เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
don't knowWatashi Pui
dw
  • เจ็บ

    ความรู้สึกแรกที่ลืมตาขึ้นมา ภาพที่มองเห็นในตอนนี้คือเพดานสีครีม กวาดตามองรอบๆ แต่มองเห็นไม่ค่อยจะชัดมากนักเพราะสิ่งที่ให้ความสว่างในห้องมีเพียงแค่โคมไฟใกล้ๆ ขอบเตียง

    มองสำรวจไปเรื่อยๆ ห้องโล่งๆ มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่อย่างที่วางอยู่ แต่คาดว่าแต่ละชิ้นคงราคาแพงไม่น้อย หน้าต่างสองบานใหญ่มีผ้าม่านสีขาวแขวนไว้ ผมลุกขึ้น พยายามขยับให้น้อยที่สุดเพราะกลัวแผลที่คอจะเจ็บขึ้นมาอีก   แต่ก็ต้องสะดุ้งเพราะอยู่ๆ ประตูที่ปิดอยู่ถูกใครสักคนเปิดเข้ามา  ทิ้งตัวลงนอนแล้วเอาผ้ามาคลุมตัวไว้ ลืมตัวว่าก่อนหน้าพยายามไม่ให้คอถูกกระทบมาก ผลจากการขยับตัวเปลี่ยนท่ากะทันหันคือความเจ็บที่ทำเอาผมกัดฟันแน่น


    "คุณฟื้นแล้ว"


    ใครสักคนที่เข้ามาในห้องเดินมายืนที่ข้างเตียง พูดในสิ่งที่เป็นประโยคคำถามหรือแค่เปรยเฉยๆ ผมก็ไม่แน่ใจ    แต่ผมยังไม่เอาผ้าห่มออก คำถามพันแปดอยู่ในหัว  ความจำล่าสุดที่นึกได้คือตัวเองกำลังเดินไปร้านสะดวกซื้อ แต่โดนโจรเขามาล็อกตัวแล้วก็ได้แผลที่คอมา  นึกแล้วก็อยากกลับไปต่อยไอ้โจรเวรนั้น เจ็บเป็นบ้า

    ภาพเหตุการณ์คนกำลังสู้กันในหัวเริ่มผุดมาทีละนิด ผมค่อนข้างแน่ใจว่าโจรนั้นต้องถูกจัดการแล้วแน่ๆ แต่ถ้าโจรนั้นถูกจับแล้ว เขาที่โดนทำร้าย ตอนนี้ก็ต้องอยู่ที่โรงพยาบาลสิ ไม่ก็ถ้าไม่มีใครมาช่วยก็ต้องตายไปแล้ว แต่ทำไมตอนนี้ถึงมานอนอยู่ในห้องที่เหมือนโรงแรมห้าดาวแบบนี้

    หรือว่า ผมตายแล้ว และนี้คือสวรรค์ แต่คนแบบผมน่ะนะ?


    "คุณยังไม่ตายหรอก" เสียงของคนเดิมพูดขึ้น เหมือนรู้ว่าในหัวของผมตอนนี้คิดอะไรอยู่


    "ที่นี่ปลอดภัย"

    "ออกมาเถอะครับ"


    หลังจากที่ผู้ชายคนเดิมพูดจบ ผมลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจดึงผ้าห่มลง ผมมองไปข้างเตียง   ให้ตายเถอะ เกิดมา27ปี เขาแน่ใจว่าไม่บ่อยนักที่จะเห็นคนหน้าตาดีแบบคนตรงหน้า นั้นคนแน่เหรอ   ถ้าผมถามไปแบบนี้มีหวังคงดูเป็นคนโรคจิตแน่ๆ แต่จมูกนั้นโคตรจะเข้ากับตาทรงสวยๆ ที่กำลังมองมาเลย ไม่รู้ใช้เวลาไปเท่าไหร่กับการมอง แต่ตอนนี้ผมก็คิดได้ว่าควรถามคำถามได้แล้ว ว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี้

