เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
THE DIARY OF MY JOURNEYPATNAKAN
หลงทางไปกับไกด์หยิน ณ Bolzano,Italy
  • สวัสดี  เรากลับมาอีกแล้ว พอดีเคยพิมพ์ไว้ เลยอยากเอามาลงอีกทีค่ะ แต่จริงๆ ก็ไม่อยากอ่านหนังสือไฟนอลนั่นเอง ก็เลยมาหาเขียนอะไรลงในอินเตอร์เน็ตให้คนอ่านเล่นแทนค่ะ...

    คราวนี้จะพาไปเที่ยวโบลซาโน่ ไม่มีสาระเช่นเคย อยากเล่าอะไรก็เล่า  อยากเขียนไลฟ์สไตล์ของคนเมืองนี้ด้วยค่ะ ฮ่าๆ  

    เรื่องยังคงพูดถึงตอนที่เราไปแลกเปลี่ยนที่อิตาลีเมื่อปี 2015-2016 นะคะ 

    ไปเที่ยวกันนนนนน


    Bolzano/Bozen : Italy

     ถ้าให้พูดถึงเมืองโบลซาโน่ หรือ โบเซน (ในภาษาเยอรมัน) คนไทยส่วนมากต้องไม่รู้จักแน่นอน แต่ถ้าพูดถึงว่า มีภูเขา Dolomites และเป็นต้นกำเนิดของแบรนด์เวเฟอร์ Loacker  อาจจะพอนึกภาพออกแบบเลือนรางภาพภูเขาบนซองนั่นแหละค่ะ อยู่ที่เมืองนี้เอง พวกเธอไม่สังเกตกันสินะซื้อมาแล้วก็คงกินเลย เราก็เช่นกันค่ะ กินอย่างเดียว ก๊ากกกกก

    ภูเขาล๊วร์คเก๊อรรรร์ คำอ่านแบบภาษาเยอรมัน...


    เอาล่ะวันนี้ทีวีไดเรคขอเสนอ โบลซาโน่ โน่ โน่

     เมืองนี้ตั้งอยู่ในแคว้นเตรนติโน่ อัลโต อดิเจ  (Trentino-Alto adige) 

    เหนือสุดใกล้ๆชายแดนอิตาลี -ออสเตรีย เป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยภูเขา ไร่องุ่นและแอปเปิลปราสาทเก่าแก่ ปราสาทนี่ไม่แน่ใจว่ามีเจ้าของไหมแต่บางที่ก็ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นโรงแรม เป็นโรงงานไวน์ก็มี

    แล้วก็ธรรมชาติที่สวยงามมาก ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้ย้ายมาอยู่เมืองนี้ ไปเสิร์ชดูในกูเกิลแมป ก็มองไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหน ซูมไปใกล้ๆชายแดนออสเตรียถึงเห็น...

    คือขนาดลองเสิร์ชในกูเกิล คนไทยก็เคยมาน้อยมากอะ นี่เลยโมโห เดี๋ยวกูเขียนเองเลยก็ได้ มา!!


    เขียนอวยเมืองนี้สุดๆเพราะเราชอบมาก อากาศดี เมืองสะอาดด้วย


    อีกอย่างที่ชอบ ก็คือการกินและการรักษาธรรมชาติของโบลซาโน่ด้วยนะคะ คนที่นี่เค้ามั่นใจในเรื่องระบบความสะอาดของน้ำที่สุด น้ำก๊อกเก่าๆในสวนสาธารณะยังดื่มได้ทีแรกก็ไม่กล้า ดื่มลงไปนี่ท้องกูจะขึ้นสนิมรึเปล่า แต่เออนี่ไม่ใช่ก๊อกน้ำประเทศไทย ไม่ต้องห่วง เลยดื่มสบายใจมาก (เอ๊ะ ทำไมเราดูพาดพิง ;-;)

    มาถึงบ้านโฮสวันแรก ถึงบ้านปั๊บ สิ่งแรกที่โฮสพาทำคือ โฮสพาเราไปในครัว เปิดน้ำก๊อกให้เรา แล้วก็บอกว่า ชิมดูๆอร่อยนะ......

    อืม ของเค้าดีจริงๆ...


    การกินทุกอย่างจะเป็นไบโอเกือบทั้งหมดและเกือบทุกครอบครัวด้วยที่เราเคยเห็นมา จ่ายแพงแค่ไหน โฮสเราก็จ่ายเคยเห็นโฮสซื้อหน่อไม้ฝรั่งไม่กี่ชิ้น 20 ยูโร... คุณพระ...

