เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
เหยียบมิดเดิลเอิร์ธ เยือนฮอบบิทตันตามประสาติ่ง LOTR







  •  และแล้วเราก็ทำลายสถิติการบินยาว บินไกล บินจนร่างแห้ง สมองอ๊องขาดออกซิเจนของตัวเองเรียบร้อยกับไฟล์ทที่ยาวที่สุดที่เคยทำอาชีพนี้มา นั่นก็คือไฟล์ทบินตรงดูไบ-โอ๊คแลนด์ ซึ่งสิริรวมระยะเวลาทั้งหมด 16 ชั่วโมงงงงงงงง


    แม่เจ้า นี่เอาชีวิตรอดมาได้เยี่ยงไร 16 ชั่วโมงบนเครื่องบินที่ทำงาน 3 เซอร์วิส มีเวลาให้ไปพักนอนแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ก็... Live fast, die young กันไป ไม่แปลกใจว่าทำไมจะตายเร็ว ก็แหม่...เวลาบินไปอเมริกาทีก็ต้องผ่านขั้วโลกเหนือ นั่งเสิร์ฟพร้อมอาบรังสีคอสมิกกันไป พอบินมาฝั่งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ก็นานเกิ๊น เคยอ่านเปเปอร์ผ่านๆมา เขาบอกว่าด้วยความที่อากาศบนเครื่องบินมันแห้งม๊ากมาก การนั่งเครื่องบินทุกๆ 1 ชั่วโมงนั้น น้ำในร่างกายจะระเหยออกมาผ่านลมหายใจถึง 200 มิลลิลิตรเลยที่เดียว แก มันคือแลกตาซอยห้าบาท 125 มิลลิลิตรรรรรสองกล่องเลยนะเว้ย ทำเป็นเล่นไป แล้วคิดดูว่าข้าพเจ้านั่งนอนและทำงานยาวนานถึง 16 ชั่วโมง...




    เอาเถอะ บ่นไปก็เท่านั้นแหละ เพราะจริงๆแล้วไฟล์ทนี้เป็นไฟล์ทที่เราตั้งใจขอเขามาเองจ้ะ



    เรื่องของเรื่องคือเราบินมาที่โอ๊คแลนด์บ่อยพอสมควร แต่ก็พักอยู่ที่นี่แค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น ประกอบกับไฟล์ทอื่นๆที่เคยทำมานั้นเป็นไฟล์ท multi-sector เช่น ดูไบ-เมลเบิร์น/ซิดนีย์/บริสเบน-โอ๊คแลนด์ ซึ่ง...เราตายเพราะอาการเจ็ทแล็คทั้งแต่ตอนที่หยุดพักในออสเตรเลียแล้วเด้อ พอข้ามมาถึงโอ๊คแลนด์ปุ๊บก็ตายต่อ ไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวที่ไหนไกลๆเพราะร่างร้าว (แต่ก็บ้าบอไปโดด skydive มานะเฮ้ย)

    พอไฟล์ทนี้เป็นไฟล์ทบินตรง เราเลยมีเวลาพักอยู่ที่โอ๊คแลนด์เป็นเวลา 55 ชั่วโมง จึงมีสติสัมปชัญญะในการออกไปทำนู่นทำนี่มากกว่าไฟล์ทอื่นและมีเวลาออกไปนอกเมืองด้วย เย่!








     
    เราไปถึงตอนเที่ยงๆ เลยงีบนิดนึง
    และก็ออกไปกินปิ้งย่างเกาหลีที่ร้าน Faros ซึ่งเป็นร้านประจำของดิฉันเอง
    มาทีไรต้องกินทู้กกกกกกกกทีเพราะอร่อยมาก อาห์!













