เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
千凯千 - 因为遇见你婉馨姐姐
ตอนที่ 1 醒着 (Awake)

  • Awake 醒着



                แสงสว่างสาดส่องเข้ามาในห้องแล้ว


                เสียงเครื่องยนต์จากด้านนอกห้องดังบ่งบอกเวลาเช้าที่เข้ามาเยือนทุกชีวิตรอบตัวกำลังเคลื่อนไหวและเริ่มทำกิจวัตรประจำวันของตนเองอีกครั้งมีเพียงชายหนุ่มตัวสูงที่ยังคงนอนลืมตามองเพดานสีขาวว่างเปล่าอยู่ในห้องนอนที่แสนเงียบเหงา


                ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งคืนแล้วหนึ่งคืนที่เขามีแต่ความคิดฟุ้งซ่านอยู่ในหัว หนึ่งคืนที่เห็นแต่ภาพใครคนนั้นภาพใครบางคนที่เอาแต่วนเวียนอยู่ในความคิดไม่รู้จบ ใครคนนั้นที่จากเขาไปกว่าสองเดือนและภาพรอยยิ้มสุดท้ายของเขายังคงอยู่ในความทรงจำเสมอ


                ไม่รู้ว่าเรื่องของเราต้องจบลงแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรอาจเพราะยังเด็กเกินกว่าจะรับเรื่องราวที่ไม่คาดคิดไหวแม้ใครจะมองว่าพวกเราโตเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน แต่สุดท้ายเราทุกคนก็ยังมีความเป็นเด็กเราทุกคนทำผิดพลาดกันได้ เราทุกคนกลับไปแก้ไขมันไม่ได้



                แต่ไม่ใช่ว่าเราทุกคนจะได้รับการให้อภัยดังละครในตอนจบ


                เขาคือหนึ่งในนั้นหนึ่งในคนที่ไม่ได้รับการให้อภัย


    ทั้งจากคนอื่นและตัวเอง....



                วันนี้คงเป็นอีกวันที่เขาต้องออกไปสู้กับคำพูดมากมายคำติฉินนินทาของคนรอบข้างแม้พวกเขาจะไม่พูดออกมาแต่ตัวชายหนุ่มก็รู้ว่าพวกเขาเกลียดกันแค่ไหนไม่มีอีกแล้วใครที่คอยเคียงข้าง ไม่มีอีกแล้วคนที่คอยเป็นรอยยิ้ม เป็นแสงสว่างเป็นดวงอาทิตย์ของเขา


                กรอบรูปข้างหัวเตียงถูกจับตั้งขึ้นมารอยยิ้มสดใสนั่นดั่งกำลังชีวิตที่ทำให้เขาสามารถลุกขึ้นไปสู้กับวันที่แสนโหดร้ายต่อไปได้รอยยิ้มที่มักจะมอบให้กันเสมอเวลาท้อแท้ รอยยิ้มที่เคยเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดของเขารอยยิ้มที่วันนี้... เขาไม่สามารถมองเห็นมันได้อีกแล้ว



                รอยยิ้มของคนที่ได้ชื่อว่าคนรัก...



                ชายหนุ่มพาตัวเองเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายไล่ความทุกข์ที่ไม่เคยหมดไปออกจากตัวเองใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะจัดการธุระเหล่านั้นเสร็จ กระเป๋าเงิน โทรศัพท์มือถือหมวกแก๊ปสีดำ และแมสปิดปากสีเดียวกันเป็นสิ่งที่เขาพกติดตัวตลอดในช่วงนี้


                ร้านข้าวใต้คอนโดกลายเป็นร้านประจำที่ฝากท้องเพื่อประทังชีวิตเหมือนเวลาเลวร้ายเมื่อสองเดือนก่อนหายไปแล้วน้อยคนนักที่จะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีก ไร้ซึ่งสายตารังเกียจ สายตาดูแคลนสายตาว่าร้ายที่เคยได้รับ เหลือไว้เพียงความเป็นธาตุอากาศของเขาที่ไม่มีใครคิดจะสนใจอีก


                เมนูเดิมๆถูกสั่งก่อนที่เขาจะนำมันขึ้นไปกินบนห้อง เปิดคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จแล้วจึงส่งไปให้ผู้รับจ้างที่ตกลงกันผ่านโลกออนไลน์เกือบสองอาทิตย์แล้วเขาที่เริ่มกลับมาทำงานพวกนี้ได้เพื่อนคนหนึ่งแนะนำว่ามันอาจจะดีกว่าการที่อยู่เฉยๆ แล้วคิดฟุ้งซ่านแต่แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายก็อดคิดถึงเขาไม่ได้อยู่ดี