    ถึงแม้โฮสเราจะยัดเยียดให้เรากินผักแค่ไหน เลี้ยงเราแบบกระต่าย เราว่า เออ มันก็ดีเหมือนกัน อยู่นี่ห้าเดือนได้กินผักเยอะกว่ากินที่ไทยทั้งปีรวมกันอีก ฮ่าๆๆๆ

    การแยกขยะทุกอย่างการลดมลภาวะ เค้าทำทุกอย่างที่เค้าสามารถทำได้ แยกขยะทุกชิ้นถังขยะบางที่มีกุญแจล็อกไว้ด้วย กันไม่ให้คนไปทิ้งมั่วซั่วต้องคนที่อยู่อพาร์ตเมนต์แถวนั้นถึงจะมีกุญแจไข เราเคยจะทิ้งขยะโฮสแด๊ดก็รีบวิ่งมาเลยค่ะ ไม่ได้ๆ เดี๋ยวฉันทำเอง เดี๋ยวหยินแยกผิด ซีเรียสมากค่ะ ปลูกฝังจิตสำนึกให้กับคนรุ่นใหม่ตลอดเวลาด้วยเป็นสิ่งที่เราชื่นชมมากจีจี เอาไปเลยรางวัลเมืองดีเด่น

    ระบบขนส่งสาธารณะก็ดี การ์ดใบเดียว ขึ้นรถบัสรถไฟต่างเมืองได้เลยไม่ต้องซื้อบัตรใหม่บ่อยๆ

     ถ้ารวยจะอยากมาซื้อบ้านอยู่ที่นี่สักหลัง ตอนนี้ก็เก็บบาทสองบาทไปก่อน ฮ่าๆ

    โฮสบอกว่าถ้าฤดูหนาว ที่นี่จะหนาวกว่าที่อื่น ฤดูร้อนก็จะร้อนกว่าที่อื่นเพราะภูเขาล้อมแล้วนอกจากนี้ ถึงที่นี่จะไม่มีทะเล แต่ก็มีทะเลสาบค่ะ ทิวทัศน์สวยเป็นเมืองที่แบบ โอ๊ย ดี ขี้เกียจหาคำมาบรรยายละ


     

    ถ้าให้เขียน ฮาวทูบีโบลซานินี่ (Bolzanini– คนที่อาศัยอยู่ในโบลซาโน่) จะพอสรุปได้ประมาณนี้ค่ะ

    อย่างแรกเข็นจักรยานคุณออกมาค่ะ เพราะคนที่นี่ชอบปั่นจักรยานกันมากปั่นพอๆกันกับเนเธอร์แลนด์เลย เพราะช่วยลดปัญหารถติด เร็วกว่าแล้วก็ได้กินลมชมวิวและได้รับความจักกะแร้เปียกก่อนไปทำงานยามเช้าอีกด้วยดีสุดๆไปเล้ย

    แล้วก็ยังมีให้เด็กเล็กในโรงเรียนเรียนเรื่องกฎจราจรเพื่อใช้ในการปั่นจักรยานด้วยนะ มัมก็เคยเล่าให้ฟังด้วยว่า (ถ้าฟังอิตาเลียนมาไม่ผิด) มันจะมีวันนึงที่ให้ใช้รถให้น้อยที่สุด ให้ใช้ขนส่งสาธารณะอย่างเดียว กับจักรยานเพื่อลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของยานพาหนะ

    และแน่นอนว่าโฮสเราผู้รักสุขภาพ มีจักรยานรวมทั้งหมด 6 คัน และแกก็อยากให้เราปั่นจักรยานไปโรงเรียนเหลือเกินและดิฉันผู้ไม่ได้ปั่นจักรยานมาหลายปีแล้วตั้งแต่ใช้มอเตอร์ไซค์เป็น ขี้เกียจปั่นมาก เพราะเหนื่อย แต่เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตามตามแหละนะ เอ้าปั่นก็ปั่น   

     และหลังจากที่เราปั่นไปโรงเรียนวันแรกโดยที่โฮสมัมพาปั่นไป เหนื่อย หอบแฮ่กมาก

    มัมก็หันมาถามว่า เหนื่อยเหรอ นี่ขนาดฉันปั่นช้าลงแล้วนะ..ไม่เป็นไรนะหยิน เดี๋ยวก็คงชิน

    โหย มัมคะ หนูอ้วนค่ะ ทำอะไรหนูก็เหนื่อยทั้งนั้นแหละค่ะ

    และเวลาเราทำตัวว่างเกินไปตอนอยู่บ้านโฮสมัมก็จะบอกให้เรากับน้องอลิเชปั่นจักรยานไปกินเจลาโต้ในเมืองบรอนโซโลที่อยู่ไกลออกไปประมาณ8 กิโลเมตร...