    เมื่อมีเวลาอยู่ที่นี่นานกว่าปกติ เราก็จัดแจงหาทัวร์ที่จะไปเที่ยว ซึ่งหนึ่งใน bucket list สถานที่ที่เราอยากไปในนิวซีแลนด์ของเราก็คือ Hobbiton ใช่ค่ะ... เราจะได้ไปเหยียบมิดเดิลเอิร์ธ ตามรอย The Lord of The Ring 









    เราจะได้ไปเห็นไชร์แล้วโว้ยยยยยยยยย






    ในฐานะที่หวีด LOTR และ The Hobbit เนื่องจากวรรณกรรมและภาพยนต์ชุดนี้คือวัยเด็กของเรา เป็นสองรองลงมาจากแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทำให้เราตื่นเต้นมากกกกกกกกมากกกกกกกกกมากกกกกกกกกกกที่จะได้ไปเห็นสถานที่ถ่ายทำของจริง

    เรารักวรรณกรรมเรื่องนี้มาก หลังจากที่ดูหนังภาคแรกจบแล้วก็ไปหาหนังสือมาอ่าน เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเพราะตอนนั้นเด็กๆเลยไม่เข้าใจภาษาเขียนของโทลเคียนมากนัก (อ่านภาษาไทยนะ ไม่กล้าแกร่งอ่านอังกฤษ) แล้วก็ดูหนังบ่อยมาก ติดตามทุกภาค เวลาอยู่ว่างๆไม่มีอะไรจะดูก็นั่งดู LOTR - The Two Towers ไปเพราะเป็นภาคที่ชอบที่สุดโดยกดเร่งผ่านตอนของโฟรโดไปเนื่องจากรำค๊าญญญญญญญ! 

    พอมี The Hobbit ก็ตามดู ก่อนจะสอบก็จะชอบเปิดเพลงซาวด์แทรกของเรื่องนี้วนไปและจินตนาการว่าการสอบคือเควสทำลายแหวน คุยเล่นๆกับเพื่อนที่ติ่งพอกันหรือมากกว่าว่าอยากได้แหวนนาร์ยาของแกนดัล์ฟเพื่อมาบรรเทาความอ่อนล้าจากการอ่านหนังสือ (นาร์ยา แหวนแห่งไฟ เป็นหนึ่งในไตรธำมรงค์ ซึ่งเป็นแหวนแห่งเอลฟ์นั่นเอง -- ค่ะ ดิฉันจะไม่ลงรายละเอียดในเรื่องนี้ เอาเป็นว่าดิฉันอยากได้มันพอๆกับที่อยากได้ไอเท็มรัดเกล้าของเรเวนคลอมาเพิ่มพูนความฉลาดค่ะ!)








    เอาเป็นว่า... มาเปิดเพลง Sound of The Shire และตามเราไปเยือนหมู่บ้านฮอบบิทกันเถอะ!
    (อยากให้ฟังไปด้วยและอ่านไปด้วยจริงๆนะ)















  • เราตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อมาขึ้นรถตอนหกโมงครึ่ง มุ่งหน้าไปยังเมือง Matamata อันเป็นที่ตั้งของ The Hobbiton Movie Set นั่นเองงงง













    ระหว่างทางเราก็หลับบ้าง ตื่นมาชมวิวบ้าง นั่งฟังคุณคนขับบรรยายเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับนิวซีแลนด์บ้าง ทั้งในเรื่องของการเริ่มต้นสร้างประเทศ ปัญหาเกี่ยวกับชนพื้นเมือง และการหาทางออกร่วมกัน โดยเขาสรุปสุดท้ายว่าชาวนิวซีแลนด์ทุกคนก็คือชาวกีวี่ ไม่มีการแบ่งแยกสีผิวใดๆ ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อยากมีความสุขและเปิดรับเชื้อชาติที่แตกต่าง :)













