เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
BETWEENตะเกียงดาว
มารดาแห่งสรรพสิ่ง

  • ..

    อวานี’เดิมทีนางเป็นเพียงเด็กหญิงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้นเอง หากเป็นเพราะนางเกิดในตระกูล‘ชาล๊อต’ ตระกูลซึ่งเก่าแก่ยาวนานพอๆ กับการถือกำเนิดเทพและมนุษย์ ตระกูลซึ่งทายาทไม่ว่าจะกี่รุ่นต่อกี่รุ่นล้วนเป็นบุรุษเพศเพราะความเย่อหยิ่งจองหองในเพศของตัวเองนั่นแล้ว เป็นต้นเหตุจากอดีตนำมาถึงปัจจุบัน

     

    เมื่อทายาทหนึ่งของตระกูลสลัดรักหญิงสาวผู้ซึ่งเขาเคยล่อลวงด้วยรักใคร่ ดูถูกเหยียดยามความรักของนางทั้งด้วยวาจาและการกระทำต่ำช้าโดยหารู้ไม่ว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นธิดาองค์หนึ่งแห่ง ‘ไกอา’

     

              ...ยามใดสตรีเพศถือกำเนิดในสายตระกูลชาล๊อตนางผู้นั้นคือผลตอบแทนที่เจ้าดูหมิ่นข้า ลบหลู่เกียรติธิดาแห่งข้าเด็กหญิงซึ่งถือกำเนิดต้องรับใช้ข้า รับใช้โลกไปจนนิรันด์!!!

     

              ก็แค่วาจายามโกรธเคืองของผู้เป็นมารดาเช่นทั่วไป  ความหมายของถ้อยคำมิใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรนักหนา ที่สำคัญตระกูลชาล๊อตหาเคยให้กำเนิดธิดาไม่  ถ้อยความนั้นมิได้สร้างความตระหนักรู้แก่คนในตระกูลชาล๊อต เป็นเพียงประโยคหนึ่งซึ่งเล่าขานสืบต่อมา  ไม่กี่ช่วงอายุคนแล้วก็ลบเลือนไปไม่จดจำ

     

              นับพันปีหลังจากนั้นคู่สามีภรรยาหนึ่งแห่งตระกูลชาล๊อตกลับได้ธิดามาเชยชม  เด็กหญิงน้อยผู้มีเรือนผมดำขลับเงาวาวแตกต่างจากผู้ให้กำเนิดเรือนผมสีทองเครื่องหน้าของเด็กหญิงนั้นเล่าเพียงใครพบเห็นต่างตกตะลึงเด็กหญิงคือความสมบูรณ์แบบอย่างหาที่ติมิได้ คิ้วได้รูป ดวงตายาวรี จมูกโด่งริมฝีปากบางแดงระเรื่อเช่นเดียวกับพวงแก้มทั้งสอง

     

              เด็กหญิงคือดอกไม้น้อยแห่งปราสาทขาว ดอกไม้สมบูรณ์แบบทว่าแท้จริงกลับไม่ใช่ ควรรับรู้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดถือกำเนิดมาโดยไร้ตำหนิเด็กหญิงน้อยผู้งดงามราวภาพเขียนหลีกไม่พ้นความจริงข้อนี้เช่นเดียวกันเด็กหญิงมีบางอย่างให้ผู้คนหวาดกลัว

     

    ยามเด็กหญิงร้องไห้จ้า สิ่งอยู่ภายในกลับน่ารังเกียจยิ่งนักลิ้นของนางธรรมชาติควรเป็นสีชมพูกลับเป็นชิ้นเนื้อสีดำสนิทดำเช่นเดียวกับวาจาของชายในตระกูลผู้เคยกล่าวคำเหยียดหยามธิดาแห่งไกอา เด็กหญิงแสนงดงามคือผลการกระทำลบหลู่

              

    ความโศกเศร้าเสียใจครอบครองผู้ให้กำเนิด  ดอกไม้น้อยแห่งตระกูลเหตุอันใดจึงมีตำหนิน่ากลัวถึงเพียงนี้ มีทางใดแก้ไขอัปมงคลได้บ้างไหม  เหล่าหมอภูติทั่วแดนใกล้ไกลต่างถูกนำตัวมายังปราสาทเฝ้าเพียรรักษา   โอสถดื่มกินก็แล้ว  อบร่ำก็แล้ว สารพัดสารพันวิธีทุกคนต่างส่ายหน้าไร้สามารถ 

     

    นานวันเข้าเป็นเด็กหญิงเองเบื่อหน่าย  ความจริงนางไม่ได้ทุกข์ร้อนด้วยเรื่องนี้เท่าผู้ใหญ่  นางยังคงดื่มกินได้เหมือนคนอื่น  นางยังคงส่งเสียงได้เหมือนคนอื่น  นางยังคงวิ่งเล่นไปรอบปราสาทขาวได้มากกว่าคนอื่น   เสียงหัวเราะของนางกังวาลใสกว่ากระดิ่งนางฟ้าเสียด้วยซ้ำ 

     

    นางผูกมิตรกับเหล่าภูติจิ๋วทั้งยังได้รับความรักด้วยพรมากมายเป็นของกำนัล  ได้ฟังนิทานภูติมากกว่าจากพี่เลี้ยงวัยกลางคนผู้ไม่เคยวิ่งตามทันนางสักหน  ป่าย่ปีนต้นไม้ได้ว่องไวไม่น้อยหน้าบุรุษ  เช่นนี้แล้วนางมีอันใดให้ไม่สบายกายใจได้อีก  ท่านพ่อท่านแม่ไม่สมควรทำสีหน้าหดหู่อย่างแบกความทุกข์สาหัสไว้

     

    พวกท่านไม่แสดงสีหน้าต่อเด็กหญิงหรอก เว้นเสียแต่สองคนอยู่กันลำพังและคิดว่าปลอดสายตา หากการที่ลิ้นของนางเป็นสีดำทำให้ท่านพ่อท่านแม่ทุกข์ใจถึงเพียงนี้  ทำไมนางถึงจะทำให้พวกท่านสบายใจไม่ได้เล่า  รอบปราสาทพุ่มไฮเดรนเยียมีอยู่มากมายสีสันตามแต่แร่ธาตุในดินส่วนนั้น

     

    เด็กหญิงเลือกพุ่มกอออกดอกสีชมพูสด แหวกเข้าไปนั่งโคนต้นเด็ดดึงดอกไม้แสนสวยเคี้ยวอมและกลืนกิน  หวังว่าสีของดอกไม้จะแทรกซึมเปลี่ยนสีลิ้นของตัวเอง  นางทำอยู่เช่นนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้ความง่วงงุนจู่โจมจนทนไม่ไหว  สลบไสลใต้พุ่มไฮเดรนเยีย

     

    แม้นางไม่เหมือนคนอื่นและบิดามารดาทุกข์ใจด้วยเรื่องนั้น หากนางมีชีวิตอยู่ได้โอบกอดพูดคุยย่อมดีกว่าเห็นนางนอนหลับไม่ตื่นอยู่ตรงหน้า  หลังจากพบนางใต้พุ่มไฮเดรนเยียทำอย่างไรก็ไม่ฟื้นตื่น  นอนหายใจอยู่เช่นนั้นร่วมอาทิตย์  บิดามารดาเกรงว่าชีวิตนางอาจสูญสิ้นไปเสีย พวกเขาไม่รู้ว่านางไม่อาจตายได้อีกแล้วนับแต่ถือกำเนิดมา

     

    นางตื่นก่อนเด็กชายจากป่ามรณะเข้าปราสาทเพียงหนึ่งวัน  เรียกหากระจกจากพี่เลี้ยง  ลิ้นยังคงเป็นสีดำ นางร่ำให้หาใช่เพื่อตัวเองหากเศร้าใจแทนท่านพ่อท่านแม่เสียมากกว่าการพยามของนางไร้ความหมาย

    “ข้าพยามแล้ว ข้าขอโทษ”

    พวกเขามองหน้ากันโอบกอดเด็กหญิง สัญญาว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เสาะหาหมอรักษา  นับจากนี้ไม่ว่านางจะเป็นอย่างไรพวกเขาล้วนยอมรับทุกสิ่งที่นางเป็นอย่างได้วิตกกังวล

     

    เด็กชายนัยน์ตาสีเหลืองจากทิวป่ามรณะอายุเพียงห้าขวบถูกพาเข้ามาด้วยร่ำลือว่าเก่งกล้าในมายามนต์และมีพลังพิเศษ  นางต้องคำสาป  คำสาปจากบรรพกาลไม่อาจแก้ไข  เด็กชายบอกเพียงเท่านี้  ก่อนจากไปเด็กชายกระซิบถ้อยได้ยินเพียงเด็กหญิงผู้เดียว

    “ข้ารอเจ้า”

     

    ชายรับใช้ของตระกูลพบเจอเด็กชายได้อย่างไร เด็กประหลาดผู้นั้นจะเป็นใครไร้ความหมายโดยสิ้นเชิงเขาไร้สามารถเยี่ยงหมอภูติที่ผ่านมา คำร่ำลือล้วนเป็นสิ่งหลอกลวงบิดาเด็กหญิงยื่นถุงทองเป็นของกำนัลแก่เด็กชายตามสมควร กล่าวคำขอบใจแผ่วเบาความสิ้นหวังมากเกินไปจนไม่สังเกตุ

     

              ไม่มีใครเลยนึกคิดไปถึงคำสาปแห่งไกอาเด็กชายปกปิดพวกเขาไว้ด้วยความครางแครง

     

              เด็กหญิงน้อยเติบโตมานอกจากกับผู้ให้กำเนิดนางไม่เคยสนทนากับผู้ใด  หาใช่เพราะนางแต่เป็นเพราะผู้คนเหล่านั้นต่างกลัววาจาของนาง กลัวถ้อยคำซึ่งเปล่งออกมาจากลิ้นสีดำ  คำพูดนางล้วนเป็นคำสาปผู้คนทั้งในและนอกเขตปราสาทกระซิบเล่ากล่าวขานเช่นนั้น 

     

    ช่างน่าขันมนุษย์หนอมนุษย์เสกสรรปั้นแต่งเรื่องได้ร้อยแปด  เปลี่ยนจากขาวเป็นดำหรือจากดำเป็นขาวล้วนทำได้  นี่คืออำนาจแห่งถ้อยวาจาซึ่งติดตัวมนุษย์มาแสนยาวนาน

     

                หนหนึ่งยามปลอดคนนางเล็ดลอดติดรถม้าพ่อค้าส่งเนื้อออกนอกปราสาทเข้าไปยังหมู่บ้าน  เจอเด็กชายหญิงเล่นกันเป็นกลุ่ม แค่เพียงนางเดินเข้าไปหาพวกเขาต่างขว้างปาก้อนหินใส่ แม่มด แม่มด จับนางเผาไฟ  พวกนั้นต่างกรูเข้ามา  นางกรีดร้องด้วยความกลัวหลับตาแน่น  ไปให้พ้นจากข้า นางตะโกน    ลืมตาอีกครั้งรอบกายเหล่าเด็กชายหญิงล้มลงท่ามกลางกองเลือดมากมายเกิดขึ้นได้อย่างไรนางไม่รู้

     

                หลังจากนั้นใครสักคนอุ้มนางขึ้นม้าส่งไว้หน้าปราสาทขาวแล้วจากไป  สำทับนางห้ามออกนอกเขตปราสาทเป็นอันขาด  แม้เขาไม่สั่งเด็กหญิงคงไม่กล้าออกไปอีกเช่นกัน

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in