เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[BTS Fanfic ] OS/SF collectionMacbeth1995
(os)เส้นขนานและความยุ่งเหยิง(yoonjin)
    • BTS Fanfiction
    • Title: เส้นขนานและความยุ่งเหยิง
    • Genre: Soft, Comedy (?)
    • Paring: Yoonjin
    • Rate: PG





    “เฮ้! มินยุนกินายควรจะกลับบ้านได้แล้วนะ”

    เสียงร้องเตือนเวลาจากเพื่อนร่วมงานทำให้คนที่กำลังจดจ่อกับหน้าจอชะงักไปเล็กน้อย นัยน์ตาเรียวกะพริบปริบคล้ายเพิ่งหลุดออกมาจากโลกของตัวเอง ก่อนค่อยๆ หันผละจากหน้าจอไปที่นาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาเกือบจะสองทุ่มได้แล้ว นัยน์ตาเรียวถึงกับเบิกกว้าง คราวนี้พีดีตัวเล็กดีดตัวลุกขึ้นทันควัน มือใหญ่กวาดข้าวของทุกอย่างที่จำเป็นลงกระเป๋าเป้ก่อนวิ่งแซงเพื่อนร่วมงานที่กำลังเดินไปที่ประตูอาศัยความเล็กของตัวเบียดแทรกออกไปโดยทันที ทิ้งความสงสัยไว้เต็มใบหน้าของเพื่อนร่วมงานที่มองตามแผ่นหลังไวๆ


    “ยุนกิมันรีบไปไหนของมันวะ”


    ถ้าให้ตอบละก็

    ก็บ้านน่ะสิ


    “โดนบ่นหูชาแน่ๆ ..” มินยุนกิงึมงำ นี่อาจจะเป็นการวิ่งที่เร็วที่สุดยิ่งกว่าสมัยวิ่งผลัดสมัยเสียอีก



    x



    มินยุนกิคือชื่อของพีดีอัจฉริยะในค่ายเพลงเล็กๆ แห่งหนึ่ง รูปร่างเพรียวส่วนสูงจัดว่าคงปกติของผู้ชายเอเชีย แต่ก็ยังถือว่าตัวเล็กอยู่ดี ผิวขาดจัด ใบหน้าเหมือนแมวเซา และที่สำคัญคือนิสัยที่เหมือนคุณลุงวัยสี่สิบดูจะเป็นจุดเด่นกว่า


    ก็ถือว่าเป็นคนธรรมดาสามัญยกเว้นเรื่องเขียนเมโลดี้ออกมาเพราะเกินจำเป็น


    ชีวิตก่อนหน้านี้ของมินยุนกิออกจะไร้สีสันสักเล็กน้อย ไม่ได้โลดโผนแบบผู้ชายทั่วไป ไร้ความจัดจ้านทั้งเรื่องความรักและเซ็กส์ จัดเป็นประเภทบ้างาน มุ่งตามความฝัน ขับเคลื่อนชีวิตด้วยพาสชั่น และเติมเต็มชีวาด้วยความสำเร็จจากเป้าหมายที่วาดไว้ แต่ความภาคภูมิใจที่ว่ามามีต้องสั่นคลอนเล็กๆ ตอนที่ไปสังสรรค์กับพวกรุ่นน้องตัวแสบ

    ซึ่งจองโฮซอกบอกว่ามินยุนกิน่ะแค่ติสท์

    ส่วนคิมนัมจุนบอกว่า เรียกว่าเวิร์กโฮลิคน่าจะเหมาะกว่า

    ส่วนมินยุนกิแค่รู้สึกว่า ตัวเองปกติ

    ใช่ว่าไม่เคยมีแฟน ก่อนหน้านี้ก็เคยคบหามีคนรักแบบคนทั่วๆ ไป แต่ก็แค่ระยะสั้นๆ อย่างเช่นฮาจียอนที่เป็นสาวเท่ๆ ลุยๆ แต่สุดท้ายก็เลิกลากันไปเพราะมินยุนกิไม่มีเวลาให้ หรือปาร์คจีมินที่บังเอิญรู้จักกันผ่านการแนะนำจากจองโฮซอก ซึ่งอีกฝ่ายก็ดี ไลฟ์สไตล์อาจจะไม่ตรงกันเท่าไหร่ แต่เราก็ดูเข้ากันได้ดีจนกระทั่งถึงเวลาที่ความสัมพันธ์ต้องคืบหน้า สุดท้ายเลิกกันเพราะ... อืม มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนของตำแหน่งบนเตียง (ช่างมันเถอะ) เพราะมินยุนกิคิดว่าไม่ควรจะฝืนในสิ่งที่ทั้งตนและจีมินให้กันไม่ได้จึงเลือกจะจบความสัมพันธ์เหลือแค่คนรู้จักก่อนที่จะกระอั่กกระอ่วนไปมากกว่านี้


    (ใครจะไปนึกวะว่าไอเด็กนั่นจะเป็นรุกเหมือนกัน พับผ่า)


    หลังจากนั้นก็คบอีกสองสามคน แล้วเขาก็ได้ค้นพบว่า จริงๆ แล้วเขาอาจจะไม่เหมาะกับความสัมพันธ์ของคนก็ได้ ถึงได้เริ่มเลี้ยงหมาพุดเดิ้ลสีน้ำตาลแสนน่ารักและมันชื่อว่าฮลลี่

    ทั้งหมดทั้งมวลของอดีตที่ผ่านไปสู่แรงขับเคลื่อนของชีวิตที่เรียกได้ว่า หากแต่งกับงานได้ มินยุนกิก็คงเป็นCEO