    นี่คือวิวจากจุดพักรถ สวยมากกกกกกกกก สวยจนอยากมา road trip เองเลย




















    แวะพักยืดเส้นยืดสาย กินขนม(ที่แจกฟรี!)
    ชื่นชมทัศนียภาพยามเช้าอันงดงามของนิวซีแลนด์
    (เขียนเหมือนเป็นโปรแกรมทัวร์เลยแหะ)


















    ถึงแล้วจ้าาาา รีบวิ่งอย่างไวมาถ่ายรูปก่อนเลย
    และทริปนี้เราไม่เหงาหงอยเศร้าสร้อยอีกต่อไป
    เพราะมี น้องอิง ผู้น่ารักกุ๊กกิ๊กมาวิ่งเล่นด้วยกัน เย่เฮ!

    หน้าตาดิฉันนนั้นตื่นเต้นมาก ยิ้มแฉ่งแข่งตะวันเป็นที่สุดดดดดด














    สำหรับการเข้าชม Hobbiton Movie Set นั้นจะเป็นรอบๆไปค่ะ โดยแต่ละรอบจะห่างกันประมาณครึ่งชั่วโมง ไม่ใช่ว่าพอถึงปุ๊บแล้วจะได้ลุยย่ำต๊อกแต๊กเข้าไปเลยนะเออ เขาจะมีคุณไกด์คอยพาเดินและให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำแห่งนี้อย่างละเอียดค่ะ




















    พอถึงรอบตั๋วที่เราได้แล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะพาเราขึ้นรถเพื่อตรงไปยัง The Shire วู้ววววววว ตื่นเต้นนนนนนนน ได้มาเหยียบมิดเดิลเอิร์ธแล้วววว น้ำตาจะไหลลลลลลล
















    บนรถจะมีจอทีวีเปิดเป็นคลิปและข้อมูลที่ควรทราบเกี่ยวกับ Hobbiton แห่งนี้ว่าปีเตอร์ แจ๊กสันเขามาเจอจุดนี้ได้อย่างไร ฟาร์มตรงนี้เป็นของใครกันหนอ ซึ่งก็ได้ความว่า เมื่อตอนแรกเริ่มที่จะสร้าง LOTR นั้น เขาได้ทำการสำรวจพื้นที่ที่จะถ่ายทำกัน ก็ปรากฎว่าทีมงานได้นั่งเฮลิคอปเตอร์มาเจอกับ Alexander Farm นี้นี่เอง














    ซึ่งการสร้าง The Shire อันเป็นบ้านอันสุขสงบของเหล่าฮอบบิทนั้น ก็ได้รับความช่วยเหลือจากทางการกองทัพของนิวซีแลนด์ ที่มาร่วมด้วยช่วยกันเมคโอเวอร์ ทำถนน ก่อสร้าง และเป็นแรงงานหลักในการขุดนู่น ทำนี่ ปลูกผักนั่น ซึ่งเขาเตรียมการกันมาเป็นปีก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำภาพยนต์ และพอทำเสร็จแล้ว ทีมถ่ายงานก็ไม่ยอมให้เหล่าทหารนั้นกลับบ้านด้วย แต่ให้มาร่วมด้วยช่วยกันแสดงเป็นเหล่าออร์คอีกต่อหนึ่ง ฮาาาา














    เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่านิวซีแลนด์นั้นมีแกะเยอะม๊ากกกกก มากกว่าจำนวนประชากรทั้งเกาะเหนือและใต้รวมกันซะอีก แต่แกะที่เราเห็นกันในภาพยนต์นั้นเป็นน้องแกะที่อิมพอร์ตมาจากอังกฤษค่ะ เนื่องจากปีเตอร์ แจ็คสันมองว่าแกะนิวซีแลนด์นั้นมีรูปร่างหน้าตาที่โมเดิร์นจนเกินไป... เป็นแกะหน้าตาสมัยใหม่ ไม่เข้ากับเนื้อเรื่องเด้อ


























  • และแล้วเราก็มาถึงเดอะไชร์​ มิดเดิลเอิร์ธ บ้านของเหล่าฮอบบิท...