                แสงแดดสว่างไสวในช่วงเวลากลางวันเริ่มจางลงแล้วแสงสีแดงเริ่มโลมเลียย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีแดงแทน ขายาวพาตัวเองออกจากห้องเป็นครั้งที่สองของวันพร้อมกับของติดตัวเดิมๆที่เพิ่มเข้ามาคือรูปรอยยิ้มที่เคยอยู่ในห้อง


                ร้านดอกไม้ระหว่างทางที่กำลังจะปิดเป็นสถานที่แรกที่เข้าไปช่อลิลลี่สีขาวช่อสุดท้ายของร้านถูกซื้อมาด้วยเงินไม่กี่หยวน รูปใบน้อยถูกจัดแซมเข้าไปในช่อดอกไม้สีขาวเท้าของเขาก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ราวกับคนไร้จุดหมาย



                และสุดท้ายสะพานแขวนสีขาวก็กลายเป็นจุดหมายของการเดินทาง



                แสงอาทิตย์สุดท้ายดับลงพร้อมกับการหยุดลงของฝ่าเท้ากระแสน้ำเบื้องหน้าไหลผ่านไปไม่ย้อนกลับราวกับย้ำว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะไม่สามารถหวนกลับได้อีกเป็นครั้งที่สองไม่มีอีกแล้วโอกาสที่จะขอโทษ ไม่มีอีกแล้วโอกาสที่จะได้แก้ตัวมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นที่เกาะกินอยู่เต็มหัวใจ


                ดอกไม้สีขาวกับรอยยิ้มของรูปที่อยู่ข้างกันนั้นไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ยังคงสวยงามเสมอ หยาดน้ำอุ่นไหลออกจากดวงตาคมเชื่องช้าตามจังหวะหัวใจที่หน่วงลงไปทุกทีมือหนาวางมันลงอย่างบรรจงกับราวสะพานที่ยื่นออกมาปล่อยให้น้ำใสบนใบหน้าไหลรินลงอย่างไม่คิดจะกลั้นมันไว้อีกต่อไป



                 “พี่...พี่กับเธอ ตั้งแต่เมื่อไร ตั้งแต่เมื่อไรกัน...”


               “ไหนพี่สัญญาแล้วสัญญาแล้วว่าจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีก...”


               “คำพูดคำสัญญาของเรามันเคยมีความหมายบ้างไหม”


     “มันมีความหมายสำหรับพี่บ้างไหมหวังจวิ้นข่าย!!



    เสียงหวานที่เคยทะเลาะกันในวันนั้นก้องไปมาในหัวราวกับฉายภาพซ้ำไม่มีวันจบสิ้นกับเขาที่ไม่รู้จักพอ เขาที่ไม่เคยนึกถึงใจคนรักว่าจะรู้สึกอย่างไรหลงไปกับสิ่งยั่วยุ ตามใจตนเองจนคนที่รักที่สุดต้องเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ยังมีหน้าที่จะพูดเอาแต่ได้ เอาแต่เข้าข้างตัวเองจนไม่คิดถึงใจอีกคนเลย



    “อย่างี่เง่าได้ไหมพี่บอกแล้วไงว่าคนพวกนั้นก็แค่ทางผ่าน”


    “เราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วนะกลับไปสงบสติอารมณ์ก่อนไป”


    “งั้นก็เลิกกันไปเลยสิถ้ารับไม่ได้ที่พี่เป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว!!


    “อยากไปไหนก็ไปพี่เองก็เบื่อนายเต็มทน!!



    ยิ่งนึกภาพแววตาตัดพ้อสุดท้ายก่อนที่อีกคนจะจากไปสายน้ำอุ่นจากดวงตาก็เอาแต่ไหลไม่หยุดหวังจวิ้นข่ายไม่เคยคิดมาก่อนว่าภาพใบหน้าแสนเศร้าที่เต็มไปด้วยน้ำตานั่นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นเขาไม่คิดเลยจนกระทั่ง...



    “ว่าไงมึงโทรมามีอะไร”


    “มึงทำใจดีๆ นะ”


    “อะไรของมึงทำเสียงเครียดอย่างกับใครตายงั้นแหละ”


    “...หวังหยวน...”


    “...”


    “หวังหยวนกระโดดสะพานเมื่อวานตอนเย็น”


    “...”