    นั่นย่ามของเรา และข้างหน้านั่นโฮสซิสเราเอง เย่

    ถ้าให้เปรียบเทียบ ความสัมพันธ์ของเรากับจักรยานเป็นแบบ Love-Hate Relationship  ทั้งรักทั้งเกลียดค่ะเพราะมันทำเราเหนื่อยมาก แต่มันทำให้เราเห็นวิวที่ชัดเจนมากกว่าการนั่งรถ แต่ถึงเราจะเกลียดมันมาก แต่มันก็มีข้อดีที่ทำให้เรารักมันได้เหมือนกัน ดังนั้นขอใช้จักรยานแค่ช่วงมีโมเมนต์อยากเสพธรรมชาติแต่ถ้าปกติฉันขอใช้ขนส่งทั่วไปละกันนะคะ

    เท่าที่จำได้ ที่ไปซื้อเจลาโต้ แดดเปรี้ยงมาก บ่ายสอง แดดกำลังส่องลงมาในองศาที่หน้าผากเราวางไข่ลงไปแล้วสามารถกินได้

     เพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จมาริน่าไปเรียนคอร์สดนตรี มัมกับแด๊ดออกไปทำงานที่คูหาเลือกตั้งอะไรสักอย่างในเมือง จูเลียก็ไม่อยู่บ้านเหลือแค่เรากับอลิเช มัมกำกับว่าเงินอยู่บนโต๊ะ ไปปั่นจักรยานด้วยนะ

    จริงๆอลิเชก็บอกว่าไม่ค่อยอยากไป แต่ไปก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เราบอกไม่ค่อยอยากไปเลยอะ มันร้อน น้องก็เลยบอกว่า งั้นเราไม่ไปก็ได้นะ แต่เดี๋ยวฉันจะบอกแม่ให้ว่าเราไป(ในใจอยากตอบว่า เอาเลย!) แต่หยินเวอร์ชั่นแองเจิลบอกว่า หยิน โกหกมันไม่ดีไปเหอะ ได้กินเจลาโต้ด้วยนะ

    สุดท้าย เราก็ต้องไปเอาจักรยาน แล้วก็ค่อยปั่นไปเรื่อยๆ มีวิวภูเขากับแม่น้ำระหว่างสองข้างทาง คือมันก็สวยแหละนะ อากาศดีแหละ แต่ดูแดดหน่อยไหมอะไม่ได้อยากปฏิสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ขนาดนั้น และเราหอบอีกแล้ว ตามน้องไม่ทันมีลงไปเข็นเวลาขึ้นเนินเป็นช่วงๆ ประเด็นคือเนินในเมืองมันสูงมาก สูงจนท้อเลยลงไปเข็นแม่ง น้องสงสารก็เลยลงจากจักรยานของตัวเองแล้วเข็นเป็นเพื่อน 55555


    พอพ้นเนินไป ขับไปอีกไม่ไกลมาก ก็ถึงร้านเจลาโต้ค่ะ เราก็เดินเข้าไปสั่ง ขอเอาให้คุ้มค่าเหนื่อยเลยแล้วกัน โคนวาฟเฟิลใหญ่สุดสองสคูปกับวิปครีมไปเลยค่ะ!!

    อืม ที่เผาผลาญมาแปดกิโลเมตรเมื่อกี้ มึงกะจะเติมคืนไปให้เต็มเลยสินะ

    แล้วก็ออกมานั่งกินที่เก้าอี้ใต้ร่มไม้นอกร้าน อ่าห์ ฟินมาก ดีมากนั่งคุยไปด้วยกินไปด้วย

    แต่เอาจริงๆต่อให้มีความสุขและฟินแค่ไหน แต่ถ้าให้ปั่นมากินอีกก็คงไม่เอาแล้วอ่ะค่ะ เจลาโต้หัวมุมถนนหน้าอพาร์ตเมนต์โฮสก็มีไม่เห็นต้องมาไกลขนาดนี้ ยังไงเราก็ลิ้นจระเข้อยู่แล้ว กินอะไรก็อร่อยทั้งนั้นค่ะ

     

    นอกจากปั่นจักรยาน งานอดิเรกอีกอย่างของคนโบลซาโน่ ก็คือการไป Hiking บนภูเขาค่ะ ไปเดินเล่นสนุกๆ ร้อนแค่ไหนก็ไป ยิ่งร้อนยิ่งชอบ ฤดูหนาวเหรอ ไปสกีกัน ไปสไลด์หิมะกัน ฤดูร้อนเหรอ ไปปั่นจักรยานขึ้นเขากัน

    จะร้อน ฝนหนาว หิมะ วันเกิด วันหยุด ผัวทิ้ง ปิดเทอม เปิดเทอม ก็ไปแต่ภูเขา จนไม่แปลกใจว่าทำไมกล้ามขาแต่ละคนถึงเป็นมัดๆขนาดนี้

    ดังนั้นอย่างที่สอง เตรียมใจให้พร้อม แล้วไป Hiking ด้วยกันค่า ~ (ทำเสียงสดใส)




    โดยกำเนิดเป็นคนอีสานแต่ไม่เคยไปเฉียดใกล้ภูกระดึงหรืออะไรสักนิดเพราะไม่ชอบการออกแรง เป็นคนขี้เกียจนั่นเองค่ะ แต่พอได้มาอยู่ที่นี่แล้ว ต่อให้มัดตัวเองติดกับเสาแล้วทาตราช้างทับอีกที โฮสก็จะลากดิฉันออกไปเดินเล่นที่ภูเขาอยู่ดีค่ะ

    ตลอดเวลาที่อยู่กับโฮสถ้าวันอาทิตย์ไหนที่โฮสว่าง ไม่มีธุระอะไรโฮสจะพาไปนั่งรถไปบนภูเขาแล้วก็เดินเล่นค่ะ  แล้วโฮสมีรองเท้าบูทที่เอาไว้เดินป่า ใส่แล้วมีความไปเขาชนไก่มาก แต่อลิเชไม่ค่อยชอบใส่ เวลาไปภูเขาด้วยกันน้องก็จะนั่งโวยวายในรถเป็นครึ่งชั่วโมงถึงจะยอมใส่ จริงๆเราก็ไม่ค่อยอยากใส่เพราะมันหนักแล้วก็บีบเท้าด้วย เดินไปแล้วมีแต่เจ็บเท้าเพิ่ม แต่โฮสบอกให้ใส่ก็..ใส่ก็ได้

    แต่โบลซาโน่มันก็ไม่มีอะไรแล้วนอกจากภูเขาถ้าไม่ไปภูเขาแล้วจะให้ไปที่ไหน มันเลยกลายเป็นงานอดิเรกของทุกคนในเมืองไปแล้วลูกเล็กเด็กแดงก็ไปกันหมด เด็กไม่กี่ขวบก็เล่นสกีเป็นเราแค่ให้เดินบนหิมะเฉยๆยังจะลื่นได้เลย

              จนได้ข้อสรุปว่า อย่าแปลกใจเลยถ้าจะเห็นฝรั่งปั่นจักรยานข้ามประเทศ หรือ ปีนเขาที่สูงกี่กิโลเมตรหรืออะไรที่มันห่ามๆ เพราะผ่านการฝึกมาอย่างธรรมชาติตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยแล้วเหมือนเค้าถูกปลูกฝังมาแล้วว่า ออกไปผจญภัยเถอะ ไปให้ไกลลล ไปให้พ้นน ไม่มีความจำเป็นที่เราจะพบกันอีกกก (เพลงเก่ามาก...)


    ส่วนเรื่องไร่องุ่นกับแอปเปิลเราได้ย้ายมาช่วงที่ไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยวแล้วค่ะ เลยอดเห็น เห็นแต่กิ่งแห้งๆแทนเศร้าเลย โฮสบอกว่าพวกคนที่มีไร่มีสวนเนี่ยรวยมากนะ ที่ดินน่ะแพงมาก ยิ่งมีบ้านอยู่ในไร่ด้วยเนี่ย เศรษฐีเลยนะ


    แต่ไฮไลต์นอกจากนี้ก็คือเมืองนี้ใช้สองภาษาค่ะ เยอรมัน และ อิตาเลียน

    น่าจะเป็นเพราะเหตุผลด้านสงครามโลกค่ะคนที่นี่เค้าไม่ได้อยากรวมกับอิตาลีเท่าไหร่ อยากรวมกับออสเตรียมากกว่า แต่สุดท้ายก็เป็นเมืองท้ายๆค่ะที่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในเมืองทั้งหมดของประเทศอิตาลี


