เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Journalnichised
วันที่รอมาครึ่งชีวิต: คอนเสิร์ต Coldplay
  • เอาล่ะ ต่อไปนี้เราจะเล่าประสบการณ์ไปดูคอนเสิร์ต Coldplay ที่ประเทศนิวซีแลนด์ของเรา ใครอยากอ่านแค่ความรู้สึกและเรื่องเล่าที่เราได้จากคอนเสิร์ตขอให้ข้ามพาร์ทนี้ไปท้ายๆได้เลย เอนทรี่นี้ยาวที่สุดในชีวิตที่เคยเขียนละ เปลืองสี่จีแน่ ไม่ต้องห่วง

    เริ่มจากการซื้อตั๋ว

    สำหรับใครที่ไม่เคยไปดูคอนเสิร์ตต่างประเทศ คำแนะนำของเราคือขอแค่กำเงินในมือให้แน่นและดันทุรังค่ะ ก็จะได้ดูค่ะ

    เราตัดสินใจว่าจะไปดูคอนเสิร์ต Coldplay ที่ Auckland ช่วงกลางปี หลังจากพึ่งไปดู Of Monsters And Men ที่สิงคโปร์มาคนเดียวและวางแผนจะไปเรียนต่อพอดี เลยมั่นหน้า กล้าไปดูต่างประเทศคนเดียวอีกรอบ เราซื้อตั๋วหลังจากที่คอนเสิร์ตประกาศขายไปนานแล้ว แต่เรากำลังจะไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์นี่นา จะยอมพลาดหรอ แล้วชีวิตพึ่งจะลงตัว เพื่อนก็บิ้ว เพจเสพย์สากลก็รีวิว โอโห จุดนี้ต้องไปแล้ว ไม่คิดแล้ว กดซื้อตอนพักเที่ยงที่ทำงานนี่แหละ คิดแล้วต้องทำ โอกาสเดียวในชีวิตที่จะไปเหยียบที่ที่มีคอนเสิร์ตวงที่รอมาครึ่งชีวิต เลยหน้ามืดซื้อบัตรมือสองมาราคาแปดพันกว่าบาท (สองเท่าจากราคาจริงที่ ticketmaster) ผ่าน viagogo 

    ระหว่างรอให้วันที่จะได้ดูโชว์มาถึง เราก็ไปรีเสิชมาพบว่าอีเว็บขายบัตรมือสองนี้ชื่อเสียงแย่มาก มีคนที่ซื้อบัตรแล้วไม่ได้ของ โดนโกงนู่นนี่มากมาย แต่จากอัตราส่วนก็ประมาณ 6 จาก 10 ให้คะแนนว่าเว็บนี้ดี เชื่อถือได้ ขอแค่ให้ได้บัตรมาถือในมือ ซึ่งเราซื้อบัตรแบบ e-ticket คือจ่ายเงินปุ๊บ ได้อีเมลส่งตั๋วมาให้ทันที แต่ด้วยความแพนิก และระยะเวลาที่ยาวนานครึ่งปีที่ต้องรอให้วันจริงมาถึง นี่ก็ระรานชาวบ้านไปทั่ว ถามคนนู้นคนนี้ เอาตั๋วให้ดูว่านี่ของจริงมั้ย จะโดนโกงมั้ย หลายๆคนก็บอกเราว่าตั๋วเราหน้าตาดี รอดชัวร์ นี่ก็ยังไม่เชื่อ ยังสงสัยจนวินาทีสุดท้ายจนได้ xylobands เข้ามาเหยียบในสเตเดียมถึงสบายใจ