    “น้อง...น้องเสียแล้วนะมึง”



    คำพูดผ่านสายโทรศัพท์นั่นราวกับสายฟ้าฟาดที่ผ่าลงกลางหัวของคนฟังภาพทุกอย่างหยุดนิ่งราวกับเป็นความฝัน แต่น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าเหล่านั้นกลับย้ำเตือนให้รู้ว่าเขากำลังอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงหลังจากทะเลาะกันคนรักของเขาก็ตัดสินใจทำแบบนั้นลงไปแล้วจริงๆ


    ไม่กล้าคิดเลยแม้แต่น้อยว่าเวลานั้นหวังหยวนจะเจ็บปวดสักแค่ไหนมันมากพอที่จะทำให้ตัดสินใจแบบนั้นลงไปเลยหรืออย่างไรความผิดทั้งหลายกัดกินหัวใจจนทำอะไรไม่ถูกคนรอบข้างเขาหลายคนโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดเขา เพราะเขามันแย่ เขามันเลว



    สังคมตราหน้าว่าหวังจวิ้นข่ายคนนี้ราวกับฆาตกร



    ครอบครัวของคนรักแม้จะไม่พูดอะไรออกมามากมายแต่เพียงคำขอที่ว่าไม่อยากให้เขาไปเหยียบแม้แต่งานศพนั่นก็แสดงชัดแล้วว่าคนที่นั่นเกลียดเขาขนาดไหน


    ราวสะพานเหล็กเย็นเหยียบตรงหน้ากลายเป็นที่ค้ำตัวไม่ให้เขาล้มลงไปวันนั้นที่หวังหยวนอยู่ตรงนี้จะเจ็บปวดมากแค่ไหนกัน ความรู้สึกผิดและความเสียใจของเขาในตอนนี้มันจะมากพอหรือเปล่าหากมีโอกาส โอกาสเพียงสักครั้งเขาก็อยากพูดคำนั้นออกมาคำที่อยู่ในหัวใจมาตลอดเวลาสองเดือนกว่า



    “พี่ไม่รู้ว่าเราจะได้ยินพี่หรือเปล่าไม่รู้ว่าคำพูดของคนเลวๆ อย่างพี่จะดังไปถึงที่นั่นไหม ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากจะไปบอกกับเราที่นั่นบอกกับเราด้วยตัวของพี่เอง...”


    “พี่ขอโทษนะครับ...หวังหยวน”



    รองเท้าคู่สวยถูกใช้ก้าวขึ้นบนราวสะพานอย่างเชื่องช้าสายลมของฤดูหนาวพัดกระทบใบหน้าจนชาไปหมด ทว่าแรงลมก็ไม่อาจลบล้างความตั้งใจได้อย่างน้อยถ้าโชคดีเขาอาจได้เจอหวังหยวนอีกครั้ง ได้ขอโทษได้บอกกล่าวคำที่ติดค้างเอาไว้แต่หากโชคไม่ดีเขาก็แค่จากโลกที่โหดร้ายนี่ไปก็เท่านั้นเอง


    ชีวิตหวังจวิ้นข่ายมันก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่สังคมตราหน้าว่าเป็นฆาตกรที่ทำให้คนรักของตัวเองต้องฆ่าตัวตายหากจะหายไป...



    มันก็เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องยินดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง


    ...แค่คนเลวๆตายไปสักคน


    ใครจะมานั่งเสียใจกันล่ะ...



     

    พรึ่บ!!!



     

    แรงกอดรัดจากด้านหลังทำให้ร่างของชายหนุ่มเซล้มกลับไปในฝั่งสะพานพื้นปูนเย็นๆ เรียกสติของเขาให้กลับคืนมาอีกครั้งตรงหน้าเขาคือผู้ชายคนหนึ่งที่ทำหน้ามุ่ยราวกับโกรธเขามากมายทั้งที่เราไม่เคยได้รู้จักมาก่อน



    หวังจวิ้นข่ายมั่นใจเขาไม่พบผู้ชายคนนี้มาก่อนเลย



    “คุณจะทำอะไรของคุณมันอันตรายนะ”เสียงขุ่นของอีกคนถูกส่งมาทันทีที่เขาได้สบตา คนคนนั้นลุกยืนขึ้นพร้อมกับปัดกางเกงเนื้อดีของตัวเองเพื่อไล่ฝุ่นดินที่ติดออกก่อนจะยื่นมือมาให้เขาจับเพื่อหมายจะพยุงให้ลุกขึ้น


    “ขอบคุณ”


    “ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกเป็นใครก็ตกใจทั้งนั้น คุณคงไม่ได้คิดจะกระโดดลงไปจริงหรอกใช่ไหม”



    จะผิดหวังไหมนะถ้าเขาตอบว่าใช่น่ะ...