    “แบบนี้เรียกว่าอะไรนะ? ฝังใจเหรอ? ”

    จองโฮซอกว่าขึ้น

    “น่าจะเข้าข่ายทรอม่ามากกว่ามั้ง? ”

    คิมนัมจุนเสริมกลับพลางลูบคางอย่างครุ่นคิด


    ส่วนมินยุนกิเพียงแค่หรี่ตามอง คล้ายควานหาสาระจากแก้วเบียร์ขนาดXLจากบทสนทนาในบาร์เบียร์ เมื่อเพื่อนร่วมงานจอมจุ้นจ้านอย่างรุ่นน้องสองคนนี้พยายามหาสาเหตุของการเป็นโสดมานานนับ3ปีของรุ่นพี่ตัวขาว คนที่ถูกทำให้เป็นหัวข้อหลักของบทสนทนาคิ้วขมวด ย่นจมูกก่อนจะแยกเขี้ยวใส่


    “ถ้าพวกมึงไม่หยุดคุยเรื่องนี้ โปรเจคหน้ากูจะไม่ช่วยแน่ๆ ”

    “เห้ย ไม่เอาน่าพี่ พวกเราเป็นห่วงเฉยๆ อีกนิดพี่จะเข้าวัยปู่แล้วนะ”

    “จริง ถ้าพี่ลงพุงงี้ก็หาแฟนยากแล้วนา”


    ปู่!? พุง!? พวกมันว่ามินยุนกิว่าแก่!?!


    “ไอพวกเด็กเหี้ย”



    x



    แฟนเหรอ?

    ใช่ว่าไม่เคยคิดถึงมันสักหน่อย

    มินยุนกิคิดในขณะที่เดินซวนเซไปมา จะล้มแหล่มิล้มแหล่ เหม่อมองท้องฟ้าไร้ดาวเพราะแสงสีของเมืองหลวงที่กลบประกายของพวกมัน เค้าโครงร่างของตึกทรงสี่เหลี่ยมประกอบเส้นตั้งเส้นนอนวาดฉากของเมืองเสียงจนชินตา ทุกอย่างเหมือนความเคยชิน บางทียุนกิอาจจะเป็นเส้นตรงที่ขนานกับทุกคน ไม่มีทางบรรจบกับใครสักคนก็เป็นได้


    ‘พวกผมก็พูดไปงั้นล่ะพี่ บางทีพี่อาจจะบังเอิญเจอใครสักคนระหว่างหิวทิ่มแถวถังขยะก็ได้นะ’


    คิมนัมจุนพูดติดตลกแต่ยังทิ้งลีลาการค่อนแคะที่เจ็บแสนซึ่งยุนกิไม่ได้ยี่ระอะไรสักเท่าไหร่ นัยน์ตาเรียวมองรุ่นน้องหุ่นหมีหิ้วปีกร่างปวกเปียกของคนคออ่อนที่สุดในกลุ่มไว้ ยุนกิแค่ยกยิ้มมุมปาก มือโบกไล่พวกรุ่นน้องตัวดีให้รีบกลับ


    ‘มึงก็รีบๆ บอกโฮซอกมันสักทีดิ กูรอพวกมึงอยู่เนี่ย’

    แล้วมินยุนกิก็ต้องหลุดขำลั่นตอนคนเด๋อด๋าอย่างคิมนัมจุนล่ะล่ำลั่กออกมาด้วยประโยคซื่อๆ นั่น ‘พี่รู้ได้ยังไง!? ’ ยุนกิไหวไหล่ ‘มีใครดูไม่ออกด้วยเหรอเจ้าบื้อ! ’ แต่รุ่นพี่แสนดีอย่างเขาก็ถนอมน้ำใจด้วยการไม่บอกว่า จองโฮซอกเองก็ดูออกเหมือนกัน เจ้างั่งคิมนัมจุนเอ้ย

    เหตุการณ์เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนทำให้มินยุนกิหัวเราะในลำคอ ตอนที่ประกายของดวงดาวดวงหนึ่งสว่างกระจ่างใสบนท้องฟ้าสีเข้มนั้นตราลึกลงในหัวใจอย่างน่าประหลาด ความบังเอิญอะไรนั่นมินยุนกิไม่เคยเชื่อมาก่อน สำหรับคนอย่างเขา ถึงจะบังเอิญถูกลอตโต้ทุกครั้งก็เถอะ

    แต่อีกใจหนึ่งของเขาเองก็เฝ้าคะนึงถึงความบังเอิญที่จะพอเหมาะกับเขาว่าจะมาถึงเมื่อไหร่

    บางทีเจ้าดาวเหนือที่เป็นประกายระยับนี่อาจจะตอบได้


    “เฮ้ย—”

    “โอ้ย—”

    !?!

    เสียงของกะโหลกศีรษะกระทบกันน่าจะดังกว่าเสียงร่างกายกระทบซีเมนต์ มินยุนกิคิดว่ากระดูกบางส่วนของเขาน่าจะร้าวแน่ๆ (โดยเฉพาะกะโหลก) เขาแทบลุกไม่ขึ้นเพราะความเจ็บกอปรกับน้ำหนักของบางอย่าง...บางอย่างที่อนุมานได้ว่าเป็นร่างกายคนจากอุณหภูมิและรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าเขาไปเล็กน้อย นัยน์ตาเรียวลืมขึ้นข้างนึง และมินยุนกิก็ต้องกัดปากกลั้นไม่ให้ตัวเองอุทาน หากสิ่งที่อยู่บนร่างกายเขาไม่ใช่นางฟ้า ก็คงไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน หากแต่คือความงดงามที่ส่งมาให้เขาได้เชยชมระยะใกล้ ก้อนเนื้อในอกสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้น เขาเหมือนหลงทางท่ามกลางหมู่มวลดาว จนะกระทั่งเสียงงึมงำในลำคอของคนไม่ได้สติแว่วดังขึ้น เรียกสติที่กระจัดกระจายให้กลับมา


