เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
นั่งเขียนท่ามกลางแสงดาวDC K ToKa
อนาคตในม่านหมอก
  • 1

    วันหนึ่งผมได้นั่งรถกับแม่เพื่อไปซื้อของที่ห้าง ในขณะที่รถได้แล่นเคลื่อนผ่านบ้านหลังเก่าที่ตอนนี้แปรสภาพเป็นห้องเช่าซึ่งเป็นแหล่งทำเงินอีกแหล่งนอกจากค้าขาย แม่ได้พูดกับผมว่า 

    "เนี่ย ที่ตรงนี้เดี๋ยวอีกซักหน่อยก็จะขายให้คนอื่นแล้วนะ" 

    ผมถามแม่กลับว่าทำไม จึงได้คำตอบว่า "ขายแล้วมันได้เงินไง ก็เอาเงินไปทำอย่างอื่นต่อ อีกอย่างทำพวกห้องเช่าให้คนอื่นมาอยู่เนี่ยวันๆต้องไปทวงค่าเช่า แถมทวงแล้วเขาผลัดไม่จ่ายซักที เบื่อ เลยขายแล้วไปทำอย่างอื่นดีกว่า" 

    ความจริงครอบครัวผมแทบไม่มีวี่แววเลยว่าจะมาทำหอพัก ห้องเช่า ให้คนอื่นอยู่ เนื่องจากว่ามีอาชีพหลักอย่างค้าขายให้ทำสร้างรายได้อยู่แล้ว คงเป็นเพราะได้ที่จากคนอื่นมาประกอบกับมีบ้านหลังเก่าอยู่ซึ่งทิ้งไว้ก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยจัดการทำเป็นหอพัก ห้องเช่าซะเลย เป็นการสร้างรายได้อีกช่องทางหนึ่ง แต่ก็อย่างที่ว่าแหละ พอถึงเวลาทวงค่าเช่าประจำเดือนมักมีปัญหาทุกที จ่ายบ้างไม่จ่ายบ้าง นี่ยังไม่นับปัญหาเล็กๆน้อยๆอย่างไฟไม่ติด น้ำไม่ไหล ที่ต้องลำบากพ่อต้องไปแก้ปัญหาให้อีก

    พอได้ยินแม่พูดแบบนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ที่ตรงนั้นขายไป ได้เงินมา แล้วจะเอาเงินไปทำอะไรต่อ

    ทุกอย่างมันคือเรื่องของอนาคต

    2

    ยิ่งใกล้วันสอบปริญญาโท ความเครียดก็เริ่มมาเยือนผมให้ใจได้กระวนกระวายกันใหญ่ 

    มันตื่นเต้นและเครียดไปพร้อมๆกัน ตั้งแต่การกรอกข้อมูลเพื่อสมัครสอบแล้วล่ะครับ และเมื่อกรอกทุกอย่างเสร็จจึงทำการกดยืนยันและปริ้นใบจ่ายเงินออกมา เมื่อจ่ายเงินเสร็จแล้วต้องส่งเอกสารต่างๆไปที่มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นใบผลการเรียน ใบรับรองจากอาจารย์ที่ปรึกษา ใบสมัครพร้อมรูปถ่าย ทุกอย่างยัดใส่ซองเหลืองใหญ่ๆพร้อมบอกเจ้าหน้าที่ว่าส่งแบบ EMS ซึ่งไม่ว่าจะขั้นตอนไหน ที่กล่าวมาทั้งหมด ความตื่นเต้นและความเครียดมันไม่ลดลงเลย และยิ่งมีการประกาศรายชื่อคนที่ได้เข้ารับการศึกษาของรอบสอง (ผมสมัครรอบสาม) ยิ่งทำให้ความตื่นเต้นและความเครียดเพิ่มขึ้นไปอีก

    แล้วผมเครียดเรื่องอะไร 

    เครียดเรื่องสอบไม่ติดก็ส่วนหนึ่ง แต่มันมีอีกหลายสิบเรื่องที่ทำให้ผมเครียดอีกด้วย เช่น จะเดินทางไปสอบยังไง จะพักหอพักไหน แล้วถ้าสอบติดขึ้นมาถึงเวลาสอบสัมภาษณ์จะตอบอาจารย์ว่ายังไง แล้วถ้าผ่านรอบสัมภาษณ์มีสิทธิ์เข้าศึกษา ถึงเวลารายงานตัวมันจะชนกับวันที่หมอนัดหรือเปล่า และอีกหลายเรื่องที่ประดังประดาเข้ามาให้คิดจนปวดหัว

    และทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องของอนาคต

    3

    "เราล้วนเครียดกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง"

    ผมไม่รู้ว่าไปได้แรงบันดาลใจมาจากไหนมาถึงก่อให้เกิดประโยคนี้ แต่ผมรู้สึกชอบประโยคนี้อย่างมาก เรามักคิดถึงเรื่องของอนาคต เรื่องที่มันยังมาไม่ถึง และพอเอาไปคิดมากถึงระดับหนึ่งเราจะรู้สึกเครียด กระวนกระวาย ร้อนลุ่มในใจขึ้นมาทันที ต่อให้ตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจนแค่ไหน เราก็อดที่จะเครียดกับมันไม่ได้ 

    เครียดเพราะไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม

    เครียดเพราะเมื่อสำเร็จแล้วจะเอายังไงต่อ

    อนาคตจึงเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะชัดเจนเมื่อเราตั้งเป้าหมายว่าจะไปให้ถึงตรงนั้น แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ถูกตั้งไว้ในม่านหมอก รู้ว่ามันมีแต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน มันไกลแค่ไหน และต้องไปยังไงถึงจะไปถึงอนาคตที่ตั้งไว้ และเมื่อไปถึงแล้วจะเอายังไงต่อ เพราะอย่าลืมว่าอนาคตของเรานั้นไม่ได้มีแค่อย่างเดียว และแน่นอนอนาคตทั้งหลายก็อยู่ในม่านหมอกตรงไหนซักแห่ง 

    มันคือเรื่องของอนาคตอ่ะนะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in