    “เอาเถอะคราวหลังระวังหน่อยนะครับ แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่คนเดียวงั้นหรอผมเดินผ่านแถวนี้บ่อยๆไม่เห็นเคยเจอคุณเลย”ร่างเล็กกว่าเขาพูดเจื้อยแจ้วราวกับพวกเราคุ้นเคยกันมาแรมปีไม่รู้เหมือนกันว่าอีกคนเป็นคนอัธยาศัยดีแค่ไหนแต่สิ่งที่เผชิญอยู่นี่ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าอย่างน้อยคนตรงหน้าก็คงจะดีกว่าเขาล่ะนะ


    “ผม...”หวังจวิ้นข่ายไม่ได้พูดอะไรออกไปมีเพียงตาคมที่เหลือบมองช่อลิลลี่สีขาวที่วางไว้ใกล้ๆ ก็เท่านั้นสายตาของคนตรงหน้าเหลือบไปมองตามก่อนจะพยักหน้าราวกับเข้าใจดี


    “มาหาคนหรอครับ”


    “...คือ”


    “เขาคงดีใจนะครับที่คุณมาหาเขา”ร่างตรงหน้าบอกด้วยรอยยิ้มจนตาปิดทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นได้แต่อย่างใด แค่นึกถึงอดีตคนรักเขาก็รู้สึกหน่วงไปทั้งหัวใจ


    “ไม่หรอก...เขาไม่ดีใจหรอก”


    “ทำไมล่ะครับ”


    “ผมทำไม่ดีไว้กับเขาเยอะเขาคง... ไม่ให้อภัยผมง่ายๆ”


    “คุณรู้ได้ยังไง บางทีเขาอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ได้นะเราคิดแทนคนอื่นได้ที่ไหนกันใช่ไหมล่ะ”หวังจวิ้นข่ายมองอีกคนด้วยแววตาที่ขุ่นมัวเล็กน้อยกับคำพูดเหล่านั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาคนไม่รู้ก็คือคนไม่รู้นั่นแหละ เผลอๆถ้ารู้ความจริงแล้วอาจจะไม่อยากคุยกับเขาเลยก็ได้ใครจะไปรู้ล่ะ


    “ช่างเถอะ”เขาตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะหันหลังเดินจากมาแต่ไม่ทันไรเสียงคนคนนั้นก็ดังขึ้นข้างกายเขาเสียก่อน


    “เดี๋ยวสิคุณผมพูดอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า คุณ... โกรธผมหรอ”


    “...เปล่าผมจะโกรธคุณได้ยังไง คุณพูดเพราะคุณไม่เคยรู้เรื่องของผมมาก่อน ไม่สิเราไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ”


    “งั้นพวกเรามาทำความรู้จักกันดีไหม”คำพูดของคนข้างตัวทำให้หวังจวิ้นข่ายต้องหยุดเดินและหันหน้าไปมองอีกคนที่ส่งยิ้มกว้างให้อยู่ด้วยความแปลกใจ


    “ทำไมเราต้องรู้จักกันด้วย”


    “ก็เพราะผมช่วยคุณเอาไว้เมื่อกี้ไง”


    “แต่ผมไม่ได้ขอ”


    “งั้นก็ถือซะว่าผมทำให้คุณไม่พอใจ เราก็เลยต้องรู้จักกันไว้เป็นการไถ่โทษไง”


    “ตรรกะอะไรของคุณ”ชายหนุ่มถามคิ้วขมวด


    “เอาน่าหน้าคุณตอนนี้เหมือนคนอมทุกข์มาสิบปีเลยนะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับคุณงั้นหรอ”


    “แล้วทำไมผมต้องเล่าให้คุณฟัง”


    “เผื่อว่าคุณอยากระบายใจการระบายสิ่งที่อึดอัดในใจกับคนแปลกหน้าช่วยเราจัดการกับความรู้สึกได้ดีมากเลยนะคุณ”


    “อะไรของคุณอยู่ๆก็มาให้เล่าเรื่องของผม อยู่ๆ ก็อยากรู้จัก เดี๋ยวก็บอกว่าตัวเองเป็นคนแปลกหน้านี่คุณเป็นคนประเภทไหนกัน”หวังจวิ้นข่ายโพล่งออกมาด้วยความรู้สึกอึดอัด


    “เรื่องของผมเอาไว้ก่อนเถอะน่าเอาเป็นว่าผมอยากช่วยคุณโอเคไหม”


    “ไม่”


    “โอเคงั้นเราไปหาร้านอาหารนั่งกินกันก่อนแล้วคุณค่อยเล่าให้ผมฟังก็ได้หิวจะตายไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กลางวันแล้วเนี่ย”


    “เดี๋ยว...”



