เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Untitledsunnyside1909
ดาวเคราะห์แห่งคนกลางๆ

  • ผมไม่เคยชอบงานเลี้ยงรุ่น


    งานเลี้ยงรุ่นเป็นเหมือนแท่นวางถ้วยรางวัลขนาดใหญ่ของรุ่นเรา ใครที่โดดเด่นก็เหมือนมีสปอตไลท์ส่อง เขาหัวเราะเสียงดัง ยิ้มปากกว้างดวงตายิบหยีด้วยอารมณ์ที่ดี รองเท้าหนังมันปลาบ เข็มขัดมียี้ห้อเสื้อเชิ้ตรีดเรียบกริบและกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่ดูมีรสนิยมแม้ว่าจะชวนให้เวียนศีรษะอยู่บ้าง

    สปอตไลท์ไม่ได้มีแค่ดวงเดียวถ้ามีสปอตไลท์เพียงดวงเดียวในงานก็ออกจะใจร้ายไปหน่อยแล้ว

    สปอตไลท์มีหลายดวง ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ต่างกัน แต่ทุกดวงล้วนส่องสว่างจนแสบตากวนให้ความรู้สึกคันยิบๆในใจรุนแรงยิ่งขึ้น

    ผมเรียกมันว่าความอิจฉา

     

    อิจฉาเขาล่ะสิ ทำไม่ได้อย่างเขาน่ะ

    ใช่ ผมอิจฉา

     

    ตัวผมเองนี่ เมื่อมองกลับไปตั้งแต่อนุบาลแล้วก็พบว่าตัวเองเป็นคนกลางๆมาตลอด

    เล่นกีฬากลางๆ

    เรียนกลางๆ

    มีมนุษย์สัมพันธ์กลางๆ

    เข้าเรียนมหาวิทยาลัยรัฐบาลในคณะกลางๆ

    จบมาด้วยเกรดกลางๆ

    และ ทำงานในองค์กรขนาดกลาง ตำแหน่งงานกลางๆ

    เงินเดือนก็ยังกลางๆด้วย

    แม้กระทั่งเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ก็เป็นแบรนด์กลางๆ

    แต่กระดุมเบี้ยวไปด้านข้างเล็กน้อย ไม่กลางเท่าไหร่

     

    ผมไม่ใช่ตัวปัญหาของอาจารย์ที่ไหน และไม่ใช่คนโปรดของใครด้วย

    เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่คุณอาจจะจำไม่ได้ในห้องเรียนหรือใครสักคนที่คุณคุ้นหน้าในที่ทำงานที่คุณอาจจะต้องใช้เวลานึกนานสักหน่อยก่อนจะนึกออกในที่สุดแต่คุณก็จะยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่า จะอธิบายเกี่ยวกับตัวผมว่าอย่างไร

    คำที่อ่อนหวานที่สุดเท่าที่มีคนเคยชื่นชมผมก็คือ

    พี่เป็นคนใจดีนะคะ

    นั่นก็คือเด็กฝึกงานคนหนึ่งที่อยู่ในความดูแลของผมเป็นคนพูด

    ผมคิดว่านั่นไม่ใช่คำชมอะไรเลย แต่ก็รู้สึกขอบคุณและดีใจอยู่ดีที่ได้ยินอาจจะเพราะไม่ค่อยมีคนชมผมบ่อยนัก

     

    ผมวางแก้วเบียร์ในมือลง

    รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับเรื่องของการเทเบียร์ให้ไร้ฟอง เบียร์ควรจะมีฟอง

    ผมกระพริบตา รู้สึกง่วงเล็กน้อยสมองคิดไปถึงงานที่ยังคั่งค้างที่อาจจะต้องเร่งทำให้เสร็จในคืนนี้

     

    ผมมองชายหนุ่มในสปอตไลท์อีกครั้ง

    เขาสว่างสดใสจริงๆ

     

    และใช่ ผมอิจฉา

    ผมอิจฉาที่ผมไม่เคยรู้เลยว่า พวกเขามีวิธีการอย่างไรในการใช้ชีวิต ทำไมพวกเขาถึงมีบุคลิกที่น่าเข้าหาแบบนั้นและทำไมพวกเขาถึงก้าวไปเร็วยิ่งกว่าผมขนาดนั้น

    ผมอิจฉานักดนตรีเครื่องสายคนหนึ่งในรุ่นเขาเป็นคนเรียนห่วยแตกบัดซบยิ่งกว่าใครๆ แต่มีพรสวรรค์เพียงอย่างเดียวคือการเล่นดนตรี

    การมีพรสวรรค์นั้นดี

    แน่ล่ะมันทำให้คุณสามารถเล่าเรื่องน้ำลายแตกฟองเกี่ยวกับเวียนนาได้อยู่นี่อย่างไรเล่า

     

    ไม่ใช่ทุกคนจะมีพรสวรรค์

    ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีบุคลิกโดดเด่น

     

