เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My Storyskeletonflowerw
จักรวาลคือความว่างเปล่าที่เปี่ยมด้วยก้อนความยุ่งเหยิง
  • I was told I'll so old
    Before I found someone want to be hold
    and if I found one she gonna stray
    you'll never find a way to hold the weight



    ถ้อยคำเหล่านี้
    บรรจงร่างออกมาราวกับความคิดอันหยุ่งเหยิง
    ความคิดที่ยังตกตะกอนออกมาได้ไม่เต็มที่
    เพียงแต่มันกลับเป็นก้อนประหลาด 
    จุกแน่น อัดกันเป็นก้อนอันน่าขยะแขยงอยู่ภายในอก


    ฉันมีเพลงๆ หนึ่ง
    ที่ชอบเมโลดี้และทำนองของมันมาก
    แม้ฉันจะแปลมันได้
    แต่ดันกลับไม่เข้าใจมันอย่างแท้จริง




    มันเหมือนกับว่าการเข้าใจสัจธรรมแบบนั้นอย่างแท้จริง
    มันยากเกินความสามารถของฉันไป 
    ฉันอ่านเจอว่าเพลง Nothin on my mind นั้น
    ทำให้ 'เขา' นึกถึงงานเขียนทางดาราศาสตร์เรื่องนึง
    ที่ทรงพลัง นั้นคือ Pale Blue Dot



    ภาพถ่ายที่ไม่อาจเกิดจากความตั้งใจ
    เพียงแค่นักบินอวกาศที่ชื่อว่า Sagan
    เลือกที่จะหันกล้องกลับมาถ่ายดาวเคราะห์ที่เรียกว่าโลก




    ภาพที่ปรากฎขึ้นได้เป็นสัจธรรมล้ำค่า
    สัจธรรมที่มนุษย์หลายคน ไม่พยายามที่จะเข้าใจมัน
    ภาพสีดำ ที่มีแสงของพระอาทิตย์พาดผ่าน
    กลางเส้นแสงที่แสดงอำนาจของดวงอาทิตย์นั้น
    ปรากฎจุดบางๆ สีฟ้าอยู่บนนั้น
    และจุดนั้นแหละ
    คือโลกของเรา 





    ฉันชอบที่ Segan อธิบายออกมา
    จนหลั่งน้ำตาให้กับบทกวีที่เขาสร้างขึ้น


    ''
    จุดเล็ก ๆ จุดนั้นคือที่นี่ คือบ้าน คือพวกเรา
    บนจุดนั้นคือทุกคนที่เราเคยรู้จัก
    มนุษย์ทุกคนที่เคยมีตัวตนอยู่
    รวมไว้ซึ่งความสุขสันต์และความทุกข์ทน ศาสนา
    แนวคิด ระบบเศรษฐกิจ นับพันนับหมื่น
    ทุก ๆ นักล่าและหัวขโมย
    ทุก ๆ วีรบุรุษและคนขี้ขลาด
    เหล่านักสร้าง นักทำลายอารยธรรม
    กษัตราและชาวนาที่ยากชน
    คู่รักหนุ่มสาว เด็กน้อยที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวัง
    ทุกบิดรมารดา นักประดิษฐ์ นักสำรวจ
    ครูอาจารย์ นักการเมืองสกปรก 
    เหล่าดาราและผู้นำ 

    ทุก ๆ คนบาปและนักบุญ
    ทุกคนในประวัติศาสตร์ของเราอาศัยอยู่ที่นี่
    บนฝุ่นผงที่ลอยเคว้งท่ามกลางแสงอาทิตย์ 





    เมื่อได้อ่านสัจธรรมนี้
    เนื้อเพลง Nothin on my mind
    ได้มีความหมายเชิงลึกบางอย่าง 



    Where we both dont have to face 
    the thing we fake
    there'll noting on my mind


    ไม่รู้สิ
    การใช้ชีวิต เหมือนจะไม่มีอะไรซับซ้อนใช่มั้ย
    แต่ทำไมมันถึงได้รู้สึกว่า การก้าวแต่ละก้าวไปข้างหน้ามันถึงยากขนาดนี้

    ทั้งๆ ที่บนโลกนี้
    จุดกำเนิดทั้งความรักและความเกลียดชัง
    จุดเริ่มต้นการแสวงหาอำนาจและการสงสารที่น่ายกย่อง



    สุดท้ายแล้ว
    มนุษย์กำลังทำสิ่งใด เรากำลังเดินเข้าไปหาอะไร
    มันจะเป็นจุดเริ่มต้นหรือจุดจบถาวร