    ไม่ทันได้เถียงอะไรร่างของเขาก็ถูกคนแปลกหน้านิสัยแปลกๆลากให้ตามมาด้วยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แม้จะดูราวกับว่าคนแน่นร้านแค่ไหนแต่เมื่อคนที่ลากมาด้วยพบหน้ากับเจ้าของร้านเจ้าตัวก็แทบจะได้โต๊ะทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยปากอะไร


    อาหารพื้นเมืองมากมายถูกสั่งมาเต็มโต๊ะจนอดคิดไม่ได้ว่าแค่สองคนจะกินกันหมดหรือไม่แต่ท่าทีมีความสุขกับอาหารกับอีกคนก็ทำให้หวังจวิ้นข่ายไม่ได้พูดอะไรขัดออกไปตามที่คิดไว้ดวงตาคู่สวยของอีกคนเหลือบมามองเขานิดหน่อยก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มและเริ่มต้นบทสนทนาขึ้น



    “คุณไม่กินหรอ”


    “ผมไม่หิว”


    “แต่อาหารที่นี่อร่อยมากเลยนะคุณไม่กินจริงอะ”เป็นครั้งแรกในรอบสองเดือนกว่าที่หวังจวิ้นข่ายอยากจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆสักทีด้วยความหงุดหงิด



    นี่เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ยตามคนไม่เคยรู้จักกันมานั่งกินข้าวในร้านที่ไม่เคยเข้ามาก่อนแม้จะไม่เต็มใจแค่ไหนก็ตาม ทั้งที่จะออกแรงปฏิเสธไปตั้งแต่ตอนนั้นแต่กลับยอมบ้าจี้ตามมาเสียอย่างนั้น



    เกิดอะไรขึ้นกับความคิดของเขากันแน่นะ



    “ตามใจคุณแล้วกันงั้นคุณเล่าให้ผมฟังหน่อยสิว่าทำไมถึงต้องไปหาคนที่สะพานนั่นด้วย”


    “คุณจะให้เล่าให้ได้เลยใช่ไหม”



    ร่างตรงหน้าไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะอาหารที่เต็มปากนั่นแต่ก็พยักหน้าหงึกหงักด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็นเต็มที่จนคนถามต้องถอนหายใจออกมาแรงๆ


    ไหนๆ ก็ไหนๆแล้วถ้าเล่าเรื่องราวเลวร้ายของตัวเองให้อีกคนฟังบางทีร่างตรงหน้านี่อาจจะไม่อยากตามตื้อเขาแล้วก็ได้ทีนี้ชีวิตเขาจะได้กลับไปสู่ความสงบและกลับไปอยู่ในโลกที่ไม่มีตัวตนของตัวเองเสียที



    “ผมทำให้คนรักต้องฆ่าตัวตาย”


    “หือ...?


    “พอใจหรือยัง”


    “เล่าต่อสิ”คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อคำตอบที่ได้รับมาไม่ได้เป็นไปตามความคาดหมาย



    เรื่องราวในอดีตเมื่อสองเดือนก่อนถูกยกขึ้นมาเล่าให้อีกคนฟังอย่างละเอียดความเลวของเขาที่ทำให้คนที่รักที่สุดต้องมาตัดสินใจจากเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับอีก



    “ใจร้ายจัง”เสียงของอีกคนเอ่ยออกมาหลังจากฟังเรื่องราวเหล่านั้นจบ



    เขาว่าแล้วไง...



    “ทีนี้คุณก็รู้สึกเกลียดผมแล้วใช่ไหม”


    “ใครบอก”


    “ห๊ะ ?”ชายหนุ่มร้องออกมาด้วยความไม่เข้าใจ


    “ผมจะไปเกลียดคุณได้ยังไงผมไม่รู้จักคุณสักหน่อยไม่รู้เรื่องราวในชีวิตคุณเลยนอกจากคำบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแค่สองเดือนกว่าๆอีกเป็นยี่สิบปีน่ะผมยังไม่เคยรู้เลยนะ อีกอย่างที่ผมพูดว่าใจร้ายน่ะ ผมไม่ได้ว่าคุณคนเดียวหรอกนะ”



    ยิ่งฟังหวังจวิ้นข่ายก็ยิ่งขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจคนตรงหน้าแม้จะได้ฟังเรื่องราวเลวร้ายของเขาแล้วแต่เจ้าตัวกลับไม่ได้มีท่าทีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิดตรงกันข้ามอาหารตรงหน้ายังดูได้รับความสนใจมากกว่าเสียอีก



