เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ใจความระหว่างบรรทัดismajeab
รัก...คือสิ่งที่ทรงพลังที่สุด
  • 18/10/2563...
    ถึงมิตรรักนักอ่านของฉัน...

    ถ้าเธอถามฉันว่าฉันรักหนังเรื่องอะไรมากที่สุด ตอนที่ัยังเด็กกว่านี้ ฉันอาจจะตอบว่าฉันรักเรื่อง "When Harry Mets Sally" แน่ล่ะเธอคงทำหน้าฉงน ก็หนังมันนานมากแล้ว หลายคนอาจจะเกิดไม่ทันด้วยซ้ำ

    แต่ถ้าเธอมาถามฉันตอนนี้ ฉันขอตอบว่า "Interstellar : ทะยานดาวกู้โลก" สำหรับฉันแล้ว นี่คือหนังรักที่ดีที่สุด มีความหมายมากที่สุด ละเมียดละไมที่สุด และมันก็ทำให้ฉันหลงรัก Christopher Nolan มากที่สุด มากกว่าตอนที่ดูเรื่อง Inception เสียอีก

    สำหรับคนใจร้อน...ขอบอกว่าหนังเรื่องนี้เดินช้า...หากซ่อนรหัสนัยแห่งรักไว้อย่างมากมายเหลือเกิน...เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกอนาคตอันใกล้ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ในวันนั้นโลกจะเต็มไปด้วยมลพิษฝุ่นควัน ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล โลกเผชิญวิกฤตการณ์ขาดแคลนอาหาร ปลูกได้แค่เพียงข้าวโพด กระเจี๊ยบ แม้แต่ข้าวโพดก็กำลังจะตายลง วิศวกรไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไปเพราะโลกมีความเจริญจนเข้าใกล้จุดพินาศ...

    แม้แต่คูเปอร์อดีตนักบินอวกาศผู้เคยทำงานกับนาซ่าก็ยังต้องทิ้งอาชีพของตน เพราะนาซ่าเองยังถูกตัดงบประมาณจนต้องปิดตัว คูเปอร์หันไปใช้ชีวิตเกษตรกรทำไร่ข้าวโพด หลังจากที่ภรรยาจากไป คงเหลือเพียงแก้วตาดวงใจสองคนเป็นลูกชาย และลูกสาว ไว้ให้เขาดูแล เขาตั้งชื่อลูกสาวคนเล็กว่าเมิร์ฟ มาจากชื่อย่อของกฎเมอร์ฟี่...ซึ่งตัวเธอเองก็สงสัยว่าทำไมพ่อตั้งชื่อให้เธอได้ห่วยขนาดนี้ เพราะกฏเมอร์ฟี่คือกฎที่บอกว่า "ทุกสิ่งที่สามารถผิดพลาด จะผิดพลาด” (Anything that can go wrong, will go wrong)

    ในวัยเด็กเมอร์ฟได้สัมผัสปรากฎการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในห้องนอนของเธอ คือ หนังสือหล่นลงมาเองจากชั้น เป็นช่องๆ เล่มเดี่ยวบ้าง เล่มคู่บ้าง ซึี่งเธอเรียกว่า "ผี" แม้พ่อเพียรพยายามบอกว่า "ผีไม่มีในโลกหรอกลูก" แต่เขาเองก็รับรู้ได้ว่ามีบางสิ่ง บางอย่าง ที่อาจจะพยายามสื่อสารกับเขาอยู่...แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็มีพายุพัดทรายเข้ามากองในห้อง มีลักษณะเป็นลอนๆ เรียงตัวกัน พ่อบอกว่านั่นคือผลของแรงโน้มถ่วงที่แสดงสัญญาณพิกัดสถานที่บางแห่ง...และสัญญาณนั้นเองได้นำพาพ่อกับลูกสาวไปยังองค์กรลับของนาซ่าที่ยังคงทำงานกันแบบองค์กรใต้ดิน 

    ในที่สุดชีวิตชาวไร่ก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คูเปอร์ต้องกลับไปเป็นนักบินอวกาศบนเส้นทางที่เขาไม่อาจจะหลีกหนีลิขิตน้้นได้พ้น เมื่อคูเปอร์ได้ไปพบกับศาสตราจารย์แบรนด์ ผู้ทำให้เขาต้องตัดสินใจทิ้งลูกๆ ไว้ข้างหลัง ภายใต้ภารกิจการหาดาวดวงใหม่สำหรับอพยพมนุษย์ที่ยังเหลืออยู่ไปยังอาณานิคมใหม่ในจักรวาลอันไกลโพ้น