    'เฮ้! คุณเป็นอะไรรึเปล่    '


    มินยุนกิงับริมฝีปากแทบไม่ทัน เมื่อเปลือกตาของคนบนตัวเขาปรือเปิด นัยน์ตาวาวน้ำสะท้อนประกายจักรวาลข้างใน แต่ภาพสะท้อนตัวตนของเขาผ่านนัยน์ตาคู่นั้นกลับชวนมองยิ่งกว่า เขาลอบกลืนน้ำลายตอนที่ริมฝีปากอิ่มแย้มยิ้ม แว่วเสียงหัวเราะคิกคักในลำคอแผ่วๆ ชีพจรเต้นระรัวจนคับก้องหูหากมันเต้นเร็วอีกนิดอาจจะหลุดออกมาจากอกก็เป็นได้ และมินยุนกิก็คิดว่าจะตายจริงๆ ตอนที่ปลายจมูกของพวกเขาสัมผัสกัน ผะแผ่ว แต่อุณหภูมิของลมหายใจกลับร้อนผ่าวไปทั้งร่าง กลิ่นเหล้าเจือเคล้ากลิ่นน้ำหอมทำให้รู้สึกหลงใหลอย่างน่าประหลาด วินาทีนั้นมินยุนกินึกอยากบดเบียดแนบริมฝีปากลงบนกลีบเนื้ออิ่มนั่น ถ้าไม่ติดที่ประโยคถัดมาของบุคคลปริศนาที่ทำให้มินยุนกินึกอยากจะกัดมันเสียมากกว่า


    ‘หึ… เป็นแมวขาวที่แก่จริงๆ เลยนะแกเนี่ย


    คนถูกเข้าใจว่าเป็นแมวชะงักนิ่ง ใบหน้าของคนกล่าวนั้นแดงก่ำ กลิ่นแอลกอฮอร์ที่แรงกว่าของมินยุนกิเสียอีกกลับดึงดูด ปลายนิ้วที่ข้อนิ้วผิดรูปถูกส่งมาเกาปลายคาง ก่อนที่อีกฝ่ายจะฝุบหน้าลงกับไหล่ที่แคบกว่า จังหวะการหายใจที่สม่ำเสมอบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวนั้นหลับไปแล้ว เหมือนชัตดาวน์ตัวเองทิ้งเสียดื้อๆ

    ส่วนแมวแก่ที่ถูกสาปให้เป็นหินชั่วคราวกร่นด่าบุรุษปริศนาตรงหน้าที่หลับทับตัวเขาในใจ แมวแก่ พ่*มึงสิวะ! ถึงแม้จะหงุดหงิดที่โดนด่าว่าเป็นแมวแก่ ดูเหมือนว่าจิตใจด้านดีของหนุ่มมินก็ยังทำหน้าที่ไม่บกพร่องด้วยการพยายามแบกผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่าตัวเอง แต่มันก็เพียงแค่สองสามก้าวเท่านั้นก่อนที่หนุ่มมินจะหน้าทิ่มพื้นจริงๆ


    บางทีพี่อาจจะบังเอิญเจอใครสักคนระหว่างหัวทิ่มแถวถังขยะก็ได้นะ’


    คราวหน้าขอสถานการณ์ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้ไหม มินยุนกิโอดครวญในใจอีกครั้ง ก่อนที่มือขาวจัดจะล้วงหยิบสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงออกมา


    ‘ฮัลโหล? จองกุกอ่า มีของจะให้ช่วยยกหน่อย ว่างรึเปล่า? ’



    x



    ชายที่เป็นเส้นขนานกับทุกคนบนโลก

    มินยุนกิ

    ใครจะไปนึกเล่า,

    ว่าความบังเอิญจะส่งเส้นขยุกขยุยแสนยุ่งเหยิงไร้ทิศทางขนาดนั้นมาชนเส้นขนานอย่างมินยุนกิเข้าอย่างจัง



    x



    พอนึกย้อนภาพจำของความบังเอิญแสนน่าขันขึ้น มันมักจะจุดรอยยิ้มที่มุมปากของหนุ่มมินได้ไม่ยาก จากการพบพานแสนพิศวง คืนวันนั้นมินยุนกิจำต้องแบกร่างของชายปริศนา (ความจริงคือจอนจองกุกแบก) กลับมาบ้านด้วยกัน น่าแปลกที่ยุนกิเอื้อเฟื้อคนที่ไม่รู้จักมักคุ้น แต่ก็ปล่อยไปไม่ได้จริงๆ แม้มันจะกลายเป็นเช้าที่วุ่นวายไปสักหน่อยเพราะอีกฝ่ายโวยวายขึ้นมา

    ‘คุณเป็นใครกันเนี่ย แล้วทำไมผมมาอยู่กับคุณได้ล่ะ!? ’  มินยุนกิยังจำสีหน้าตื่นตระหนกนั้นได้ดี ปากเอ่ยโวยวายลั่น แต่ทั้งนัยน์ตากับร่างกายดันไหวระริกเสียได้ ก็คงจะตกใจมิใช่น้อยเมื่ออีกฝ่ายอยู่ในชุดเมื่อวานแต่หากมันเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับบ็อกเซอร์แค่นั้นเอง ซึ่งหนุ่มมินไม่ใช่คนถอดมันแต่เจ้าตัวนั่นล่ะที่ละเมอถอดกางเกงออกด้วยตัวเอง เขานึกเอ็นดูเมื่ออีกฝ่ายอ้าปากพะงาบๆ งับอากาศเหมือนหาเศษเสี้ยวความทรงจำและเสียงของตัวเองไม่พบ และความเอ็นดูนั้นมันปะปนมาพร้อมความรู้สึกที่อยากจะแกล้งมากกว่าพูดความจริง ก็เลยปล่อยเลยตามเลยไปนิดหน่อย