    “...พวกคุณก็ใจร้ายด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ”


    “หมายความว่ายังไง”


    “คุณน่ะก็นอกใจครั้งแล้วครั้งเล่าจนแฟนของคุณเสียใจมากใช่ไหมล่ะส่วนแฟนคุณเขาก็เลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองลงจนคุณต้องรู้สึกผิดรู้สึกเสียใจจนชีวิตมีรังสีหม่นๆ นี่แพร่ออกมาแบบนี้ไง รวมๆ แล้วก็เป็นคนใจร้ายด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ”


    “แต่มันก็ผิดที่ผมทำเลวใส่เขาก่อนผมเป็นคนเลวคุณไม่เข้าใจหรือไง!!”ชายหนุ่มพูดออกมาเสียงดังจนโต๊ะรอบข้างหันมามองแต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้คนตรงหน้าสะทกสะท้านอะไรแม้แต่น้อย


    “ใครบอกคุณ”



    คำถามนี้อีกแล้ว !!



    “ไม่ต้องมีใครบอกผมก็รู้ตัวเองดีถ้าไม่ใช่เพราะผม ถ้าไม่เพราะผมล่ะก็... หวังหยวนก็คงไม่ต้อง...”


    “งั้นผมถามอะไรคุณหน่อย


    “...”


    “คนเลวที่คุณว่าน่ะเขาจำเป็นต้องมานั่งรู้สึกผิดหรือเสียใจกับการเป็นสาเหตุให้คนอื่นต้องตายด้วยหรือไงถ้าเขาเป็นคนเลวจริงๆ จะมานั่งโทษตัวเองให้เสียเวลาทำไม”



    หวังจวิ้นข่ายสบตาคนตรงหน้าที่มองมาด้วยแววตาที่จริงจังจนเขาไม่คิดว่ามันเป็นถ้อยคำปลอบโยนหรือคำโกหกคนคนนี้กำลังพูดเตือนสติเขา...



    “ผมไม่รู้หรอกว่าสองเดือนก่อนหน้านี้คุณต้องเจออะไรมาบ้างเจอใครกล่าวว่าอะไรบ้าง สังคมรอบข้างจะมองคุณแบบไหนแต่อย่าให้คำพูดพวกนั้นมาตัดสินคุณ คุณเองก็ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ คุณไม่ได้อยากให้เขาตายโทษตัวเองต่อไปเขาก็ไม่ฟื้นกลับมาฟังคำขอโทษของคุณหรอกคุณก็แค่ต้องทำทุกวันให้ดีไม่เลือกทำอะไรผิดๆ อีก...”


    “...”


    “เรากำหนดชะตาชีวิตใครไม่ได้แต่เราเลือกจะไม่ทำผิดได้ ให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนกับชีวิตไม่ต้องลืมมันแต่ก็ต้องไม่เอามาทำให้ชีวิตของคุณแย่”



    ดวงตาคมมองคนตรงหน้าด้วยความประหลาดใจคำพูดต่างๆราวกับคำตอบที่เขาเอาแต่ตั้งคำถามกับตัวเองตลอดช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมาคนคนนี้พูดถูกทุกอย่างต่อให้เขาโทษตัวเองจนตาย หรือต่อให้ตายไปจริงๆอย่างที่คิดจะทำก่อนหน้านี้หวังหยวนก็ไม่ฟื้นคืนมาฟังคำขอโทษจากคนอย่างเขา



    “คุณเป็นใครกันแน่...”


    “ผมน่ะหรอ คนปลุกให้คุณตื่นจากฝันร้ายล่ะมั้ง”


    “คนปลุกให้ตื่น...จากฝันร้าย ?


    “เอาเถอะน่าผมเป็นใครไม่เห็นสำคัญเลยก็ตอนนี้คุณกำลังระบายความในใจตัวเองให้คนแปลกหน้าฟังไม่ใช่หรอคิดซะว่าผมเป็นไอดีหนึ่งในเว็บบอร์ดที่มาตอบคำถามยากๆ ให้ชีวิตคุณก็แล้วกัน”



    ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าใจหวังจวิ้นข่ายไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าคนตรงหน้านี้คิดอะไรอยู่ ทำไมอยู่ดีๆถึงเข้ามาช่วยเขาเอาไว้ แสดงท่าทีว่าอยากรู้จักเขา รับฟังและให้คำปรึกษากับเรื่องราวของเขา



    “คุณชื่ออะไร”ร่างตรงหน้าหยุดใช้ตะเกียบคีบอาหารตรงหน้าเมื่อได้ฟังคำถามก่อนจะเงยหน้าเพื่อยกยิ้มให้กับเขา


    “อยากรู้จักผมแล้วหรอ”



    กวน....



