เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องราวจากการที่ผมได้หายตัวไปเจ็ดวันWatch Take
เรื่องราวจากการที่ผมได้หายตัวไปเจ็ดวัน (5)
  •      แป๊งงงงง แป๊งงงงง
         หืม เช้าแล้วเหรอ วันสุดท้ายแล้วสินะ สดชื่นดีจัง
         วันนี้เป็นวันกลับ แต่ก็ยังมีกิจกรรมตอนตีสี่เหมือนเดิมคือต้องตื่นขึ้นมาทำวัตรเช้าอย่างเคย
    วันนี้สดใสกว่าทุกวัน มันเหมือนปลดเปลื้องความรู้สึกต่างๆ ออกไป มันไม่ลิงโลด ไม่ทุกข์ทน มันสงบขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อสองวันก่อน
         กิจกรรมก็ไหลไปตามเวลา ทำวัตรเช้า ออกกำลังกายแต่วันนี้ก็มีกิจกรรมพิเศษคือการพาเดินชมสวนโมกข์นานาชาติแบบครบรอบใหญ่ ซึ่งนำโดยคุณเมตตา ซึ่งท่านจะพาเดินไปยังโซนอื่นๆ นอกจากตรงที่เราปฏิบัติธรรมกันเจ็ดวันนี้ บอกตามตรงว่ากว้างมากครับ มีทั้งโซนสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะ ซึ่งมีที่สำหรับผู้ที่อยากจะให้ทางสวนโมกข์นานาชาติจัดกิจกรรมปฏิบัติธรรมให้ กี่วันก็ติดต่อมา นอกจากนั้นยังมีโซนสำหรับพระสงฆ์ซึ่งจะมีเป็นกุฏิแยกไปเดี่ยวๆ ซึ่งเหมาะกับการปฏิบัติอย่างจริงจังมากขึ้น ซึ่งแต่ละโซนที่ไม่ได้ต่างกันก็คือความร่มรื่นด้วยเงาไม้และพืชพรรณต่าง ๆ
         ระหว่างเดินอยู่ก็ได้คุยกับเพื่อนร่วมทุกข์หลายๆ ท่าน (ครั้งแรก)  บางท่านก็รู้เรื่องต้นไม้เยอะมาก บางท่านก็พูดถึงเกาะพะงันซึ่งเค้าทำงานอยู่ บางท่านก็เคยบวชที่สวนโมกข์มาก่อน แล้วก็เคยมาที่นี่ด้วย เค้าได้เล่าว่าเมื่อก่อนที่นี่ตอนที่น่าจะยังไม่ได้เป็นสวนโมกข์นานาชาติแบบเต็มๆ ล่ะมั้งครับ ก็เคยใช้เป็นที่ให้อยู่ปริวาสมาก่อน ซึ่งกระผมเข้าใจทำนองว่าจับมาขังเดี่ยวอะครับ เค้าเล่าว่าเพื่อนเค้าทำสังฆาทิเสส (ในข้อหาทำอสุจิเคลื่อนโดยตั้งใจ) ตอนแรกตั้งใจจะไม่บอกหลวงพ่อโพธิ์ แต่พอวันต่อๆ มาเกิดละอาย จึงได้แจ้งกับทางหลวงพ่อไป ผมก็เลยถามว่าเค้าแยกมาอยู่รูปเดียวนี่ไม่ยิ่งเตลิดไปเลยเหรอครับ พี่เค้าก็บอกว่าไม่หรอก ต้องมีพระพี่เลี้ยงอยู่ด้วย อ่อ อย่างนี้นี่เอง ก็เรื่องอย่างนี้มันห้ามยากนะ ถึงว่าถ้าละได้ก็คงข้ามพ้นอะไรบางอย่างได้เลย (ทุกวันนี้ผมก็พยายามอยู่นะ)