    ‘เราเมาแล้วก็ xxxxxxกัน’


    หนุ่มมินกลั้นทั้งขำและรอยยิ้ม เมื่อนัยน์ตากลมที่สั่นไหวอยู่แล้วเบิกกว้าง ใบหน้านั้นราวกับถูกสาดสีแดงใส่กระทันหัน เป็นเฉดสีแดงที่น่ารักเพราะดูแล้วก็รู้ว่ามันแดงพร้อมอุณหภูมิใบหน้าที่เพิ่มขึ้น ความน่าเอ็นดูเพิ่มมากขึ้นเมื่อริมฝีปากอิ่มที่มินยุนกินึกอยากจูบเมื่อคืนถูกเม้มแน่นจนแดงก่ำ และยิ่งน่าเอ็นดูจนอดที่จะยกมือมาปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะแทบไม่อยู่เมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือไปลูบสะโพกตัวเองปอยๆ ก่อนจะพบว่ามันไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด หมอนเน่าๆ ของมินยุนกิจึงถูกปาอัดหน้าจนหงายหลังหล่นจากเตียง


    ‘ไอเ-ี้ยเอ้ย!!! ’


    จากไปโดยไม่ขอบคุณหรือแม้กระทั่งบอกชื่อให้ยุนกิรู้ด้วยซ้ำด้วยซ้ำ เหมือนพายุลูกใหญ่ที่พัดพาความปั่นป่วนของผีเสื้อนับพันที่โบยบินในท้องแล้วจากไปอย่างแยบยล ทิ้งร่องรอยความรู้สึกต่างๆ ไว้อย่างชัดแจ่มแจ้ง พอหวนระลึกมินยุนกิก็ได้เพียงนึกขำถึงพายุลูกนั้นที่ไม่เคยมีใครเสมอเหมือน แต่สิ่งที่น่าขันยิ่งกว่า เมื่อความบังเอิญชักนำพวกเขามาเจอกันเสียยิ่งกว่าโชคชะตา


    พระเจ้าน่าจะกำลังเล่นสนุกอะไรสักอย่างเป็นแน่


    ‘นี่คือ คุณคิมซอกจิน เขาเป็นหัวหน้าการตลาดที่เข้ามาทำงานแทนหัวหน้าซอที่เพิ่งออกไป คุณซอกจินจะมาดูแลเรื่องคอนเซ็ปต์และแผนการตลาดให้ ฝากทุกคนดูแลด้วยนะ’


    และดูเหมือนจะเล่นสนุกไปไกลทีเดียว


    เป็นคนที่อ่านได้ง่ายชะมัด พีดีหนุ่มได้แต่เก็บความขบขันไว้ข้างในเมื่อสีหน้าของคุณคิมซอกจินคนนั้นอ่านง่ายได้เหมือนเช้าวันแรกที่พวกเขาพบกัน คิมซอกจินอ้าปากหวอ มือทำท่าจะชี้ไม้ชี้มือมาที่เขา จากสีหน้าที่เขาอ่านได้ก็คงประมาณว่า ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ!? แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพนั่นล่ะอีกฝ่ายถึงได้เก็บสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว พีดีหนุ่มลอบขำเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าภาพลักษณ์ในการทำงานที่ทั้งละเอียดและใส่ใจทุกขั้นตอนนั้นน่าหลงใหลพอๆ กับภาพลักษณ์ยามสลัดคราบหนุ่มนักคิดนักบริหารไปในพริบตา


    ‘ผมอยากฟังเพลงทั้งหมดก่อนจะคิดการตลาดออกมา ถ้าเป็นไปได้ก็อยากฟังแบบคร่าวๆ ก่อน’

    ‘ครับ จะไปฟังในห้องผมก็ได้’

    ‘ขอผ่าน’

    ‘เอ้า’

    ‘ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากทำให้เพลงมันเป็นไวรัลบนอินเตอร์เน็ต บีทมันสนุกมาก ถ้ามีชาเล้นจ์เกี่ยวกับการเต้นผมว่าคนน่าจะชอบนะ’

    ‘อ่า คุณระวังชนแจกัน’

    ‘อย่ามาจับ!!! ผมยังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องวันนั้นในบ้านคุณนะเว้ย!!! ’

    ‘เอ๋ คุณยังจำความเร่าร้อนของผมเมื่อคืนวันนั้นได้อยู่เหรอ? ’

    ‘ว้าก! ’


    ดูเหมือนอีกฝ่ายจะระแวงเขาน่าดู ถึงขั้นทำร้ายร่างกายมินยุนกิ (ด้วยหมอนเน่านั่น) แล้วรีบกุลีกุจอออกไปจากห้องของเขาโดยไร้คำอำลา แต่การพบกันที่คิดว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายกลับดึงความยุ่งเหยิงที่ยิ่งกว่าโชคชะตาให้พวกเขาได้มาใกล้ชิดกัน จากคนที่เคยทะเลาะกันเวลาทำงาน กลายเป็นคู่หูคู่คิด กลายมาเป็นที่พักพิงยามเหนื่อยล้า


    ‘นายทำงานหนักเกินไปแล้วนะมินยุนกิ’