    “นี่ๆไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้นเลยนี่นา ผมล้อเล่นนิดเดียวเอง”


    “ผมไม่ตลก”


    “โอเค ไม่ตลกก็ไม่ตลกผมชื่ออี้หยางเชียนซี คุณล่ะ”


    “หวังจวิ้นข่าย”


    “อ่า งั้นคุณหวังจวิ้นข่ายรู้จักผมแล้วเราจะทานข้าวด้วยกันได้หรือยัง”อี้หยางเชียนซีถามด้วยรอยยิ้มกว้างและครั้งนี้ก็ได้รับการตอบรับด้วยการที่อีกคนเริ่มหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารตรงหน้าบ้างแล้ว



    เนื้อชิ้นแรกเข้าปากพร้อมแววตาของคนมองที่อดลุ้นกับรสชาติอาหารไม่ได้อี้หยางเชียนซีคิดว่าอาหารร้านนี้น่ะอร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยกินตั้งแต่ย้ายมาทำงานที่นี่เลยล่ะแต่กับอีกคนนี่สิ เดาไม่ถูกเหมือนกันว่าจะชอบหรือเปล่า



    “เป็นไงคุณ”ดวงตาคู่สวยประกายระยับด้วยความอยากรู้อยากเห็น


    “อืม... อร่อย”เมื่อได้คำตอบที่พึงพอใจชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มกว้างติดลักยิ้มออกมาจนคนตรงหน้าเผลอหยุดมองครู่หนึ่งก่อนจะเบี่ยงสายตาหลบไปยังอาหารตรงหน้าและก้มหน้าก้มตากินโดยไม่ได้กล่าวอะไรขึ้นมาอีก



    มื้ออาหารจบลงด้วยการเถียงกันของพวกเขาสองคนเรื่องการจ่ายเงินอี้หยางเชียนซียืนกรานว่าจะเป็นคนจ่ายมื้อนี้ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่เพราะตนเองกินไปเยอะกว่าอีกคนมากๆ แต่หวังจวิ้นข่ายเองก็ยืนยันที่จะหารกันให้ได้จนสุดท้ายเจ้าของร้านต้องเข้ามาช่วยเคลียร์ให้เป็นการจ่ายเงินแบบ 60:40 เรื่องจึงจบลง



    “จริงๆ ผมกินมากกว่า 60 ด้วยซ้ำ”เชียนซีบ่นอุบเมื่อเดินออกมานอกร้าน


    “แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณมาเลี้ยงข้าวผมแบบไม่มีวาระหรือโอกาสอะไรแบบนี้”


    “ก็โอกาสที่เราได้รู้จักกันไง”


    “ไม่ถือเป็นโอกาสด้วยซ้ำ”


    “ทำไมจะไม่ใช่ล่ะก็วันนี้เราได้รู้จักกันครั้งแรกนี่นาจริงไหม”ยิ่งพูดก็ยิ่งเถียงไม่ได้



    ไม่รู้ว่าอี้หยางเชียนซีมีความสามารถในการต่อล้อต่อเถียงมาจากไหนนักหนาเถียงเขาทุกครั้งตั้งแต่เจอหน้า แถมเขาเองก็หาเหตุผลมาเถียงอีกคนไม่เคยจะได้ทันเลยสักครั้งถึงจะทันแต่สุดท้ายก็โดนตอบกลับมาอยู่ดีนั่นแหละ



    “หลังจากนี้เราก็เป็นเพื่อนกันได้แล้ว”


    “เดี๋ยวๆผมบอกคุณตอนไหนว่าเราจะเป็นเพื่อนกัน”หวังจวิ้นข่ายหันมาถามคนที่เดินอยู่ข้างตัวด้วยความตกใจที่อยู่ดีๆอีกคนก็พูดเรื่องนี้ออกมา


    “อ้าวรู้จักกันแล้วก็ต้องเป็นเพื่อนกันสิ”


    “ไม่เกี่ยวสักหน่อย”


    “เกี่ยวซี้เนี่ยถ้าไม่ใช่เพื่อนกันใครเขาจะมาหารค่าข้าวกันแถมเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังล่ะจริงไหม”



    ก็จริง...


    แต่นั่นมันก็เพราะเจ้าตัวไม่ใช่หรือไงล่ะ!!