         หลังจากทัวร์เสร็จแล้ว ก็ไปที่โรงอาหาร วันนี้ไม่มีข้าวเช้า แต่ก็ไม่เป็นไร ยังมีน้ำปานะลูบท้องอยู่ ก็คุย ๆ กันว่าบางท่านยังไม่มีรถกลับ ผมก็เลยอาสาพาไปส่งที่ตัวอำเภอไชยา ก็คุยกันว่าก่อนกลับขอเข้าไปชมวัดสวนโมกข์หน่อย ทุกคนก็โอเค เราจะไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรก (แต่ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกรึเปล่า
         เดินกลับมาที่จุดลงทะเบียน วินาทีที่ได้มือถือมา เปิดเครื่อง ข้อมูลที่ไม่ได้อัพเดทมาเจ็ดวันได้ไหลเข้าเครื่องมาดั่งน้ำป่าทะลัก! เรียกว่าทำเครื่องค้างเบา ๆ ตอนแรกว่าจะดูมือถือ จนต้องปล่อยมันไปก่อน ไปอาบน้ำอาบท่าเก็บของ บอกลาหมอนไม้ มุ้ง ผ้าห่มที่ได้อยู่ร่วมกันเจ็ดวัน บอกลาตุ๊กแก กิ้งกือ แมงมุม และเพื่อนร่วมทุกข์ทุกคนในหอ หยิบมือถือขึ้นมาดูอีกรอบ ไลน์เจอไป 999 ฮิต! เฟสบุ๊คก็เยอะแต่ไม่มากเท่าไร ซึ่งพอมาเลื่อนดู ก็ทำให้รู้ว่ามีไม่เกิน 10 กว่าข้อความเท่านั้นที่ดูมีความหมายสำหรับเรา...
         ทำให้มานั่งนึกว่า ทุกวันนี้เราเอาเวลาไปทำอะไรกันหมดนะ เราเข้าสู่โลกโซเชียล โลกธรรมดาก็วุ่นวายพอแล้ว แต่เรายังต้องไปวุ่นวายกับโลกโซเชียลอีก ชีวิตที่ผ่านมาเราอยู่กับความไม่สงบเอาเสียเลย ที่สำคัญ เราก็พึงพอใจกับมันเสียด้วยสิ...
         พอหยิบมือถือมาก็จัดแจงโทรหาที่บ้าน คุยกันว่าจะกลับแล้ว แต่ขอเข้าไปที่สวนโมกข์ก่อน (สิ่งหนึ่งที่ผมพลาดมากๆ ตอนมาที่นี่คือ ผมลืมโทรบอกที่บ้านว่ามาถึงสวนโมกข์นานาชาติแล้ว มีแค่ไลน์ที่ทิ้งโลเคชั่นไว้รายทาง ซึ่งที่สุดท้ายคือที่แวะกินข้าวเที่ยง ซึ่งหมายความว่าผมขาดการติดต่อไปเลยเจ็ดวันเต็ม ๆ ซึ่งทางบ้านอาจจะคิดว่าผมหายตัว หรือเสียชีวิตไปแล้วก็เป็นได้... ก็เลยเป็นอีกเรื่องที่ทำให้กังวล ระหว่างปฏิบัติ) พอคุยธุระเสร็จ ก็พาเพื่อนใหม่ไปที่สวนโมกข์ก่อน ภาพสวนโมกข์นานาชาติก็ค่อยๆ ไกลออกไปๆ ระหว่างนั้นก็ยังอุตส่าห์เจอเพื่อนร่วมทางเพิ่มอีกท่าน ก็รับขึ้นมาด้วยกันเลย น้ำใจเต็มรถมาก
    ขับมาถึงที่สวนโมกข์ ที่นี่เป็นธรรมชาติมาก มีเสียงเรไรร้องยาวเหมือนกับใครเปิดเทปอย่างไงอย่างงั้น ถึงคนเยอะ แต่ก็สงบ ทุกคนไม่พูดเสียงดังมากมาย ในวันนั้นเป็นช่วงอาจาริยาวาท ซึ่งก็เป็นช่วงล้ออายุของท่านพุทธทาสซึ่งหมายถึงวันเกิด ทุกคนก็มาที่วัด เพื่อฟังธรรม มีเลี้ยงน้ำเลี้ยงขนมเล็กน้อย สำหรับวันนี้ ทุกคนที่มาถือศีล จะอดอาหารทั้งวัน… อืม เลเวลยากสุดสินะ คุณเมตตาเคยเล่าหลักการให้ฟังว่า ท่านพุทธทาสเห็นว่าในวันเกิดนั้น