    "ทำไมผมมาอยู่ที่นี้ ผมจำได้ว่าผมโดนโจรปล้น มีใครไม่รู้มาช่วย แล้วผมก็ล้มลง แล้วทำไมผมถึงไม่อยู่โรงพยาบาล " ผมสาดคำถามใส่คนที่ยืนอยู่รัวๆ เขายังคงมองมานิ่งๆ ผมภาวนาให้เขาไม่รำคาญแล้วยกโคมไฟมาทุ่มใส่ก่อนที่ผมจะได้คำตอบ

    "ตอนนี้คุณอยู่ที่บ้านของเคย์โกะ อีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ผมกับเคย์โกะเป็นคนช่วยและพาคุณมาที่นี่ ส่วนแผลของคุณ คุณซาโนะ หมอประจำตระกูลของที่นี่เป็นคนทำแผลให้คุณ" คำตอบของคำถามที่ถามไปเมื่อครู่ถูกตอบครบทุกข้อ แต่แทนจะทำให้ผมกระจ่างกลับทำให้งงกว่าเดิม

    "หมอประจำตระกูล?"

    "ครับ เขาเป็นคนเย็บแผลให้ แผลของคุณตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว แต่ถ้าพักอีกสักหน่อยก็น่าจะดีขึ้น" ยังเป็นประโยคคำตอบที่ยังมีคำถามอยู่ในนั้น  แต่ในตอนนี้ผมไม่อยากคิดอะไรมากเพราะแผลเริ่มกลับมาเจ็บอีกครั้ง เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ เลยเดินมาจัดหมอนให้เข้าที่แล้วมองมาที่ผม เป็นการบอกนัยๆว่าควรกลับไปนอนเหมือนเดิม

    "ถ้าแผลคุณหายแล้ว ผมจะไปส่งที่คอนโด แต่ที่ทำงานคุณอาจจะมีปัญหา เพราะคุณอยู่ที่นี้มาสองวันแล้ว"  

    "บ้าหน่า ผมจะนอนนานขนาดนั้นได้ยังไง" ปกติผมนอนเยอะก็จริง แต่สองวันนี่มันเกินไปหน่อยล่ะมั้ง

    "ผมพูดจริงครับ" น้ำเสียงที่พูดออกมาทำให้ผมรู้สึกเชื่อไปเกินครึ่ง ถึงแม้จะตะหงิดใจอยู่บ้าง

    "ไม่เป็นไรหรอก ผมก็จะโดนไล่ออกอยู่แล้ว หายไปเลยคงไม่กระทบใครหรอก" ผมพูดไปตามที่คิด ถึงจะพยายามมองโลกในแง่ดียังไงก็รู้ตัวว่าอีกไม่นานคงมีคำว่าโดนไล่ออกอยู่ในอนาคตของผมแน่ๆ

    "ความจริง ตายไปตั้งแต่เมื่อวานก็ดีเหมือนกัน"

    "คนไม่มีอะไรเลยแบบผมน่ะ คุณว่างั้นมั้- "


    "ผมไม่ได้ช่วยคุณเพื่อให้คุณมาพูดว่าตายดีกว่าหรอกนะครับ"


    ประโยคสั้นๆที่เอ่ยออกมาทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไรต่อ น้ำเสียงเย็นๆที่มาพร้อมกับสายตาดุๆนั้น  ทำไมผมต้องรู้สึกผิดด้วยนะ  ไม่เข้าใจมันเลยสักนิด


    "เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอก ถ้าเกิดต้องการความช่วยเหลืออะไร ห้องตรงข้ามเป็นห้องของแม่บ้านที่นี้ คุณเดินไปเรียกได้ตลอดนะ  คุณพักผ่อนต่อเถอะครับ"  อีกคนพูดจบแล้วหันหลังเดินออกจากห้อง