    “ผมเบื่อจะเถียงแล้วเอาที่คุณสบายใจเถอะ”


    “งั้นต่อไปนี้ผมก็จะได้มีเพื่อนที่เมืองนี้บ้างสักที”


    “คุณอยู่ยังไงไม่มีเพื่อนเลยน่ะ”


    “ผมมีนะ!!! เพื่อนผมที่ปักกิ่งน่ะมีเยอะแยะเลยเถอะ แค่ที่นี่เท่านั้นแหละ...ก็เพิ่งย้ายมาได้เดือนเดียวเองนี่นา”คนข้างตัวก้มหน้างุดราวกับอายที่หลุดเรื่องราวของตัวเองมาให้เขาฟัง



    หวังจวิ้นข่ายหลุดยิ้มเล็กๆออกมาก่อนจะกลับมาตีหน้านิ่งอีกครั้งเมื่อเพื่อนใหม่เงยหน้าขึ้นมามองขาเรียวหยุดลงตรงหน้าอพาร์ทเม้นขนาดใหญ่ที่ประดับไฟระยิบระยับถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ที่นี่เป็นตึกใหม่ที่เพิ่งสร้างแถมราคายังแพงลิบลิ่วเพราะได้วิวแม่น้ำนี่ อย่าบอกนะว่า...



    “คุณพักที่นี่หรอ”


    “อื้อ ที่นี่แหละทำไมหรอ”


    “รวยสินะคุณน่ะ”


    “ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อยสวัสดิการที่ทำงานต่างหากล่ะ”


    “งั้นหรอ”


    “งั้นผมเข้าไปก่อนนะถ้าคุณกลับถึงบ้านแล้วทักมาบอกผมด้วย”คำพูดของอีกคนทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอีกครั้ง


    “ทัก ?



    Rrrr Rrrr



    เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือทำให้หวังจวิ้นข่ายต้องหยิบขึ้นมาดูและพบว่าเป็นข้อความในแอพลิเคชันแชทของตัวเองที่ไม่ได้ใช้งานมาพักใหญ่แล้วแถมชื่อแจ้งเตือนนั่นยังเป็นของคนตรงหน้านี่อีกต่างหาก


    เอาโทรศัพท์เขาไปเพิ่มรายชื่อตั้งแต่ตอนไหนกัน



    “ตอนที่คุณไปเข้าห้องน้ำน่ะไม่คิดว่าจะไม่ล็อคก็เลย...”


    “ก็เลยถือวิสาสะเปิดมือถือผม?


    “ไม่ใช่สักหน่อยก็คุณเป็นเพื่อนผมแล้วนี่ เกิดอยู่ๆเบี้ยวแล้วหนีหายขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ”คำตอบที่ดูยังไงก็เป็นการแก้ตัวของคนตรงหน้าทำเอาเขาอดนึกเอ็นดูไม่ได้



    ใช่แล้วเขาไม่ได้โกรธแต่กลับเอ็นดู


    บ้าไปแล้วจริงๆใช่ไหมหวังจวิ้นข่าย...



    “แต่ตอนนั้นยังไม่ตกลงเรื่องเพื่อนเลยนะ”


    “เพราะผมรู้ว่ายังไงคุณก็ตกลงไงล่ะ”


    “แล้วถ้าผมไม่ตกลง”


    “ก็ไม่เป็นไรเพราะยังไงคุณก็คงไม่ค่อยเปิดแอพนั่น ไม่รู้หรอกน่า”อี้หยางเชียนซีตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มจนคนมองส่ายหน้าน้อยๆให้กับความทะเล้นนั่น



    พวกเขาคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่อีกคนจะเดินหายเข้าไปในที่พักจริงๆหวังจวิ้นข่ายรอให้ร่างอีกคนหายเข้าไปในลิฟต์ก่อนด้วยรอยยิ้มครั้งที่เท่าไรของวันก็ไม่รู้เขาไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ความรู้สึกที่เหมือนกับว่ายกภูเขาออกไปจากอกน่ะ


    ไม่รู้จะต้องพูดอย่างไรดีทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาทุกข์หนักจนแทบจะตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองแล้วด้วยซ้ำแต่กลับบังเอิญมาเจอกับใครอีกคนที่แสนจะแปลกประหลาดใครอีกคนที่กลายมาเป็นเพื่อนกันด้วยความเอาแต่ใจของเจ้าตัวใครอีกคนที่ทำให้เขายิ้มได้อีกครั้ง



    ใครอีกคนที่ทำให้เขารู้สึกราวกับได้ตื่นจากฝันร้ายที่แสนยาวนาน


    ใครคนนั้นที่ชื่อว่า...


    อี้หยางเชียนซี




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in