แม่ผู้ให้กำเนิด ในสมัยก่อนนั้น ทำคลอดใช้เวลาเกือบทั้งวัน ซึ่งหมายความว่าแม่จะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยทั้งวัน ซึ่งบางคนที่คลอดยากก็สองวัน จึงอยากให้ระลึกถึงความลำบากนี้ ซึ่งจริงๆ อดอาหารหนึ่งวันก็ไม่ตาย… (ถ้าเป็นเราจะไหวมั้ยนะ เพราะยังไม่เคยอดขนาดนั้น) แต่ในงานก็เห็นมีลูกจันทน์เชื่อม ซึ่งคนแจกบอกว่าสำหรับคนที่อดอาหาร ผมว่าก็โอเคครับ จะได้ไม่หิวเกินไปอะนะ
         คราวนี้ผมตั้งใจขึ้นไปที่โบสถ์ของวัดนี้ ถ้าทุกคนจำที่ผมพูดได้วัดนี้คอนเซปต์คือมินิมอลิซึ่ม โบสถ์จะตั้งอยู่ด้านบน คือต้องเดินขึ้นไปไม่กี่ร้อยเมตร หลังคาโบสถ์คือท้องฟ้า ช่อฟ้าใบระกา คือต้นไม้โดยรอบ ที่เห็นตรงหน้าคือพระพุทธรูปองค์สีขาว อาณาเขตของโบสถ์ก็แค่ส่วนที่ยกพื้นขึ้นมาเป็นบันได้สองสามขั้น ถึงจะเสียงดังด้วยเสียงเรไร แต่ข้างในกลับสงบอย่างไรก็ไม่รู้
         พอเสร็จจากที่โบสถ์ก็เดินลงมา แล้วก็ไปหาซื้อของฝากหน้าวัด พาเพื่อนๆ ไปส่งแล้วก็บอกลากัน หลังจากนั้นผมก็นอกลู่นอกทางไปอีกหน่อยคือขับเลยไปที่บ้านพุมเรียง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านพุทธทาส กับท่านธรรมทาส ที่นี่เป็นชุมชนเล็ก ๆ มีชุมชนมุสลิมซึ่งเข้าใจว่าทำอาชีพประมงอยู่ด้วย ระหว่างทางไปก็จะเจอโรงเรียนพุทธนิคม ซึ่งเป็นโรงเรียนวิถีพุทธที่ท่านธรรมทาสได้จัดตั้งขึ้น ต่อจากนั้นก็ขับไปชมวิวที่แหลมโพธิ์ ถ่ายรูปนิดหน่อยแล้วขับกลับ
         ระหว่างทางขับรถก็พยายามใช้สติในการขับ ก็ง่วงบ้างตามประสาของการขับขี่ รู้ตัวก็จอดพัก แต่ก็พยายามไม่กินกาแฟ เพื่อเป็นการฝึกตนจริงๆ ใช้การหาปั๊มพักเอา ระหว่างทางก็เจอรถขับใจร้อนบ้าง แต่เราไม่ร้อนตอบ เราหลบให้เท่าที่พอจะทำได้ตลอด ซึ่งมันก็ทำให้เวลาขับรถก็รู้สึกรื่นรมย์ดี จนสุดท้ายกลับมาถึงบ้านก็เล่าเรื่องราวที่ไปประสบพบเจออย่างสนุกสนาน
         หลังจากกลับมา ก็พยายามระวังเรื่องสติ ไม่ให้หงุดหงิด ไม่ให้โกรธ ลดการเสพในหลายๆ อย่างเท่าที่พอจะเป็นไปได้ นั่งสมาธิทุกวัน คอยสำรวจจิตใจตัวเองอยู่เรื่อยๆ แล้วคอยปรับปรุงไปตามที่มันควรจะเป็น
         หลังจากนั้นสองเดือนก็หย่อนลงไปบ้าง กลับมาเสพสุขตามปุถุชนตามปกติ แต่ก็มีสิ่งที่ตั้งไว้ว่าจะไม่ทำเลยก็คือดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันไม่ดีต่อสติ ธรรมดาก็เป็นคนชอบใจลอยอยู่แล้ว และเท่าที่สังเกตสำหรับผมเอง มันไม่ดีต่ออารมณ์เลย