    ภาพในหัวที่เห็นซีนนี้คือฉากเปิด LOTR ที่แกนดัล์ฟมาที่นี่... 
    ไม่ว่าจะมองไปทางไหน คือเห็นภาพของ LOTR และ The Hobbit ซ้อนเข้ามาตลอด
    โอ๊ยยย คือมันดีมาก ปริ่มอยู่ในใจเหลือเกิน




















    Hobbiton Movie Set แห่งนี้มีบ้านฮอบบิทอยู่ 44 หลังด้วยกัน ซึ่งมีขนาดประตูบ้านเล็กใหญ่แตกต่างกันไปเพราะต้องใช้มุมกล้องช่วยในการถ่ายทำ ถ้าอยากให้คนดูตัวใหญ่ ก็ต้องไปถ่ายที่หน้าบ้านประตูเล็ก ถ้าอยากให้คนดูตัวเล็กเท่าฮอบบิท ก็ต้องไปถ่ายที่หน้าบ้านประตูใหญ่



    ที่นี่มีคนสวนดูแลอยู่ทุกวันเพราะปลูกผัก ปลูกต้นไม้กันจริงๆนะเออ ไม่ใช่ของปลอมเป็นพรอปแต่อย่างใด เขาพยายามที่จะรักษาที่นี่ไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะปีเตอร์ แจ็กสันมีความคิดว่าภาพยนต์หลายๆเรื่อง พอสร้างฉากต่างๆขึ้นมาแล้วสุดท้ายก็ต้องทำลายทิ้งไป หรือเสื่อมสภาพไปตามเวลา แต่เขาอยากให้ที่นี่ยังคงอยู่ในสภาพเดิม นัยว่าถึงหนังจะจบไป แต่สถานที่และความทรงจำยังคงอยู่นั่นเอง













    การถ่ายทำภาพยนต์นั้นเขาก็ใส่ใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น ตามหนังสือบอกว่าฮอบบิทตัวเล็กมาก มีตอนนึงที่เขียนไว้ว่าเด็กๆมานั่งเล่นกันใต้ต้นพลัม ซึ่งครั้นจะเอาต้นพลัมมาปลูกก็เกรงว่ามันจะดูใหญ่ไป ไม่เรียล เลยเอาต้นแอปเปิลและต้นแพร์มาปลูกแทน ก่อนถ่ายก็เด็ดเอาลูกออกและใส่ลูกพลัมปลอมๆเข้าไป

    ซึ่งซีนที่ถ่ายทำกันนั้นไม่มีอยู่ในภาพยนต์ แต่มีใน extended version แปลว่าตอนสร้างเขาเคารพบทประพันธ์ของโทลเคียนมากๆเลยล่ะ





















  • เราเดินดูบ้านเล็กบ้านน้อยไปเรื่อยๆ และก็ฟังเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของการถ่ายทำภาพยนต์ไปด้วย เช่น บ่อน้ำนี้มีกบเยอะมาก ตอนถ่ายไปแล้วมาเช็คฟุตเทจก็พบกว่าได้ยินเสียงกบร้องระงมเลย ก็ต้องถ่ายใหม่ โดยต้องจับกบเอาไปปล่อยที่อื่นก่อน








    มีพรอปต่างๆมาตั้งให้ดูด้วยจ้า















    Hobbit hole เหล่านี้เข้าไปด้านในไม่ได้นะ
    เพราะฉากที่ถ่ายในบ้านนั้นเขาถ่ายทำกันในสตูดิโอเด้อ

















































  • เราเดินขึ้นเนินมาเรื่อยๆ พอหันหลังกลับไปมองก็รู้สึกว่า เออ... ที่นี่แหละคือไชร์ มัน too green and too magical to be true อะ (คิดเป็นภาษาไทยไม่ออก สื่อความไม่ได้จริงๆ) 