    ไม่ว่าจะรักลูกเพียงใด แต่ภารกิจในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์นั้นใหญ่ยิ่งกว่ามากมายนัก เมอร์ฟทั้งโกรธ ทั้งปวดร้าว ในวันที่พ่อจากไปเธอไป แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีเธอก็ยังไม่พร้อมที่จะให้อภัยพ่อ ในขณะที่พ่อเดินทางเข้าไปในห้วงอวกาศ กาลเวลาของลูกบนโลกกับเวลาของพ่อจะไม่เท่ากัน การเดินทางของคูเปอร์เพื่อไปตามหาดาวนอกระบบสุริยจักรวาล ได้แก่ ดาวมิเรอร์ ดาวแมน และดาวเอ็ดมันน์ ซึ่งเป็นดาว 3 ดวง ใน 12 ดวง ที่ส่งสัญญาณว่ามีหวังที่มนุษย์จะอพยพไปอยู่บนดาวดวงนั้นได้ อาจใช้เวลาแค่ 2-3 ปี แต่เวลาบนโลกกลับผ่านไปนานมากๆ

    หลังจากภารกิจแรกบนดาวมิเรอร์ล้มเหลว ทำให้ต้องเสียเวลาไปถึง 23 ปี...แทนที่จะเป็น 7 ปีอย่างที่คาดการณ์ไว้แต่แรก สำหรับพ่ออาจจะดูเหมือนเวลาผ่านไปชั่วโมงเดียว แต่สำหรับลูกสาว เธอก็โตเป็นสาวแล้ว

    หลังจากภารกิจแรกล้มเหลว เชื้อเพลิงไม่เพียงพอสำหรับเดินทางไปยังดาวอีกสองดวงที่เหลืออยู่ คูเปอร์และดร.เอมิเลีย  แบรนด์ ต้องตัดสินใจว่าระหว่างดาว 2 ดวงจะเลือกไปดาวดวงไหน คูเปอร์สนใจดาวแมนที่ยังคงส่งสัญญาณมาให้ตลอดเวลา ทว่าดร.เอมิเลีย แบรนด์ตัดสินใจว่าเธออยากจะไปยังดาวเอ็ดมันน์ เพราะคนรักของเธอคือนักบินอวกาศ ชื่อ วูลฟ์ เอ็ดมันน์ ถูกส่งไปที่ดาวดวงนั้น


    พอถึงตรงนี้...สารแห่งความรักถูกส่งออกมาอย่างชัดเจน...มันอาจจะฟังดูธรรมดา แต่สำหรับฉันแล้วมันช่างเป็นสารแห่งความรักที่ลึกซึ้ง เมื่อดร.เอมิเลีย แบรนด์กล่าวว่า

    "ฉันอยากทำตามหัวใจตัวเอง...เพราะใช้ทฤษฎีหาทางออกมานานแสนนานมากแล้ว"

    ในขณะที่คูเปอร์ มองไม่เห็นตรรกะทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ในการเดินทางไปยังดาวเอ็ดมันน์ ดร.เอมิเลีย แบรนด์ ก็ยังสำทับว่า

    "เอาล่ะ ฉันอยากจะบอกอะไรคุณ ความรักไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เราสร้างขึ้น
    สังเกตเห็นได้ว่ามันทรงพลัง มันมีความหมายบางอย่าง ถึงคุณตายแล้วคุณก็ยังรัก...
    มันจึงมีความหมายมากกว่านั้น (มากกว่าเป็นไปเพื่อให้มนุษย์มีความรักต่อกัน)
    สิ่งที่เรายังไม่เข้าใจในตอนนี้บางทีมันอาจจะเป็นหลักฐาน...
    เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นของมิติที่สูงกว่า ซึ่งเราไม่สามารถรับรู้ได้
    ฉันถูกดึงดูดข้ามจักรวาลไปหาคนที่ฉัันไม่เจอมาเป็นสิบปี คนที่ฉันรู้แก่ใจว่าอาจตายไปแล้ว
    รัก...มันเป็นสิ่งเดียวที่เรารับรู้และเข้าใจผ่านมิติของเวลาและอวกาศ
    บางทีเราน่าจะเชื่อมั่นสิ่งนี้...ต่อให้เราไม่เคยเข้าใจมันเลย"

    นี่คือคำตอบของคนที่ใช้หัวใจ ในขณะที่เรามักจะตอบคำถามใดๆ ด้วยเหตุผล ตรรกะ มากกว่าสัญชาติญาณ