    โลกของเรา เป็นดั่งเวทีเล็ก ๆ
    ท่ามกลางโรงละครจักรวาลอันกว้างใหญ่
    จินตนาการถึงเลือดเนื้อที่หลั่งไหล
    เชือดเฉือนโดยเหล่านายพลและจักรพรรดิ
    ที่หวังความรุ่งโรจน์อันชั่วคราวบนเศษเสี้ยวแห่งฝุ่นผง
    จินตนาการถึงการเยี่ยมเยือนที่เหี้ยมโหดจากผู้อาศัย
    จากมุมนึงของจุดนี้กระทำต่ออีกมุมหนึ่ง
    พวกเขาเข้าใจผิดกันมามากแค่ไหน
    พวกเขากล้าดีอย่างไร
    ที่จะเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง
    ความเกลียดชังอันแรงกล้าและการวางตัวเองสำคัญ
    หลงคิดว่าเรามีอภิสิทธิ์ในจักรวาล ทั้งหมดถูกท้าทายด้วยจุดจาง ๆ จุดนี้ 




    บทนี้พาหัวใจฉันเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด
    แต่ฉันเองก็ไม่กล้าที่จะเขียนมันขึ้น
    เพื่อสอนคนอื่นๆ

    เพราะฉันเอง 
    ก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากอำนาจของทุนนิยม


    เรามักหลงคิดว่าชีวิตของเราจะยืนยาวกันงั้นหรอ
    ในอนาคตมนุษย์อาจจะมีอายุยืนยาวได้ถึง 100 ปี
    ในสภาพร่างกายที่ไม่กระชับกระเฉง
    ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างที่หวังแบบนั้น
    เราจะอายุยืนกันไปทำไม

    ยิ่งกว่านั้น
    บางคนที่อาจคิดว่าการอยู่เป็น 100 ปีนั้นยืนยาว
    อำนาจต่างๆ ของเขาอาจจะควบคุมคนหมู่มาก
    กดขี่คนที่ด้อยกว่า หรือสร้างสรรค์สิ่งล้ำค่าออกมา
    แต่เมื่อเทียบกับการก่อตั้งจักรวาล
    มันไร้ค่าสิ้นดี



    จักรวาลบังเกิดมายาวนาน
    ด้วยความลึกลับที่มนุษย์ผู้กระหายอำนาจและทะนงตน
    พยายามที่จะทำความเข้าใจทฤษฎีเหล่านั้น
    แต่กลับไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริงสักที

    ยิ่งกว่านั้น
    มนุษย์ผู้โง่เขล่า
    ยังพยายามใช้ทั้งชีวิตในสิ่งที่สูญเปล่า

    ฉันไม่ได้หมายความว่าให้ทุกคนหยุดการดำเนินชีวิต
    หรือหยุดใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
    ฉันยังต้องการให้ทุกคนยิ้มให้กับแม่ค้าที่ทำอาหารให้เราแต่ละมื้อ
    คนขับรถแท็กซี่ที่ส่งเราถึงปลายทางอย่างดี
    แม้แต่แม่บ้านที่ไม่เคยได้รับการกระทำกลับที่เหมาะสม
    ก็สมควรได้รับสิ่งดีตอบแทน
     

    เพียงแต่ทุกคนควรจำให้ขึ้นใจว่า
    สักวันนึง ตัวตนและความทรงจำที่มีต่อเรา
    ต้องหายไป



    แม้วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
    ยังหลงเหลือสิ่งที่ให้จดจำได้ไม่เพียงกี่อย่าง
    เรื่องราวบนดาวเคราะห์สีฟ้า ไม่สามารถมีใครหยุดยั้งสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้
    และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่จนส่งผลต่อจักรวาล




    โลกของเรา เป็นจุดเล็ก ๆ
    หลมซ่อนอยู่ในเอกภพที่มืดมิด
    ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย
    ความเคว้งคว้าง 
    ไม่มีสิ่งรับประกันว่าจะมีใครจากที่ไหน 
    มาช่วยเราจากการกระทำของตัวเราเอง
    ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเรา
    เคยมีคนพูดไว้ว่าดาราศาสตร์นั้น
    ทำให้เรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
    แต่ผมขอเพิ่มว่ามันคือการเข้าถึงตัวตน
    คงไม่มีสิ่งใดที่จะแสดงความโง่เขลาของความคิดมนุษย์ 
    ไปได้มากกว่าภาพถ่ายโลกของเราจากระยะที่ไกลแสนไกลนี้
    มันคือความรับผิดชอบของเรา
    เพื่อปกป้องและหวงแหน จุดเล็ก ๆ จุดนี้ 
    บ้านหลังเดียวที่เรารู้จัก 




    ฉันสับสนกับบทสรุปของกวีบทนี้ แม้ไม่มาก แต่ก็ต่างจากที่ฉันคิดไว้ตอนแรก
    ฉันไม่สามารถเข้าใจได้อย่างที่แต่ละคนเข้าใจ ถ้าแค่คำพูดด้านบน
    ฉันคิดว่าบทสรุปอาจจะพูดให้เราแต่ละคน ใช่ชีวิตแบบไม่ถือว่าตัวเองสำคัญ
    ปล่อยวางอำนาจ หรือใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่สุด