    นี่เป็นป้ายสองภาษาค่ะ ซ้ายเยอรมัน ขวาอิตาเลียน

    คงจะคับแค้นใจน่าดู ปัจจุบันยังมีคนอีกเยอะมากค่ะที่ไม่ยอมเรียนภาษาอิตาเลียน เพราะว่า อ้าวมันก็มีภาษาเยอรมันอยู่แล้ว ทำไมกูต้องเรียนอิตาเลียนด้วยอะไรแบบนี้ 55555

    โฮสซิสเราทั้งสามคนเรียนโรงเรียนเยอรมันถึงแม้ว่าจะเป็นคนอิตาเลียน แต่โฮสมัมอยากให้ได้หลายๆภาษาเลยส่งไปเรียนแต่เราว่าต่อให้ไม่เรียนสภาพแวดล้อมที่นี่มันบังคับให้คนเห็นทุกอย่างเป็นภาษาเยอรมัน ก็คงจะทำให้เข้าใจภาษานี้ได้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม ตื่นเช้ามาวันแรก กล่องซีเรียล ยี่ห้อแยมทาขนมปังก็เป็นภาษาเยอรมันแล้วอ้ะ

    แม้กระทั่งสถาปัตยกรรมทุกอย่างก็เหมือนได้อารยธรรมมาจากฝั่งออสเตรียเกือบทั้งหมดเลยค่ะไม่รู้สึกเหมือนอยู่อิตาลีเลย ยิ่งเวลาไปเดินบนภูเขา ไปกินร้านอาหารบนเขาได้ยินแต่ภาษาเยอรมัน จนเริ่มสับสนนิดๆว่านี่กูอยู่ประเทศอะไรกันแน่วะ


     ลำบากต้องมานั่งจำชื่อคนทั้งสองภาษาอีกนี่ต้องอ่านจูเลีย นี่ยูเลีย โอ๊ย เหนื่อยเด้อค่ะ

    แต่อย่าคิดนะคะว่าอิหยินจะได้หลายภาษากลับมา ไม่เลยค่ะ อังกฤษไม่เต็ม อิตาเลียนก็รุ่งริ่ง เยอรมันนี่ลาก่อนค่า ออกเสียงก็ยากแล้วเป็นภาษาที่น่ากลัวจริงๆ... แต่เราก็ยังอยากได้หนุ่มเยอรมันนะ อุ๊ย เผลอพูด

     

    ส่วนสำหรับคนที่ไม่ได้ตื่นเต้นกับธรรมชาติเมืองนี้ก็มีย่านให้ชอปปิงไม่แพ้เมืองไหนเลย  ร้านจะตั้งอยู่ใจกลางเมืองค่ะ มีทุกแบรนด์เราว่าถ้าเราอยู่ไปนานกว่านี้ต้องหมดตัวแน่ๆ ขนาดไม่ค่อยแต่งตัวแต่เห็นเสื้อผ้าลดราคาบ่อยๆแบบนี้มันหวั่นใจมากเลยนะคะ!

    วันหยุดก็จะมีตลาดมีร้านขายดอกไม้ เครื่องเทศอิตาเลียน ขายผัก คนก็จะพลุกพล่านซักหน่อยเราก็ชอบไปเดินดู เพราะว่าพ่อค้าขายผักหล่อมากเลยค่—

    และฉันก็ไม่ได้คิดไปคนเดียวนะคะร้านขายผักร้านนั้นน่ะขายดีสุดๆ...


     จริงๆมีอะไรอีกเยอะมากกกกกกก แต่ก็พยายามเขียนเท่าที่นึกออกแบบคร่าวๆ แฮะๆ

    เรารู้สึกว่าอยากให้เมืองนี้มันเป็นที่รู้จักในหมู่คนไทยให้เยอะขึ้น เพราะมันก็เป็นเมืองที่มีกิจกรรมอะไรให้ทำ มีธรรมชาติดีๆให้เที่ยวและมีเสน่ห์ไม่แพ้เมืองอื่นๆในอิตาลีเลย ไปเที่ยวกันเยอะๆนะ 

    Vieni con me in Bolzano!

     จับมือไว้แล้วไปด้วยกันนนนนน


     

     

     

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in