    พวกเขาเป็นดาวฤกษ์

    ถ้ามีดาวฤกษ์ ก็คงต้องมีดาวเคราะห์

     

    ไม่งั้นถ้าทุกคนเป็นดาวฤกษ์หมด ดาวฤกษ์ก็คงไม่โดดเด่นแล้ว

    นั่นคงเป็นสีสันอย่างหนึ่งของจักรวาลแน่ๆ

     

    ผมนึกสงสัยขณะมองฟองอากาศในแก้วเบียร์

    บรรดาคนกลางๆเขารู้สึกอย่างไรกันนะเขาจะรู้สึกอึดอัดคับข้องใจกับความกลางๆของพวกเขาแบบผมไหมเขาจะรู้สึกอิจฉาริษยาอย่างไอ้ขี้แพ้แบบผมหรือเปล่า

     

    ผมรู้ว่าไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่ายนักดนตรีที่เวียนนาคนนั้นซ้อมเป็นพันๆชั่วโมงกว่าเขาจะฉายแสงผมเองเรียนไปพร้อมกับเขา

    แต่ในขณะที่เราเรียนไปพร้อมกัน เขาวิ่งผมเดิน

    พรสวรรค์ทำให้เขาวิ่งได้เร็ว แน่นอนว่าการวิ่งย่อมเหนื่อย แต่มันก็เร็ว

     

    ผมไม่เคยชอบงานเลี้ยงรุ่น

    นั่นอย่างไรเล่า พวกเขาเริ่มคุยกันเรื่องที่ทำงานแล้ว

    การทำงานของผมไม่ได้แย่นักหรอกไม่ใช่ในแบบที่คุณได้ยินแล้วจะนึกสงสัยว่าสิบปีที่ผ่านมาผมทำอะไรอยู่

    สิบปีที่ผ่านมาผมทำงานอย่างหนัก เดินอย่างเชื่องช้าในความเร็วกลางๆแต่ก็มาถึงในที่ที่เวลาพามาถึง

    ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอิจฉาพวกเขาเหล่านั้นในสปอตไลท์อยู่ดีพวกเขาดูมีความสุข ส่องสว่าง

    แต่ผมกลับรู้สึกการที่ผมนั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์ค่อยๆเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้านี่ทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ออก อากาศในออฟฟิศหนักเสมอ

    ไม่แน่ใจว่า การหายใจกับการฟังหัวหน้าว่ากล่าวแบบไร้เหตุผลอันไหนยากลำบากกว่ากัน

    ผมรู้สึกว่าการทำงานมันยากขึ้นทุกที ทั้งที่จริงๆแล้วมันก็เหมือนเดิมตัวผมเองนี่แหละที่ทำให้มันยากขึ้นเรื่อยๆ

     

    ผมไม่อยากตื่นนอนในตอนเช้า

    ทำไมเวลากลางคืนไม่ยาวกว่านี้อีกนิด

    เวลาช่างใจร้ายเหลือเกิน ไม่รู้หรือว่ากว่าผมจะถึงบ้านนั้นก็ดึกแล้วกว่าจะอาบน้ำจัดการตนเองจนเสร็จเรียบร้อยนั่น

    ผมก็มานั่งอยู่บนเตียงอย่างว่างเปล่าในตอนกลางดึกเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างไร้จุดหมายแล้วก็นอน

    ...ภาวนาให้พรุ่งนี้ไม่มาถึง

     

    ผมไม่รู้ว่าชอบอะไรในเวลากลางคืน ผมอาจจะชอบที่ได้อยู่คนเดียวเงียบๆหายใจเพียงคนเดียว แต่ผมก็เกลียดความรู้สึกที่ว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาถึงในอีกไม่ช้า

    พระอาทิตย์จะต้องขึ้น

    และผมก็จะต้องไปทำงานอีกครั้ง

    ทำงานที่จริงๆแล้วก็จะว่าสำคัญก็สำคัญแต่จะไม่สำคัญนั่นก็ไม่สำคัญเอาเสียเลย

    เป็นต้นว่า ถ้าผมไม่ทำงาน ผมก็ไม่มีเงินกินข้าว ...นั่นสำคัญ

    ถ้าผมไม่อยู่บนโลกนี่แล้ว พวกเขาก็หาคนใหม่มาแทนได้ในวันรุ่งขึ้น...นั่นคือไม่สำคัญที่ว่า

     

    ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบดึงตัวเองออกมาจากการครุ่นคิดถึงค่ำคืนอันชืดชาของตนเองมองพวกเขาที่หัวเราะอีกครั้ง

    ผมหันไปยิ้มและพูดคุยกับคนข้างๆอย่างเชี่ยวชาญ

    สิบปีทำให้คนเราเข้าสังคมได้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว

     

    แต่จะชอบหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    ผมคิดว่าคนที่มีสปอตไลท์ส่องแสงนั้น พวกเขามีกองไฟกองหนึ่งอยู่ข้างในกองไฟที่จะทำให้วิ่งไปด้านหน้า

    แต่ผมเกิดมาพร้อมกองไฟมอดๆกองหนึ่ง

     

    ผมเกลียดการใช้ชีวิตไปวันๆ แต่ก็ใช้ชีวิตไปวันๆ

    เกลียดความเป็นคนกลางๆ แต่ก็คร้านจะลุกขึ้นมาทำอะไรให้มันใหญ่โต

     

    ผมนี่ช่าง...