    "คุณ เดี๋ยวก่อน"

    "ครับ"

    "คุณชื่ออะไรเหรอ" ก่อนที่อีกคนจะเปิดประตูออกไป ผมตะโกนถามคำถามที่ควรพูดไปตั้งนานแล้ว ถึงจะยังไม่รู้จุดประสงค์ชัดเจนของการที่ตัวเองมาอยู่ที่นี้ แต่อย่างน้อยคนตรงหน้าก็ไม่น่าจะเป็นคนไม่ดีหรือประสงค์ร้ายอะไร ผูกมิตรไว้ก็ไม่น่าเสียหาย


    "ทาคุมิครับ คาวานิชิ ทาคุมิ"

    "เอ่อ.."


    ประตูบานนั้นปิดลงก่อนที่ผมจะแนะนำตัวกลับไป ทำไมเย็นชาขนาดนั้นกัน แต่ถึงจะเสียความรู้สึกหน่อยๆ  ยังไงทาคุมิคนนั้นก็มีบุญคุณต่อเขาอยู่ จะพยายามไม่โกรธแล้วกันนะ 







    เบื่อ

    เวลาผ่านไปประมาณสามชั่วโมงแล้วตั้งแต่ทาคุมิออกจากห้องไป ผมยังคงนอนอยู่ที่เดิม แผลที่ไม่รู้มันลึกเท่าไหร่ ทำให้ไม่กล้าขยับตัวไปไหนมากนัก แค่ลุกขึ้นยืนก็สะเทือนไปทั้งคอแล้ว  เมื่อก่อนเวลาป่วยผมก็ชอบนอนนิ่งๆบนเตียง แต่ตอนนั้นมันมีโทรศัพท์ ถึงนอนยาวๆไปสองวันก็ไม่น่าเบื่อแบบนี้  คิดแล้วก็เหลือบมองโทรศัพท์ไร้พลังงานที่นอนเป็นผักอยู่ข้างเตียง 


    ว่าแต่ แม่บ้านที่ทาคุมิพูดถึงจะมีที่ชาร์ตหรือเปล่านะ


    คิดอย่างนั้นแล้วจึงพยายามลุกขึ้นช้าๆ ก้าวเท้าให้เบาที่สุดไปที่ประตู ถ้าเปิดประตูออกไปเจอแค่ทางเดินร้างๆกับใยแมงมุม  ผมคิดว่าชีวิตนี้คงไม่น่าเบื่อเหมือนเคยแล้วล่ะ 

    แต่เหมือนความคิดเล่นๆนั้นจะพังไปเพราะทันทีที่เปิดประตู ภาพตรงหน้าก็ทำให้ผมต้องอุทานขึ้นมา  เหมือนตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เคยเห็นในทีวี หรือในภาพหนังสือนิตยสาร อย่างกับฝัน


    "ขอโทษนะครับ" ประตูห้องตรงข้ามอยู่ตรงหน้า ผมยืนตรงใช้มือเคาะประตูเบาๆ รอเสียงตอบรับจากด้านใน


    เงียบแฮะ


    "คุณครับ คุณแม่บ้านครับ" 

    ยืนรอพักใหญ่  แต่เมื่อเห็นว่าน่าจะไม่มีใครอยู่ข้างใน จึงยอมแพ้แล้วตัดสินใจเดินกลับไปในห้อง


    กึก 


    เสียงจากอีกด้านของชั้นเรียกให้ผมหันไปมอง  เงาตะคุ่มดำๆที่เคลื่อนไหวไปมานั้นทำให้ผมลังเลว่าจะเดินเข้าไปดูหรือเดินเข้าห้องไปเงียบๆแล้วเลิกสนใจอะไรทั้งสิ้นซะ  