    ขอวาร์ปมาถึงตอนที่เรานั่งรถไฟจากสถานีใกล้บ้านมายังสถานีที่ใกล้ที่สุดของสเตเดียม

    เราพึ่งมาถึงที่นี่ได้สิบวัน นั่งรถเมล์บ่อยแล้ว แต่พึ่งนั่งรถไฟครั้งแรก นี่ก็เด๋อ หาที่ซื้อตั๋วไม่เจอ เลยโดดขึ้นรถไฟเลย สรุปได้นั่งฟรีเฉย ไม่โดนตรวจตั๋วอีก มาถึงสถานี Penrose ตอนบ่ายสามโมงกว่าๆ คนท้องที่ทุกคนแนะนำว่า ไปถึงให้เดินตามฝูงชนไปเดี๋ยวก็เจอเอง ใกล้ๆ ชิว ไปถึงแน่นอน แต่หารู้ไม่ว่าโดนกีวี่หลอกอีกแล้ว จริงๆคือมันมีเกทหลายอันมาก  ระยะทางจากสถานีรถไฟถึงสเตเดียมคือ 1.2 กม. (สามร้อยเมตรพ่อม) และแต่ละเกทต้องเดินไปคนละทาง ไม่งั้นชีวิตพลิกผันเดินหลายกิโลแน่นอน แต่โชคดี (อีกแล้ว) เจอสาวเอเชี่ยนสองคนยืนกดมือถืออยู่ เลยเดินไปถามว่าไปไหน นางบอกไปเกท F นี่ก็ควักตั๋วมาดู (เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีเกทด้วยซ้ำ ความเด๋อ) อ้าว เกทเดียวกัน โซนเดียวกัน รอดละกู ตามเพื่อนใหม่ชาวฟิลิปปินส์ที่อยู่เมืองนี้มาสองสามปีแล้วไป สบายละ

    นี่ก็ไปรอหน้าทางเข้าสเตเดียม เริ่มมีแฟนเดนตายมายืนรอกันแล้วหลายคน ซัก 40-50 ชีวิตได้ นั่งตากแดดรอเกทเปิดกันไป โดนหลอกให้กินขนมเพลินๆ รู้ตัวอีกทีก็มีคนตะโกนโหวกเหวกโวยวายวิ่งไปต่อแถวกัน เราก็เดินๆตามๆเค้าไป เพื่อนฟิลิปปินส์สองคนก็ใจดีลากเราไปต่อด้วย ยืนต่อแถวอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ตอนสี่โมงกว่าๆ ประตูใหญ่ของสเตเดียมก็เปิด ทุกคนก็วิ่งกรูกันเข้าไป (แล้วนี่จะต่อแถวเพื่อใคร) ไปกองกันหน้าประตูอีกประตูนึง

    คราวนี้เรากับเพื่อน(เป็นเพื่อนกันแล้ว แลกเฟสไอจีเรียบร้อย) อ่านขาดนั่งรอใต้ต้นไม้ เม้ามอยกันไป ช่วงนี้คนเริ่มเยอะละ น่าจะร้อยกว่าๆ ร้านขายเมิร์ชก็เปิดแล้ว เลยไปช้อปปิ้งได้เสื้อมาตัวนึง $50 ประมาณ 1250 บาท (ถูกกว่าตอนซื้อเสื้อ Muse ที่ไทย ตอนนั้นซื้อมา 2000 บาท) มีลาย Parachute ด้วยนะ แต่ตอนนั้นคิดแค่ว่า อยากจำว่ามาของทัวร์นี้ เลยซื้อลายสีรุ้งสุดเด๋อมา

    พอช้อปปิ้งสบายใจ รอสักพักประตู(ที่เล็กลงนิดนึง) ก็เปิด คราวนี้ก็วิ่งอีก แต่ความยากของรอบนี้คือต้องวิ่งไปให้ตรงโซนด้วย หาป้ายให้เจอ ใครตาไวก็ได้ก่อน นี่ก็คล้องแขนกับเพื่อนใหม่ลากไปต่อคิวได้ สับสนเล็กน้อยเพราะมีการสับขาหลอก มีช่อง express สำหรับคนไม่มีกระเป๋า ไม่ต้องตรวจ ผ่านได้เลย แต่เราไม่เห็นใครไปต่อแถวนั้นเลยทั้งๆที่มีคนมาตัวเปล่าเยอะแยะ ไม่แน่ใจว่าโดนซ้อนแผนหรือยังไง

    ยืนตากแดดรอมานานนี่ก็ใกล้ละ จนถึงตอนนี้ก็ประมาณ5โมงเย็นได้ พอตรวจกระเป๋าผ่านก็โดนเทน้ำในขวดที่เอามาทิ้งจนหมด (พึ่งซื้อมา) (และราคาเกือบ70บาท) มีข้อห้ามกระเป๋าใบใหญ่ 30 cm x 40 cm ห้าม professional camera ซึ่งเราว่างานนี้โดนตัดสินจากหน้าตา ต่อให้เป็น mirrorless แต่อันใหญ่ก็คงโดนห้าม (เพื่อนเราเอา Fuji (น่าจะ) X-A2 เข้าได้)

    ผ่านเกทมาแล้ว!