    ผมรู้สึกหมั่นไส้ตนเองชอบกล

     

    เฮ้อ ผมอิจฉาเหล่าดาวฤกษ์จริงๆ

    ผมคิดขณะจิบเบียร์ในมือ หัวเราะกับมุกตลกชืดๆของเพื่อนร่วมรุ่นพอเป็นมารยาท

    ผมกระพริบตา รู้สึกตาแห้งและตาพร่าเล็กน้อยคิดที่ที่นอนอันแสนสงบและคิดถึงงานในวันรุ่งขึ้น

    ผมคิดไปแล้วว่าตอนเช้าพรุ่งนี้ผมจะทำงานอะไรก่อน...

     

    เมื่อสิบปีก่อน ตอนผมเริ่มทำงาน คนสัมภาษณ์งานถามผมว่าอีกสิบปีข้างหน้าผมเห็นตนเองเป็นอย่างไร

    คำถามนี้ยากมากสำหรับผม

    แต่ผมก็ตอบไปตามที่สมควรจะตอบ ผมเห็นตนเองมีการงานมั่นคงทำ

     

    และตอนนี้สิบปีต่อมาผมก็มีการงานมั่นคงจริงๆ

    แต่ผมรู้สึกตั้งแต่ปีแรกที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ผมคิดว่าผมไม่เหมาะกับสิ่งเหล่านี้เอาเสียเลย

    ผมเบื่อ ผมรู้สึกเหมือนถูกฆ่าตายด้วยมีดเย็นชืดอยู่เบื้องหลังคอมนี่

    และผมไม่อยากจะนั่งอยู่ตรงนี้ไปอีกสิบปี...หมายถึง โอเคตำแหน่งอาจจะเลื่อนบ้าง แต่ผมไม่อยากทำงานแบบนี้ไปจนเกษียณ

    นั่นดูจืดชืดเกินไป

     

    ผมหลุบตามองเบียร์ที่นอนนิ่งอยู่ในแก้วอีกครั้งกลิ่นของมันคุ้นเคยแต่ไม่ทำให้ผมสงบลงได้

    ผมไม่อยากทำงานประเภทนี้แล้ว แต่ก็ไม่รู้จะไปทำงานไหน

     

    ผมมันคนกลางๆ

    ความฝันอะไรก็ไม่เคยมี

     

    ผู้คนมักจะถามเสมอว่าตอนเด็กๆอยากเป็นอะไร

    ผมอยากเป็นนักบินอวกาศ ก่อนจะเรียนรู้ในไม่กี่ปีถัดมาว่าอาชีพนักบินอวกาศน่ะไม่อะแวละเบิลในประเทศนี้

     

    นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว

    ชีวิตคนเรานี่ช่างจืดชืดได้อย่างน่ากลัวจริงๆ

     

    ผมมองดาวฤกษ์ส่งยิ้มสดใสข้ามโต๊ะมาให้ แน่นอนเขาคงไม่ได้ยิ้มให้ผมหรอก

    ผมแน่ใจว่าดาวฤกษ์ก็คงมีปัญหาแบบดาวฤกษ์

    และดาวเคราะห์ก็มีปัญหาแบบดาวเคราะห์

     

    แต่อย่างไรเป็นดาวฤกษ์มันก็ดีกว่า

    แต่ก็เป็นดาวเคราะห์มาทั้งชีวิตแล้วนี่หว่า

    คุณอาจจะมองว่าผมน่ะเป็นไอ้ขี้แพ้

     

    อืม ก็คงใช่...มั้ง

    เพราะถึงผมบ่นอยู่แบบนี้ แต่ผมก็ยังคงจะตื่นเช้าพรุ่งนี้ไปทำงานและในอีกสิบปีข้างหน้าก็คงจะยังอยู่หลังคอมพิวเตอร์แบบนี้ แค่อาจจะย้ายที่เล็กน้อยเงินเดือนเพิ่มอีกนิดหน่อย



    หวังว่าคุณจะเป็นดาวฤกษ์


    หรือไม่ก็ดาวเคราะห์ที่สว่างกว่าผมนะ

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
sunsetisjustasunset (@bbbbbbbbbbbbbbb)
เป็นเหมือนกันค่ะ เคยแอบอิจฉาคนที่เขาเป็นดาวฤกษ์ แต่บางครั้งก็คิดว่าเป็นแค่ดาวเคราะห์ก็ดีแล้ว ไม่ต้องมีคนมาคาดหวังอะไรกับเรามากมาย 555555