    กึก


    โอเค ไปดูสักหน่อยแล้วกัน


    ระหว่างทางที่เดินผ่านไฟค่อนข้างสลัว ทำให้ทุกก้าวต้องระวังเป็นพิเศษ  แต่ถึงจะเกือบมืดผมก็ยังเห็นลายบนผนังที่เป็นรูปวาดสวยๆต่างๆ  ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวบ่งบอกว่าบ้านหลังนี้มีฐานะที่ดี ถึงขั้นดีมากๆ ครั้งหนึ่งผมเคยฝันอยากมีบ้านใหญ่ๆแบบนี้ แต่ก็ต้องพับเก็บไป เพราะถึงมีไป แต่อยู่คนเดียวก็สูญเปล่า คอนโดเล็กๆตอนนี้คงเหมาะกับผมที่สุดแล้ว จะว่าไปก็คิดถึงห้องขึ้นมาเลย



    "เห้ย"


    ก้อนดำๆนั้นพุ่งเข้ามาหาในขณะที่ผมกำลังเดินไปใกล้จะชิดตัว  หลังของผมสัมผัสกับพื้นที่มีพรมปูอยู่ ความเจ็บแล่นขึ้นมาอีกครั้ง สัมผัสหนักๆบนอกทำให้ตาที่หลับแน่นค่อยๆลืมมอง  หนวด ใช่ หนวดของสิ่งนั้นอยู่ตรงหน้า ตาที่ยังปรับโฟกัสไม่ได้พยายามเพ่งมองอีกครั้ง  แต่คราวนี้ดูเหมือนจะได้รับเป็นสัมผัสอีกแบบ ความนุ่มฟูของขนที่กำลังคลออยู่ที่ใบหน้า

    เมี้ยว

    เสียงร้องออกมาจากก้อนดำๆที่เห็นก่อนหน้านี้ แมวสีดำที่กำลังใช้ใบหูของมันมาคลอที่แก้มของผม ให้ตายเถอะภาพน่ากลัวที่จินตนาการไปเมื่อครู่ถูกพังด้วยสิ่งมีชีวิตที่เขาชอบมากที่สุด   ความเจ็บก่อนหน้านี้เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ผมลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ อุ้มเจ้าแมวสีดำมานั่งบนตัก เกาคางเบาๆ ดูเหมือนเจ้าแมวจะชอบใจมาก มันถึงได้ทำตาเคลิ้มๆเหมือนจะหลับ ตอนที่อยู่คอนโดผมไม่สามารถเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้เพราะไม่มีเวลาให้ ลำพังเวลากินข้าวของตัวเองก็ไม่เป็นที่เป็นทาง ถ้าเกิดตัดสินใจเลี้ยงสักตัว คงต้องทำให้มันอยู่แบบไม่สบายแน่ๆ เพราะอย่างนั้น ในเวลาที่ว่าง ผมมักจะใช้เวลาไปกับการเข้าไปดูคลิปแมวต่างๆในยูทูป หรือไม่ก็หาโอกาสเข้าไปนั่งเล่นในร้านค่าเฟ่ที่มีแมวมาคอยให้นั่งมอง 

    ไม่อยากลุกเลย


    "ไม่ยักรู้ว่ามนุษย์เข้ามาเล่นสัตว์เลี้ยงคนอื่นได้โดยไม่ขออนุญาตก่อน"


    เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง เจ้าแมวดำที่ก่อนหน้านี้กำลังหลับเคลิ้มบนตักของผมกระโดดออกไปหาเจ้าของเสียงที่ดังขึ้น ผมหันกลับไป ลุกขึ้นก่อนที่จะมองคนที่มาใหม่ชัดๆ ผู้ชายตัวสูง ผมดำที่เส้นผมติดจะหยักศก ปากบางๆนั้นคว่ำลงเล็กน้อยเหมือนกำลังไม่พอใจอะไรสักอย่าง ให้เดาก็คงเรื่องที่ผมมาเล่นเจ้าแมวแน่ๆ


    "ผมขอโทษครับ ผมเห็นมันน่ารักเลย-"