    IT

    IS

    HAPPENNINGGGGGGG

    พอผ่านรอบนี้ไปก็ได้ xylobands เข็มกลัด และสายรัดข้อมือว่าผ่านเกทแล้ว ก็มีตู้กดน้ำฟรีเอาไว้เติมขวดที่โดนเททิ้งไป (กลัวใครวางยาพิษพี่คริสหรอ) ซึ่งแถวเริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ บางคนก็ใจนิ่ง ไม่เติมน้ำ ยอม dehydrate ตาย แต่ขอติดเวทีงี้ 

    แต่โดนหลอกอีกแล้วจ้า เข้าไปเจออีกประตู แต่คราวนี้เป็นประตูติดสเตเดียมละ จุดนี้ต้องได้เข้าละอะ ให้น้องเถอะ พอเกทเปิดก็วิ่งสุดชีวิต ลงบันไดอีก เกือบหน้าทิ่ม สรุปเข้าไป อยู่ผิดฝั่งจ้า อีพนักงานทำไมไม่เตือนหนู หนูจะยืนฝั่งพี่กายยยยยยยย (พี่จอนอย่าน้อยใจ)

    ตอนนี้ก็ประมาณเกือบๆหกโมงได้ แดดยังไม่หมด คนเริ่มแน่น แต่เราได้ยืนประมาณแถวที่ 3-5 จากเวที ถือว่าโอเค หย่อมที่เรายืนเป็นก้อนเอเชี่ยนตัวเตี้ยจำนวนมาก แต่เสือกมีฝรั่งหนึ่งหน่อมาเป็นปัญหาชีวิต คือสูงหัวโด่มาก แต่หันมาหน้าเสือกเหมือน คริส มาร์ติน ระหว่างรอ ก้อนเอเชี่ยนผู้เห็นฝรั่งทุกคนหน้าเหมือนกันหมด ก็ขอคริส มาร์ตินตัวปลอมถ่ายรูปไปพลางๆ เพื่อนเรามีเพื่อนทำงานเป็นสตาฟพอดี นางบอกคอนเสิร์ตเริ่มจริง สามทุ่มครึ่ง นี่ท้อใจมาก ยืนมาสามชั่วโมงแล้ว ปวดเท้าสุด หันไปข้างหลังถึงเห็นว่าชาวบ้านที่มาทีหลังแม่งนั่งกันหมด มีแต่อีพวกที่วิ่งมาก้อนแรกเด๋อยืนอยู่ เราเลยพยายามเบียดๆนั่งพักกับพื้นไปได้15นาที วงเปิดวงแรกก็มาพอดี คือวงอะไรก็ไม่รู้ เพลงตื้ดมาก แต่มาค้นทีหลังชื่อว่า Jess Kent เล่นได้สั้นๆก็ปล่อยให้ยืนรอเงกเมื่อยขาต่อ

    นอกเรื่อง: เกร็ดความฟินจากเพื่อนติ่งฟิลิปปินส์

    ระหว่างรอ เพื่อนฟิลิปปินส์เล่าให้ฟังว่า สองปีก่อนเพื่อนนางไปดู Coldplay ที่ออสเตรเลีย มี The Temper Trap เป็นวงเปิด นี่คืออิจฉามาก วงเปิดผีบ้าอะไรเทพขนาดนี้ นอกจากนี้นางยังอวดอีกว่าเพื่อนนางคนนึง เคยชิงโชคจาก Tumblr ได้บัตรหน้าสุดของคอนเสิร์ต Arctic Monkeys บินไปดูที่อังกฤษ มูลค่าหลายร้อยNZD

    พอ จบแล้วกับการอิจฉาริษยา

    Lianne La Havas มาเล่นเปิดให้แล้ว ซึ่งดีงามมาก นี่กลับมาโหลดสตูดิโอฟังก็เฉยๆไม่ชอบเท่าตอนเล่นสดเลย บุคลิกน่ารักสดใสมากๆ คอสตูมก็ชิค เชิญเพื่อนๆไปตามฟังกันได้ ลีแอนน์ขอเล่นเพลง cover หนึ่งเพลง นางบอกว่าทุกคนก็มีเพลงที่ฝันว่าตัวเองอยากจะเป็นคนแต่งทั้งนั้นแหละ

    เอาอันนี้ไปฟังดูก่อนนะ คล้ายๆกัน อิ๊

    ต่อไปนี้จะรีวิวคอนเสิร์ตจริงๆแล้วนะ!!!

    เราจะเริ่มพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ!!!

    มีแต่ความรู้สึกกับเรื่องเล่าผีบ้าที่ไม่เรียงลำดับเหตุการณ์แล้วนะ!!! 