    และแล้วเราก็ไต่เนินขึ้นมาจนถึงจุดที่สูงที่สุดของ Bag End นั่นก็คือหน้าบ้านของครอบครัว Baggins นั่นเอง (กรี๊ดดดดดดดดดดด แม่จ๋า หนูมาถึงแล้ววววว)











    ไกด์ก็อธิบายว่าต้นไม้ที่อยู่ด้านบนนั่นไม่ใช่ต้นไม้จริงนะจ๊ะ เป็นพรอปที่ทำจากเหล็กและโพลีเอสเตอร์ ประกอบไปด้วยใบไม้ปลอมประมาณ 200,000 ใบที่ใช้คนไปนั่งทาสีให้สีมันออกมาเหมือนของจริงมากที่สุด







    ส่วนตรงนี้ เรากรี๊ดมากกกกกก เป็นเก้าอี้ที่แกนดัล์ฟและบิลโบนั่งสูบไปป์มองพระอาทิตย์ตกกัน ซึ่ง...ความจริงแล้วหน้าบ้านนั้นหันไปทางทิศตะวันออก ตอนถ่ายทำจริงๆเลยต้องถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นและเอามา reverse ซึ่งถ่ายกัน 7 รอบแล้วเลือกซีนพระอาทิตย์ที่ดีที่สุดมา
























    การผจญภัยทุกอย่างเริ่มต้นจากตรงประตูบ้านนี้อะ ฮือ ปริ่มในใจ

















  • จากนั้นเราก็เดินลงเนินและเยี่ยมชมบ้านอื่นๆต่อจ้ะ






















































    ลานที่จัดงานวันเกิดบิลโบ ตอนที่ใส่แหวนและวาร์ปหายไปนั่นแหละ
    ส่วนไกลๆนั่นก็คือบ้านของแซม

















    แวะชมดอกไม้สักครู่ ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิของซีกโลกใต้
    เลยมีดอกไม้มุ้งมิ้งบานแจ่มใสให้ได้ถ่ายรูปจ้า

















    บ้านของแซม
    ความเก๋คือมีควันออกมาจากปล่องไฟด้วยนะ




    ถ้าไม่มีเขาผู้นี้ โฟรโดน่าจะตายตกไปนานแล้ว เควสทำลายแหวนไม่สำเร็จอย่างแน่แท้ เพราะเอาจริงๆ เหมือนโฟรโดมีหน้าที่เอาแหวนคล้องคอและดราม่า ส่วนแซมนี่คือคนแบกโพรโดอีกที ซึ่งก็แบกจริงตอนอยู่บน Mount Doom



    I can't carry it for you but I can carry you!

    แซมคือฮีโร่ คือพระเอกตัวจริงที่เอาแหวนไปทำลายเว้ย






    ยอมรับว่าในวัยเด็กนั้น เราปลื้มอารากอนและกรี๊ดเลโกลัส แต่พอเอา LOTR ย้อนกลับมาดูใหม่หลายๆรอบแบบไม่กดข้ามฉากโฟรโดเพราะรำคาญใจ แบบโอ้ยยย เอ็งควรตายไปหลายรอบมากโว้ย เราว่าตัวละครที่เราชอบมาที่สุดในเรื่องก็คือแซมนี่แหละ โดยเฉพาะฉากนี้...





    Frodo : I can't do this, Sam.

    Sam : I know. It's all wrong.
    By rights we shouldn't even be here.

    But we are.

    It's like in the great stories Mr. Frodo.
    The ones that really mattered.


    Full of darkness and danger they were,
    and sometimes you didn't want to know the end.
    Because how could the end be happy.


    How could the world go back to the way it was when so much bad happened.



    But in the end, it's only a passing thing, this shadow.
    Even darkness must pass. A new day will come.
    And when the sun shines it will shine out the clearer.



    Those were the stories that stayed with you. That meant something.
    Even if you were too small to understand why.