    ‘ก็งานมันเยอะนี่ครับ’

    ‘งดกาแฟซะบ้าง’

    ‘ถ้าไม่กินมันรู้สึกไม่มีแรงนี่นา’

    ‘หัดทานอะไรที่มีประโยชน์บ้าง ผอมหมดแล้วนายน่ะ’

    ‘งั้นคุณต้องมาทานข้าวเป็นเพื่อนผมทุกวันแล้วล่ะ’


    กลายมาเป็นความแตกต่างที่ลงตัวที่เหมาะสมของกันและกัน


    ‘พี่ซอกจิน’

    ‘หืม? ’

    ‘ลองมาคบกันดูไหมครับ’


    มินยุนกิเอ่ยถามขึ้นในวันหนึ่งที่โปรเจคที่กินระยะเวลาร่วมเกือบจะครบปีนั้นจบลง หมายถึงงานเลี้ยงที่ต้องเลิกลา ในมุมหนึ่งของบาร์ที่เป็นส่วนตัวมากพอ และแสงไฟสีส้มนวลตาขับให้ใบหน้าของคนแก่กว่าดูสวยงามกว่าปกติ มุมปากคลี่รอยยิ้มเมื่อเห็นริ้วแดงระบายลงบนแก้มจนถึงใบหู อีกฝ่ายเสมองไปอีกทางพร้อมน้ำเสียงเบาหวิวเหมือนปุยหิมะที่กำลังร่วงหล่นในฤดูหนาว


    ‘อือ’

    ‘ไม่ได้ยินเลยครับ’

    ‘อื้อ! ก็บอกว่าจะคบไงเล่ามินยุนกิ! ’


    คนเด็กกว่าถูกกระชากคอทั้งยังหัวเราะ ถ้าให้บอกว่าขำอะไรก็คงไม่พ้นหน้าที่แดงเป็นมะเขือเทศของคนที่แก่กว่าอย่างคิมซอกจินนั่นล่ะ ก่อนที่เสียงทุกอย่างจะเงียบหายเมื่อคิมซอกจินทำให้ปากของมินยุนกิปิดเงียบด้วยริมฝีปากอิ่มของเจ้าตัว แล้วมินยุนกิก็ไม่ขัดข้องเลยสักนิดที่จะตอบสนองรสจูบหวานของคนขี้อาย


    บางทีเส้นที่ขยุกขยุยยุ่งเหยิงนั้นก็ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะบางทีมันอาจจะเป็นพรมลิขิตของมินยุนกิก็ได้



    x



    เข็มนาฬิกาบนหน้าปัดยังคงเดินต่อไปอย่างขันแข็ง ทุกครั้งที่เข็มนาทีเริ่มเดินคล้ายกับการนับถอยหลังของระเบิดเวลา วันสำคัญ ขนาดนี้มินยุนกิดันกลับซะมืดจนได้ นัยน์ตาเรียวจับจ้องไปที่ไฟกลมที่กะพริบบอกระยะทางจนกว่าจะถึงสถานีที่ต้องการ รถไฟเคลื่อนตัวได้ช้ามากในความคิดทั้งๆ ที่ความเร็วที่ตัวขบวนรถเคลื่อนผ่านไฟในอุโมงค์แทบจะทำให้ไฟกลมพวกนั้นคล้ายกะพริบวินาทีต่อวินาที จนกระทั่งความเร็วของขบวนรถชะลอลงจนหยุดนิ่ง ทันทีที่ประตูเปิดออก มินยุนกิก็รีบสาวเท้าก้าวออกไปยังจุดหมายปลายทางไม่รอช้า อุณหภูมิของโซลติดลบของโซลทำให้อากาศหนาวจัด โดยเฉพาะยามลมหายใจของมันพัดผ่านร่างเพรียวจนรู้สึกแสบผิว แต่ดูเหมือนอุณหภูมิในร่างกายท่าจะร้อนจัด เพราะร่างขาวๆ ยังคงเดินฝ่าอากาศที่เสียดผิวโดยไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย

    คืนนี้ฟ้ากระจ่างกว่าทุกวัน ดาวดวงนั้นที่เคยเห็นตั้งแต่วันแรกที่พบกันคล้ายจะเคลื่อนลงต่ำลงมาเล็กน้อย การพบกันแสนน่าประหลาด แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้วันเวลาล่วงเลยผ่านมาจนเกือบจะครบสามปีแล้ว คิมซอกจินเส้นยุ่งเหยิงแสนแปลกประหลาดที่เข้ามามาพัวพันกับเส้นขนานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมินยุนกิ จนอยากจะคิดออกว่าหากปราศจากความยุ่งเหยิงนี้ ชีวิตของเส้นขนานแสนซื่อตรงแข็งทื่ออย่างมินยุนกิจะน่าเบื่อมากกว่านี้ไหม รึอาจจะกลายเป็นความกลวงเปล่ากันแน่ ไม่มีใครที่จะตอบคำถามนี้ได้นอกจากเขาและคิมซอกจิน


    ครั้งแรกต้องมีเสมอ เหมือนความลังเลที่เกิดขึ้นตอนที่ยืนอยู่หน้าบ้าน


    ความรู้สึกลังเลทำให้ใจหวิวๆ อย่างที่ไม่เคยเป็น คิ้วเรียวขมวดมุ่น ผ่อนลมหายใจออกครั้งหนึ่ง แล้วสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งลึกๆ มือขาวจัดของพีดีหนุ่มกดรหัสห้องเสร็จ ทันทีที่ประตูนั้นเปิดก็คือช่วงเวลาของความสุข สิ่งแรกที่ได้สัมผัสคือบรรยากาศของความคุ้นเคยที่รู้จักดีเสียงยิ่งกว่าอะไร กลิ่นหอมๆ ของอาหารเย็นจจะส่งกลิ่นกรุ่นลอยฟุ้งโชยมาถึงทางเดิน