    "คุณแม่ให้มาชวนไปทานข้าว"

    วันนี้ผมต้องกลืนประโยคที่จะพูดบ่อยจนรู้สึกหงุดหงิด คนที่นี่ไม่รู้จักการฟังให้จบประโยคเลยหรือยังไง


    "ไม่เป็นไรครับ แค่มาช่วยแล้วก็ทำแผลให้ก็เกรงใจมากแล้ว" แน่นอนว่าถึงจะหงุดหงิดใจไป แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่ช่วยผม เพราะผมแน่ใจว่าคนตรงหน้าคือเคย์โกะที่ทาคุมิพูดถึงแน่ๆ


    "งั้นนายเลือกที่จะตายเพราะอดข้าวหลังจากที่รอดจากมีดปาดคออย่างนั้นเหรอ"


    ปากร้ายชะมัด


    "เอ่อ ถ้าอย่างนั้นก็ รบกวนด้วยนะครับ" ผมตอบตงลงไปในที่สุด โค้งให้อีกคน แต่ดันลืมว่าแผลยังไม่หายจึงเป็นการโค้งที่ค่อนข้างทุลักทุเลใช้ได้

    "มนุษย์นี่น่ารำคาญจริงๆ"

    อีกคนพูดขึ้นแล้วเดินนำไปตามทาง คำว่ามนุษย์ที่ได้ยินอีกครั้งทำให้รู้สึกแปลกๆ ทำไมอีกคนถึงเรียกเขาว่ามนุษย์เหมือนตัวเองไม่ใช่คนอย่างนั้น ท่าทางบุคลิกอีกคนก็ดูมีความเป็นผู้ดีเกินกว่าจะเป็นคนธรรมดา ความจริงก็ดูเป็นคนหน้าตาดีมากคนหนึ่ง แต่เพราะครั้งแรกที่คุยก็แขวะกันซะแล้ว เพราะฉะนั้น ผมไม่ชมเจ้าหมอนี่เด็ดขาด


    "คุณครับ"


    ผมเรียกไปแต่คนด้านหน้ายังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม คือเดินไปข้างหน้า ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น  อยากเดินไปต่อยให้รู้แล้วรู้รอด ตั้งใจจะถามเรื่องราวให้มันกระจ่าง แต่เหมือนจะถามไปเท่าไหร่ก็ได้แต่ความเงียบกลับมา


    ในที่สุดก็เดินมาถึงที่โต๊ะอาหาร ความกว้างของโต๊ะที่เหมือนจะนั่งได้เป็นสิบๆคน ความหรูหราที่มากมาย ทำให้ผมเริ่มคิดแล้วว่าตอนนี้กำลังฝันอยู่จริงๆ  

    "นั่งเลยจ้ะ" ผู้หญิงที่เดาไม่ออกว่าเธออายุเท่าไหร่ เธอดูอ่อนเยาว์แต่กลับให้ความรู้สึกน่าเกรงขามไม่น้อย

    ด้านข้างของเธอคือผู้ชายผมสีน้ำเงินหม่น ที่กำลังมองมาและยิ้มให้ผม  ใบหน้าที่ดูใจดีทำให้ผมกล้ายิ้มตอบกลับไป  ผมนั่งลงตามที่เคย์โกะชี้บอก ชี้ส่งๆนั้นแหละ  พยายามนั่งให้เรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้  ตอนนี้บนโต๊ะอาหารมีชุดจานอยู่ทั้งหมดสี่ชุด คือของคุณผู้หญิงที่นั่งตรงหัวโต๊ะ  ของผู้ชายใจดี ของเคย์โกะ และของผม  ผมยังไม่เห็นทาคุมิ  หันไปมองรอบๆก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนที่กำลังนึกถึง


    "เจ้านั้นออกไปทำงาน"