    But I think, Mr. Frodo, I do understand. I know now.



    Folk in those stories had lots of chances of turning back only they didn’t. 
    They kept going.
    Because they were holding on to something.


    Frodo : What are we holding on to, Sam?



    Sam : That there’s some good in this world, Mr. Frodo. And it’s worth fighting for.














  • และเราก็เดินไปยังจุดสุดท้าย นั่นก็คือ The Green Dragon Inn นั่นเองงงงง































    จุดนี้เป็นจุดที่เราจะได้นั่งพักผ่อน ถ่ายรูป และจิบ Ale, Apple Cider หรือ Ginger Beer ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็น complimentary drink ให้กับทุกคน จินตนาการว่าตัวเองเป็นฮอบบิทที่มานั่งชิวๆมองท้องฟ้า ก่อนที่จะนั่งบัสกลับไปตรงส่วนแรกของฮอบบิทตัน
























    แผนผังภายในเด้อ












    ความดีงามของที่นี่คือ Guest Book จ้าาาาาาาาาา ดูที่ลายเซ็นต์นั่นสิ!!






    ฮืออออ น้ำตาจะไหลลลลล ลายเซ็นต์เซอร์เอียนโว้ยยยยย (และมาร์ติน ฟรีแมน และแคสคนอื่นๆ)















































    มีของกินอื่นๆขายด้วยนะ เช่นพวกชา กาแฟ พาย มัฟฟิน และคุกกี้


































    Ginger beer อร่อยมาก ชื่นใจจจจจจ














    พอนั่งกินลมชมวิวและถ่ายรูปเล่นซักพัก ก็ได้เวลากลับออกมาสู่โลกมนุษย์ปกติ
    ลาก่อนมิดเดิลเอิร์ธอันแสนสงบและสุขใจ















    บ๊ายบายน้องก้อนแกะที่หน้าตาทันสมัยจนไม่ได้ถ่ายหนัง โธ่...



















    สวยจังเล้ย อยากมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จัง












    เรากลับไปถึงโอ๊คแลนด์ตอนบ่ายๆ ไปกินข้าวที่ The Kimchi Project ซึ่งเป็นคาเฟ่+ร้านอาหารเกาหลีแบบฟิวชั่นที่น่ารักและอร่อยมาก เดินซื้อของนิดๆหน่อยๆแล้วก็กลับมานอน วันรุ่งขึ้นก็เดินไปร้านอาหารญี่ปุ่น กินเซ็ตเบนโตะเป็นอาหารกลางวัน และเดินไปซื้อเกี๊ยวทอดที่ร้านอาหารจีนเจ้าประจำ ซื้อชานมไข่มุก และกลับมานอนดูเลือดข้นคนจาง (เต้ยฆ่าแน่นอน คิดว่านะ...) จากนั้นก็เตรียมตัวบินกลับดูไบซึ่งใช้เวลา 17 ชั่วโมง... มากกว่าตอนขามาอีกวู้ยยยย น้ำตาจะไหล เหนื่อยเหลือเกิ๊นนนนนนนนนน






    สุดท้ายนี้ขอขอบคุณหน่องอิงที่ไปเป็นเพื่อน เดินเล่นเริงร่ากับเจ่เจ้ในฮอบบิทตันนะคะ ขอบคุณที่อดทนกับพลังความติ่งและความกรี๊ดกร๊าดที่มากเกินพิกัดตลอดทริปนี้ ฮาาาา









    และทริปหน้าเราจะไปเที่ยวที่ไหน
    อย่าลืมติดตาม ด้วยรัก...จากทะเลทราย ตอนต่อไปด้วยนะจ๊ะ















    ลากันไปด้วย Auckland in the rain ฮิ















    ตามไปพูดคุยกุ๊กกิ๊กกันต่อได้ที่
    #ด้วยรักจากทะเลทราย
    #withlovefromthedesert


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in