    เสียงหวานๆ ของคนรักจะขานรับเสียงประตูที่ปิดลงว่า

    ‘ยุนกิยากลับมาแล้วเหรอ? ’

    แต่ทว่าวันนี้กลับไร้เสียงขานรับใดๆ

    มินยุนกิถอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มือเอื้อมไปเปิดตู้รองเท้า สายตากวาดไล่จำนวนรองเท้าที่ยังอยู่เกือบครบก่อนใส่ของตัวเองเข้าไปเพิ่มมันถึงได้ครบจำนวน สลิปเปอร์คุมะมงถูกหยิบมาใช้งาน ก้าวเดินด้วยความระมัดระวังพลางเงี่ยหูฟังเสียงไปด้วยเมื่อกวาดสายตาหาร่างคุ้นเคยในห้องนั่งเล่นไม่พบ ห้องสุดท้ายที่จะอยู่ก็คงไม่พ้นห้องนอนของพวกเขา หนุ่มมินยืนลังเลอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง สุดท้ายมือก็เลื่อนไปจับลูกปิด ออกแรงอีกนิดให้ตัวล็อคเลื่อนหลุดออกก่อนจะค่อยๆ ผละประตูเข้าไปช้าๆ ในห้องนอนแสนคุ้นเคยมืดสลัว มีเพียงแค่ไฟที่ส่องทะลุประตูกระจกฝ้ากระทบกับผนังด้านใน เสียงฮัมเพลงแผ่วๆ เล็ดลอดผ่านประตูนั้นออกมาเช่นกัน

    หนุ่มมินถอนหายใจออกมาครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบได้ เพียงแต่คราวนี้มันถูกระบายออกพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ขาเรียวก้าวอย่างไม่เรียวไม่ช้า แต่ระมัดการลงน้ำหนักเท้า ก้าวเข้าไปไม่ให้สุ่มไม่ให้เสียงเหมือนสัตว์จำพวกแมวเวลาล่าเหยื่อไม่มีผิด มือค่อยๆ เลื่อนประตูห้องน้ำออกช้าๆ กลิ่นหอมหวานของดอกไม้คือสิ่งแรกที่แตะจมูก มินยุนกิคลี่รอยยิ้มบางให้เมื่อสบกับสายตาของคนที่มองสบกลับมา เขาขยับเข้าไปใกล้คนที่กำลังนอนแช่น้ำอยู่ในอ่าง ปลายนิ้วแตะไล้แก้มนวลที่ขึ้นสีเลือดฝาดเพราะไอระเหยของน้ำจากอุณหภูมิความร้อน ปลายผมเปียกลู่ไล้กรอบหน้าสีแดงปลั่ง และสีของมันน่ารักกว่าสีของบาธบอมบ์ที่ย้อมสีน้ำในอ่างทั้งหมดให้เป็นสีชมพูที่มีประกายวาววับของกลิตเตอร์ ปลายนิ้วกร้านวนไล้บนกลีบเนื้อแดงช่ำก่อนจุมพิตลงบนนั้น เขาผละออกมาเล็กน้อยปลายจมูกพวกเขาคลอเคลียกัน ยุนกิกระซิบแผ่วยามริมฝีปากยังแนบชิด

    “ผมนึกว่าพี่งอนซะแล้ว”ยุนกิว่า ซอกจินครางหืมในลำคอ “พี่ขี้งอนขนาดนั้นเลยเหรอ? ” ซึ่งคนเด็กกว่าเลือกที่จะไม่ตอบคำถามด้วยซ้ำ แต่ประกายในแววตาคู่นั้นชัดเจนมากพอที่จะทำให้คนพี่บุ้ยปากใส่ ยุนกิหัวเราะในลำคอ จัดการปลดเปลื้องผ้าทั้งหมดโยนทิ้งไว้ที่มุมห้องก่อนก้าวลงไปแช่ในอ่างด้วยกัน


    แม้อ่างจะกว้างมากพอแต่มินยุนกิก็ยังเลือกที่จะทำตัวเหมือนแมว เบียดตัวเข้าไปนอนพิงอกให้ซอกจินได้กอดเล่น ดูเหมือนอีกฝ่ายจะชอบเขาในโหมดน้องขี้อ้อนเสียด้วยเมื่อแขนกอดรัดเอวสอบของยุนกิไว้และขยับเข้าไปกอดจูบแก้มขาวของคนเป็นน้องเบาๆ “พอคิดว่าพี่งอนก็เลยคิดจะอ้อนเหรอเจ้าแมวร้ายกาจ” คนถูกกว่าหาหัวเราะเสียงทุ้มออกมา หันไปกดจูบแก้มแดงปลั่งคืนอย่างรักใคร่ “พี่ก็รู้ว่าผมอ้อนเป็นยังไง”

    ยุนกิเริ่มปล่อยตัวเอนพิงร่างกายของคนแก่กว่าไว้ ความร้อนของน้ำคล้ายละลายความเมื่อยล้าและละลายเขาเหมือนน้ำตาลก้อนในแก้วชา กอปรกับแรงบีบนวดที่บ่าและหลังคอจากฝีมือคนเก่งยิ่งทำให้อยากเคลิ้มหลับ ซอกจินหลุดขำออกมาก่อนมือจะเลื่อนลงไปโอบร่างของยุนกิไว้ในอ้อมแขน