    คนข้างๆพูดขึ้นเหมือนรู้ว่าผมพยายามมองหาคนที่ไม่อยู่


    "ทาคุมิออกไปสักพักแล้วล่ะ เขาฝากให้พวกเราดูแลเธอระหว่างที่ไม่อยู่  อ่ะ ขอโทษนะจ๊ะ ลืมแนะนำตัวเลย ฉันซาโต้ มินาเสะ เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ข้างๆฉันนี่คือซาโนะ ฟุมิยะ เป็นหมอประจำที่นี่ ส่วนคนที่มาพร้อมเธอคือซาโต้ เคย์โกะ ลูกชายของฉันเอง"

    คุณนายซาโต้แนะนำตัวเองพร้อมๆกับแนะนำทุกคนที่นั่งอยู่  คุณซาโนะยังคงส่งยิ้มมาให้หลังจากที่ชื่อตัวเองถูกเอ่ย ต่างกับอีกคนที่ดูยังไงก็เหมือนจะพุ่งมาบีบคอผมอยู่ทุกนาที  คุณนายซาโต้บอกให้ทุกคนเริ่มทานได้แล้วก่อนอาหารจะเย็นชืด แต่เท่าที่สังเกต ทุกคนทานน้อยมาก เหมือนแค่สามคำก็อิ่มกันแล้ว ในขณะที่ผมยังรู้สึกที่ทานไปยังไม่ถึงครึ่งนึงของกระเพาะเลย ผมวางช้อนลงทั้งที่ยังไม่อิ่ม แต่จะให้กินต่อทั้งที่เจ้าของบ้านวางช้อนแล้วก็รู้สึกแปลกๆ  คุณซาโนะเข้ามาเช็กความเรียบร้อยของแผลหลังจากที่ทุกคนบนโต๊ะแยกย้ายกันไป  แผลที่ตอนนี้ค่อนข้างสมานกันแล้วเป็นที่น่าพึงพอใจของคุณหมอมาก ผมพยายามถามถึงเหตุผลที่อยู่ที่นี่  แต่กลับได้คำตอบที่ทำให้งงกว่าเดิมมาอีกครั้ง


    "คุณเป็นคนพิเศษของทาคุมิ"



    คนพิเศษของทาคุมิ ประโยคนี้วนอยู่ในหัวตลอดทำให้ผมนอนไม่หลับ ทำไมคุณซาโนะถึงพูดแบบนั้น  ในระหว่างที่นอนขบคิดไปเรื่อย เสียงบิดประตูดังขึ้น ผมปิดตาลงให้เหมือนว่านอนหลับไปแล้ว เสียงปิดประตูเบาๆ จังหวะการเดินที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นทาคุมิ เขาเดินมาที่ข้างเตียง ผมพยายามทำให้ตัวเองดูเหมือนคนที่กำลังนอนหลับสนิทให้มากที่สุด  แต่แล้วสัมผัสเบาๆบนหัวทำให้จิตใจตอนนี้ไม่สามารถสงบนิ่งได้


    ทาคุมิกำลังลูบหัวผมอยู่


    ผมหรี่ตามองถึงจะเห็นไม่ชัดแต่ก็เป็นทาคุมิจริงๆ อีกคนลุกขึ้น วางถุงสีขาวลงที่โต๊ะข้างเตียง ผมไม่รู้ว่าเขาจับได้หรือเปล่าว่าผมแกล้งหลับ  ทาคุมิออกไปแล้ว ผมหันไปมองถุง แต่มองไม่ชัดสักเท่าไหร่ แสงจากดวงจันทร์ที่ลอดมาทางหน้าต่างไม่ค่อยช่วยให้เห็นชัด  แต่มีสิ่งที่ผมแน่ใจ แน่ใจว่าเห็นจากใบหน้าของคนที่เพิ่งเดินออกไป  สิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นจนแทบจะออกมาจากตัว 


    ตาสีเหลืองทอง และ เขี้ยวแหลมนั้น 







Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in