    แต่ Sagan กลับชวนให้เรารัก
    และหวงแหนดาวเคราะห์จางๆ ดวงนี้
    หรือบางทีเขาอาจจะให้เราหวงแหน
    มนุษย์โง่ๆ บนดาวเคราะห์ดวงนี้ก็ได้

    บนสถานที่ๆ ดูเหมือนเป็นจุดเล็กๆ 
    บนอวกาศที่เรายังไม่อาจเข้าใจมีผู้คนที่กลับเล็กกว่านั้น
    ผู้คนเหล่านั้นที่ดำเนินชีวิตแต่ละวันด้วยกลไกทางธรรมชาติดังเดิม

    บางอย่างอาจมีการเปลี่ยนแปลงไป
    มนุษย์ยุคใหม่ แม้จะมีภาพลักษณ์ภายนอกที่แตกต่างจากบรรพบุรุษ
    ไม่ได้ถือหอก ถือคบเพลิงนอนตามถ้ำ
    มนุษย์สมัยนี้เลือกถือสิ่งของที่เล็กกว่า
    แต่กลับมีอำนาจในการทำลายล้างที่พวกเขาคาดไม่ถึง
    อาวุธ รวมถึงความคิดแง่ลบที่พร้อมปล่อยมันออกไปสร้างบาดแผลทางใจ
    ที่รักษาได้ยากกับผู้อื่น

     


    แม้เราและบรรพบุรุษของเรา
    จะมีภาพลักษณ์ภายนอกที่ต่างกัน 
    แต่หัวใจของเขา ยังคงทำหน้าที่แบบเดียวกัน

    มันยังคงซื่อสัตย์กับการสูบฉีดเลือดเป็นจังหวะอย่างไม่หยุดพัก
    มนุษย์โง่เขล่าคิดว่าตัวเองใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผล
    แต่ไม่เคยรู้เลยว่าการตัดสินใจทุกอย่างของตน
    เกิดจากกระบวนการชีวะเคมีนับล้านในหัว


    ฉันไม่สามารถสรุปสิ่งใดออกมาได้อย่างชัดเจน
    เหมือนที่บอกไว้ในตอนแรกว่า
    ฉันยังไม่อาจเข้าใจทั้งหมดนี่ดีนัก
    เพียงแต่มันอัดแน่นล้นในหัวของฉันค่อนข้างมาก
    จนฉันต้องปล่อยมันออกมาในตัวหนังสือเหล่านั้น


    ฉันเคยคิดว่าตัวเองชอบการอยู่เงียบๆ คนเดียว
    ในห้องที่ไม่มีแสงไฟกับหูฟังเพลงสักเพลง
    ที่ฉันพร้อมจะจมไปกับทำนองของมัน

    แต่รู้มั้ย
    ฉันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกๆ การกระทำของมนุษย์ส่งผลต่อผู้อื่นเสมอ

    อย่างน้อยแม้ฉันไม่ได้อยากจะมีชีวิตนี้นักแต่เมื่อตัวตนได้ถูกก่อร่างขึ้นมา
    การมีอยู่ของฉันก็สร้างผลกระทบให้กับคนอย่างน้อยแล้ว 2 คน

    มันคงจะดูเห็นแก่ตัวมากๆ 
    กับการทำตามใจตัวเอง
    บนโลกที่เส้นความสัมพันธ์
    ผูกเส้นใยอย่างยุ่งเหยิงขนาดนี้

    นั้นแหละ
    เพราะฉันไม่เข้าใจได้ดีนัก
    ฉันหวังว่าตัวเองตอนที่โต
    จะสามารถเข้าใจมันได้ลึกซึ้งกว่านี้




    หรือไม่ก็อาจไม่มีใคร
    ที่สามารถเข้าใจ
    และทำตามได้อย่างแท้จริง 



    ฉันหวังว่าคนที่ได้อ่านมัน
    จะสามารถบอกกับฉันได้ว่า
    ฉันควรเข้าใจแบบใด


    I was told I'll so old
    before I fond Someone want to be hold
    and if I Found one she gonna stray
    you'll never finf a way to hold the way.




    ผู้มีส่วนในการตกตะกอนครั้งนี้
    Nutn0n l Pale Blue Dot ภาพถ่ายที่บอกว่าดาราศาสตร์คือความอ่อนน้อมถ่อมตน
    https://spaceth.co/pale-blue-dot/
    ,
    Nothin on my mind - Astronomyy
    ,
    คุณ K จาก twitter ที่แนะนำเพลง
    ,
    และฉันอีกคน ที่อาจจะหลงอยู่ในสักจักรวาล






Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in