    “ทำไมคิดว่าพี่จะโกรธล่ะ? ” ซอกจินยังคงนึกสงสัย ว่าอะไรทำให้อีกฝ่ายคิดแบบนั้น และคำตอบทุกอย่างก็เฉลยออกมาเมื่อมือของซอกจินถูกยกขึ้นมา ปลายนิ้วกร้านเกลี่ยแหวนทองคำขาวที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย แหวนคู่แบบเดียวกันที่อยู่บนนิ้วข้างเดียวกันของยุนกิ

    “วันนี้วันครบรอบ ผมนึกว่าจะโกรธที่กลับช้า ข้าวเย็นก็ไม่เห็นเตรียมไว้ให้” คนถูกตัดพ้อถึงกับหัวเราะขำก่อนความเคอะเขินจะแล่นปราบเข้าแทนที่เมื่อรู้สึกถึงกลีบปากอุ่นที่ประทับลงบนข้อนิ้วข้างนั้นเบาๆ ซอกจินแนบแก้มเข้ากับบ่าที่แคบกว่าของยุนกิ เปลือกตาปิดพริ้ม “ความจริงแค่อยากกินพิซซ่า ก็เลยคิดว่า รอนายกลับมาเลือกด้วยกันดีกว่าว่าจะเลือกหน้าไหนบ้างดี” ยุนกิร้องอ่อเมื่อความสงสัยของเขาถูกไขกระจ่าง


    “นี่”


    เสียงของซอกจินแหบพร่า


    “ครับ? ”


    “ระหว่างพิซซ่ากับพี่...นายอยากกินอะไรมากกว่ากัน? ”


    ณ จุดกึ่งกลางความหมิ่นเหม่ทั้งมวล ชายร่างเล็กผละจากอ้อมแขน พลิกตัวหันกลับมา แนบร่างกายของพวกเขาให้ชิดสนิทไร้ช่องว่าง ซอกจินเห็นนัยยะของคำตอบผ่านประกายนัยน์ตาคู่นั้น ยุนกิสบถเมื่อค่าตอบแทนของประโยคคำถามแสนยั่วยวนถูกจ่ายเป็นลมหายใจที่ถูกช่วงชิงจนแทบขาดอากาศ เสียงทุ้มพร่าของมินยุนกิวันนี้ดูเร้าอารมณ์กว่าทุกครั้ง


    “ก็ต้องกินพี่อยู่แล้ว ซอกจินอ่า



    x



    เปลือกตาที่ปิดพริ้มสั่นไหวเล็กน้อยก่อนปรือขึ้น และกะพริบปริบเมื่อสายตายังคงเบลอมัวไม่สามารถโฟกัสได้ชัดเจนมากนัก ซอกจินขยับพลิกตัวก่อนจะพบว่าแขนขาวๆ ของใครบางคนกอดเขาไว้แน่นจนพลิกตัวลำบาก มือเรียวค่อยๆ แกะท่อนแขนของยุนกิออก ซอกจินหันไปมองนาฬิกาบนผนังที่ชี้บอกเวลาตีสองกว่า แผนกินพิซซ่าของเขาล่มไม่เป็นท่า เมื่อเจ้าแมวเซาเลือกที่จะกินเขาจนอิ่ม พอนึกถึงคนพี่ก็ได้แต่เบะปาก ยื่นมือไปบิดแก้มขาวๆ ของคนที่หลับสนิททีนึงอย่างมันเขี้ยว เจ้าแมวเซาขมวดคิ้วมุ่นพ่นลมหายใจอย่างรำคาญกันเสียงอย่างนั้น

    ซอกจินหัวเราะ สบมองใบหน้าของยุนกิด้วยประกายความรัก ใครจะไปนึกว่าวันหนึ่งเขาจะตกหลุมรักผู้ชายหน้าเต้าหู้จืดๆ นี่ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย แต่กลับเป็นส่วนประกอบที่ลงตัว คนที่ทำทุกอย่างภายใต้สีหน้าเรียบเฉยและรอยยิ้มกวนๆ นั่น สัมผัสของฝ่ามือกร้านที่คอยลูบแก้มยามซอกจินเศร้าหมอง


    เราแตกต่างกันทุกอย่าง แต่ซอกจินกลับรักความแตกต่างนั้นในตัวของผู้ชายที่มีชื่อว่ามินยุนกิ


    ปลายนิ้วของซอกจินไล้ตามเส้นเลือด ตามแนวกระดูกจนลงมาถึงข้อกระดูกใหญ่ เมื่อสัมผัสกับความเกลี้ยงเกลาของแหวนแบบเดียวกันบนนิ้วนางที่มือข้างเดียวกันมุมปากอิ่มก็กดลึกคลี่รอยยิ้มบางออกมา เมื่อภาพความทรงจำยามได้สวมแหวนนั้นตราสลักลึกลงในความทรงจำมากแค่ไหน


    ‘จู่ๆ เรียกให้มาช่วยจะดีเหรอ? พี่ไม่มีความรู้ด้านดนตรีอะไรเลย นายก็รู้ว่าตอนที่เราทำงานด้วยกันพี่ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการฟังเพลงพวกนายแล้วเอามาคิดคอนเซ็ปต์การตลาดอ่ะ’