         สิ่งที่ได้จากการเดินทางเข้าสู่ตัวตนข้างในลึก ๆ ในครั้งนี้ ทำให้รู้ว่า เรายังมีกิเลส เรายังต้องปรับปรุงตัวอีกมาก มันทำให้รู้ว่า เราคิดว่าเราเจ๋ง เราเป็นคนดีแล้ว จริง ๆ มันไม่ใช่เลย คนอื่นก็ไม่สมบูรณ์เหมือนกับเรา มีความอยาก มีตัณหา จิตไม่สะอาดเหมือน ๆ กับเรา ยังโง่เหมือน ๆ กับเรา การที่เค้าจะทำอะไรไม่ดีนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ใช่ให้ปล่อยปะละเลยนะ เจอคนไม่ดีให้เฉย ๆ ไม่โกรธตอบ ถ้าคุยได้ให้คุย ถ้าคุยไม่ได้ก็ปล่อยไป ไม่เป็นไร
         การเดินทางในครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรกของผมที่เป็นการเดินทางไปสู่ตัวตนข้างใน อาจยังไม่ถึงกับเห็นทุกอย่างกระจ่างแจ่มแจ้ง แต่ก็พอเห็นลู่ทางที่จะไปสู่จุดจุดนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่ดีของการ "หยุด" ทุกอย่างในจิตใจลง ทำให้เห็นความคิด เห็นความทุกข์ของตัวเรา หนทางในการปฏิบัติอาจจะยาก แต่ก็ต้องลองพยายามดู แต่อย่าให้ตึงไป อย่าให้หย่อนไป หาจุดพอดีๆ ให้ได้
         ชีวิตอาจจะคล้าย ๆ เวลาจูนหาคลื่นวิทยุ หรือเวลาโฟกัสภาพ คือมันจะต้องหาจุดที่มันพอดีให้ได้ พอมันมากไปก็หาไม่เจอ น้อยไปก็หาไม่เจอ ต้องค่อยๆ ปรับซ้ายที ขวาที หมุนทวนเข็ม ตามเข็มนาฬิกาบ้าง ถึงจะเจอจุดพอดี สักวันเราคงต้องหาเจอ อาจจะใช้เวลาอยู่บ้าง
         การปฏิบัติธรรมเพียงครั้งเดียวมันอาจไม่ช่วยให้เปลี่ยนตัวเองไปได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่สำหรับผม อย่างน้อยผมได้ความเห็นชอบขึ้นมา ซึ่งมันจะใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตได้ตลอดไป ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเข้าไปขัดเกลาอีกครับ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Watch Take (@WatchTake)
ขอบคุณ​ที่ติดตามครับผม จะลองเขียนหลายๆ แนวดูครับ
Noi Beleza (@fb2093822714042)
วันสุดท้าย พี่กับเพื่อนๆกลับก่อนตั้งแต่ก่อน 6 โมงเช้า.. ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆให้ระลึกถึง น้องเป็นคนเขียนเก่งมาก เล่าเรื่องราวสนุก ไว้เขียนมาอีกนะ จะติดตามจร้า ขอให้ทำงานสนุก ก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ ?