมไปด้วยคลังความรู้ขนาดใหญ่ซึ่งเปิดโอกาสให้คนทุกวัยสามารถไปศึกษา แลกเปลี่ยน และเรียนรู้ได้อย่างไม่จำกัดค่ะ





    สุดท้ายนี้ขอขอบคุณพี่แพรที่ใจดีพาเดินเที่ยวรอบ ๆ เมืองนะคะ
    ดีใจมาก ๆ ที่ได้เจอกันในโลกออฟไลน์ พี่แพรน่ารักม๊ากมากกกกก
    ไว้โอกาสหน้าเราไปร้าน Legal Seafoods ด้วยกันอีกนะค้า






    และคราวหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหน
    โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ




    ด้วยรัก...จากทะเลทราย










    ป.ล. และตอนนี้เรามี instagram ของด้วยรักฯเรียบร้อยแล้วนะคะ @fromthedesertwithlovee ตามไปคุยเล่นกันได้เหมือนเดิมนะเออ




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in