    อีกตอนหนึี่งที่ Nolan ย้ำชัดเรื่องความรัก คือตอนที่คูเปอร์ได้รับรู้ว่า แท้จริงแล้วแผนการช่วยมนุษย์ออกมาจากโลกนั้นแทบไม่มีความไปไม่ได้เลย เมื่อศาสตราจารย์แบรนด์ เสียชีวิตลง เขาเองก็ยังไม่สามารถแก้สมการอีกครึ่งหนึ่งได้ด้วยซ้ำ แผน A ที่บอกว่าเมื่อการสำรวจเสร็จสิ้นลงแล้ว คูเปอร์จะได้กลับมาหาลูกสาวจึงเป็นเหมือนเรื่องโกหกทั้งเพ เพราะมันเหลือแต่แผน B นั่นคือการไปตั้งอาณานิคมใหม่อย่างไม่มีวันกลับ

    หากเมอร์ฟนั่นเอง ที่ยังคงมีศรัทธา เธอรู้ดีว่าการแก้สมการต้องการข้อมูลอีกส่วนซึ่งส่งมาจากข้อมูลข้างในหลุมดำ เมื่อเพื่อนหมอในองค์กรนาซ่าถามเธอว่า...แล้วคุณรู้ได้อย่างไร คุณมีข้อมูลหรือ...เมอร์ฟตอบสั้นๆ เพียงว่า "ความรู้สึก"

    Nolan กำลังจะบอกเราว่า บางครั้ง "สัญชาติญาณ" ใช้การได้ดีกว่าสมองที่ประมวลผลจากข้อมูล เช่นเดียวกันกับความรู้สึกของเมอร์ฟ การรู้ได้ คิดได้ การเกิดปัญญา การเห็นคำตอบ ล้วนเกิดขึ้นเพราะมีใครบางคนที่เหนี่ยวนำคำตอบมาให้จากมิติที่ 5 ซึ่งเวลาไม่มีอยู่จริง ซึ่งถ้าตัดความเป็นภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ออกไปแล้ว หนังเรื่องนี้คงจะบอกเราว่า มีพลังบางอย่างจากอีกมิติหนึ่งกำลังสื่อสารความรัก ผ่านแรงโน้มถ่วง ในรูปแบบของพลังงานส่งผ่านมาถึงเรา

    ฉัันดูหนังเรื่องนี้จบรอบที่สองด้วยอาการตาบวมยิ่งกว่าเดิม...กับความรู้สึกใหม่ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม ในเรื่องของมิติ เวลา และความรัก...หากฉันเองก็ไม่สามารถแปลค่าเป็นภาษามาอธิบายได้...ในหนังเรื่องนี้มีความรักของพ่อและลูกสาว 2 คู่ นั่นคือศาสตราจารย์แบรนด์ที่รักลูกสาวมาก จนส่งดร.เอมิเลียไปตั้งอาณานิคมใหม่ในจักรวาล เพราะอย่างไรเสียตัวเขาเองก็ต้องตายลงบนโลกนี้อยู่ดี และยังมีความรักของคูเปอร์กับเมอร์ฟลูกสาวของเขาที่เชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งพ่อจะต้องกลับมา...มันทำให้ฉันตระหนักแล้วว่าบางสิ่งที่เรารู้สึก มันยากเกินกว่าจะสื่อสารด้วยคำพูดได้ จึงมีเพียงเสียงดนตรีเท่านั้นที่พอจะเป็นสื่อในการอธิบาย...เหมือนเรื่องราวความรักของพ่อนักบินอวกาศที่เลือกส่งตัวเองออกไปนอกจักรวาล เพื่อส่งสารจากอนาคตมาช่วยเหลือมนุษย์ผ่านลูกสาวซึี่งถูกเลือกแล้วว่าเธอจะเป็นคนแปลรหัสความรักจากพ่อนั่นเอง

    คำสัญญาของพ่อที่บอกว่าจะกลับมา...และความพยายามของลูกสาวที่เดินหน้าไปแก้รหัสลับแห่งจักรวาล มีจุดบรรจบของมิติที่ 5 ตรงห้องนอนของเมอร์ฟ ซึ่งนั่นคือจุดบรรจบความรักของมวลมนุษยชาติ...

    ฉันเพียงอยากจะบอกกับเธอว่า...จงรักเถอะ
    ...เพราะความรัก...คือสิ่งทรงพลังยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด ทั้งมวล


    มาเรียน 

    #ความรัก #ไดอารี #รีวิว

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in