    ซอกจินประหม่า ความประหม่าทำให้เขาแทบเสียสติเมื่อจู่ๆ พีดีมินจอมอัจริยะส่งข้อความมาเพียงสั้นๆ ว่า ‘ช่วยฟังเพลงให้หน่อย ผมอยากรู้มันต้องแก้ตรงไหน’ คนแก่กว่ารัวทุกอย่างที่คิดใส่พีดีมินที่ลุกมาเปิดประตูห้อง ‘Genius Lab’ให้ หลังจากโปรเจคงานครั้งก่อนเขาก็ไม่ได้ทำงานกับยุนกิอีก เพราะต้องไปทำแผนการตลาดให้ศิลปินคนอื่น ความกังวลที่ฉายชัดบนใบหน้า ยุนกิลอบขำ ดึงมือเรียวของซอกจินก่อนพามานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ กัน พีดีหนุ่มพยักหน้าตอนที่หยิบเฮดโฟนยื่นให้คนแก่กว่าที่ยังมีสีหน้าลังเล ซอกจินเม้มปากแต่ก็รับเฮดโฟนอันนั้นมาสวมแต่โดยดี

    ‘พี่ไม่ต้องกังวล แค่ฟังแล้วก็ตอบก็พอครับ’

    คนแก่กว่าพยักหน้าหงึก ยุนกิคลี่ยิ้มบางก่อนมือจะกดปุ่มให้เมโลดี้ได้บรรเลงความหมายของมัน เสียงแรกที่ได้ยินคือเสียงเปียโนอันอ่อนหวาน ความนุ่มนวลและอบอุ่นที่แทรกซึมเข้ามาในทุกห้วงอณูความรู้สึกทำให้ซอกจินหลับตาลง ฟังท่วงทำนองที่ขับเคลื่อนตัวเขาให้ล่องลอยเหมือนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม ตัวเขาเสมือนเบาหวิวล่องลอยท่ามกลางกอดเมฆโดยที่มีอ้อมกอดของสายลมคอยโอบอุ้มไว้อย่างอ่อนโยน จนกระทั่งโน้ตตัวสุดท้ายถูกบรรเลงและจบลง เสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยนั้นดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ละมุนละไม


    [แต่งงานกันนะครับ พี่ซอกจิน]


    นัยน์ตากลมเบิกกว้าง ซอกจินหันไปมองคนข้างตัวที่แสร้งเท้าคางและหันไปอีกทาง มินยุนกิก็คือมินยุนกิ ยังคงวางมาดเรียบขรึมถึงแม้จะไม่สามารถปกปิดมันได้หมดเพราะใบหูขาวๆ ก็แดงไม่ต่างจากของซอกจินเช่นกัน


    ‘คนบ้า ของแบบนี้มันต้องพูดออกมาจากปากสิ’

    ‘แล้ว…..จะแต่งไหมครับ? ’

    ยุนกิหันกลับมาสบใบหน้าแดงก่ำของคนข้างตัว เขาไม่เคยปรารถนาถึงใครนอกซะจากคิมซอกจิน มันเป็นความปรารถนาที่อยากได้อีกฝ่ายมาเคียงข้าง เป็นคนที่มินยุนกิอยากจะอยู่ด้วย คนที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่จะมาเติมความกลวงเปล่าในใจให้สมบูรณ์


    ‘คิมซอกจิน’

    ‘แต่งงานกับผมนะครับ’


    ภาพความจำของวันนั้นยังคงตราตรึงสลักลึกลงในหัวใจ แม้วันเวลาจะล่วงเลยมาสามปีกว่าแล้ว คำขอแต่งงานจากคนที่ปากไม่ตรงกับใจ และคิมซอกจินก็เลือกจะจัดการคนปากหนักคนนั้นด้วยการจุมพิตแทนคำตอบ จุมพิตแสนละไมที่ทำให้หัวใจพองโต

    จากความยุ่งเหยิงในการพบกัน พวกเขานั้นแตกต่างแต่ก็คล้ายกันในบางจุดที่ต่าง ถ้ามินยุนกิเป็นเส้นขนานกับทุกคน คิมซอกจินคงเป็นเส้นขยุกขยุยยุ่งเหยิงที่บังเอิญได้มาผูกพัน ได้รัก ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

    ซอกจินจุมพิตลงบนริมฝีปากเรียวแผ่วเบา ขยับเข้าซุกอกเจ้าแมวขี้เซาแล้วจมสู่ห้วงนิทรา มือเรียวข้างซ้ายยังคงกุมมือที่ใหญ่กว่าของยุนกิไว้ แหวนทองคำขาวเกลี้ยงเกลาคู่นั้นยังล้อประกายไฟดั่งวันแรกที่ถูกบรรจงสวมลงบนนิ้วนางของพวกเขาเช่นเดิม.



    -FIN-



    #สถานีอวกาศno95



    BY Macbeth1995

    TW: @astronaut1995



    Talk;

    สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่ @ani_beaux แม้จะเลยวันเกิดมาแล้วและกะทันหันไปนิดหน่อย

    แต่หวังว่าพี่จะชอบนะคะ ไม่รู้ว่าตรงกับที่พี่ต้องการไหม ฮา

    รวมถึงคนอ่านทุกคน ไม่เจอกันนานมากๆ หวังว่าจะชอบฟิคยุนจินเรื่องนี้นะคะ ช่วงนี้ไฮบ์คู่นี้อย่างน่าประหลาดล่ะค่ะ จู่ๆก็คึกคักขึ้นมาซะอย่างนั้น คึกจนมีหลายพล๊อตมาก แต่ต้องค่อยๆเคลียร์ซึ่งก็ดองเรื่องยาวไว้เยอะมาก จะกลับมาต่อแล้วค่ะ ก่อนที่จะหายตัวไปอีก แวะเวียนไปคุยในทวิตหรือในอ้าคได้เสมอ หนูไม่กัดนะคะ 

    เจอกันเมื่อถึงความรู้สึกที่จะต้องอัพได้แล้วล่ะ! เจอกันค่า:)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in