    ใครเน็ตสี่จีจะหมดเตรียมตัวได้ รูป เยอะ มาก จะไม่เรียงลำดับด้วย เพราะจำไม่ได้ ไม่มีสติ

    quote อะไรที่ยกมาล้วนผ่านการ paraphrase แล้ว เพราะจำของจริงไม่ได้ หาคลิปก็ไม่เจอ ทนๆหน่อยนะ

    เอาล่ะ

    เรา

    มี

    ความ

    สุข

    มากกกกกกกกก

    เราคิดมาตลอดว่าเราเลิกชอบวงนี้แล้ว เพราะอัลบั้มหลังๆนั้นไม่อินเลย ก่อนไปดูก็ไม่ได้ซ้อมฟังอะไรเยอะแยะ (แต่ยังตามเก็บซีดีอยู่นะ ฮ่าๆ) เราพยายามไม่คาดหวังอะไรมากเพราะกลัวเฟลจากเพลงยุคหลัง แต่ปรากฏว่าวงเล่นเพลงเก่าเยอะกว่าที่คิด ไม่ได้เล่นเพลงที่แรร์อะไร ก็เพลงฮิตแบบ Yellow, In My Place, The Scientist, Clock ไรงี้ แต่ แต่ แต่ แต่ ที่เหนือความคาดหมายของเราคือ Green Eyes จ้า

    ความผิดหวังอย่างเดียวของเราคือไม่เล่น Christmas Light ถ้าไปเล่นที่ออสเตรเลียจะงอนมาก

    เพลงใหม่ๆที่เราเคยเกลียดตอนนี้ก็ไม่เกลียดแล้ว เราไม่ใช่คนชอบปาร์ตี้อะไร ไม่เข้าผับ ไม่เต้น แต่เราสนุกมาก ที่พูดแบบนี้เพราะเพลงอัลบั้มใหม่ๆที่ตื้ดๆทั้งหลายเหมือนมาปาร์ตี้กลางแจ้งที่มีคนมาร่วมตี้กันเป็นหมื่นๆ เวทีสวยสุดๆ บรรยากาศก็ดีมากๆ คนดูทุกคนมีส่วนร่วม อาจเพราะเราอยู่ก้อนหน้าสุดของเวทีด้วย เลยมีแต่คนที่ตั้งใจมาจริงๆ (ยืนมาด้วยกันก็ 6 ชั่วโมงอะกว่าคอนเสิร์ตจะเริ่ม จนคอนเสิร์ตจบรวมก็ 8-9 ชั่วโมงอะ) ทุกคนร้องตามได้หมดไม่ว่าจะเพลงเก่าหรือใหม่ นี่รู้สึกผิดเลยที่ฟังอัลบั้มใหม่แค่ผ่านๆ ผู้หญิงคนข้างๆเราคือซ้อมร้องระหว่างยืนรอวงมาด้วยซ้ำ

    แต่เพลงที่เราประทับใจสุดกลับเป็น Everglow

    คริสบอกว่า ปี 2016 นี้เป็นปีที่มีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นเยอะมาก คริสอยากส่งความสุข ความรู้สึกดีๆให้กับทุกคนในคอนเสิร์ตนี้ คนใน Auckland คนนิวซีแลนด์จากเมืองอื่น รวมทั้งคนจากที่อื่นที่มาไกลมากๆเพื่อพยายามมาดูคอนเสิร์ตที่นี่ด้วย เรานี่แบบตื้นตันมาก รู้ตัวสินะว่ามีคนไทยถ่อมาดูไกลถึงนี่อะ หลังจากนางพูดจบ ก็เป็นสปีชของ Charlie Chaplin เริ่มที่ นาทีที่ 1:39 

    Everglow ทำเราน้ำตาไหลเลย ไม่ได้ซึมสวยๆนะ ไหลพรากๆ น้ำมูกไหลเลย เอาไปซ้อมฟังกันนะ ในคอนเสิร์ตเล่นเวอร์ชั่นนี้แหละ

    อากาศที่นี่ตอนกลางวันแดดร้อนแต่กลางคืนพอเริ่มมืดจะหนาว คนยืนค่อนข้างเบียดแต่ไม่ได้อัดแน่นติดกันเป็นก้อนจนอึดอัด ถือว่ามารยาทดีพอควร ยกเว้นอีเด็กวัยรุ่นที่คุยกันเสียงดังมากตอนวงเปิดเล่น นี่อยากจะหันไปด่า

    เราอยู่หน้าสุดก็จริง แต่เราเห็นคริสน้อยมากกกกกก เพราะพี่แกเล่นวิ่งไปมาตลอดเวลา เราก็เตี้ยโดนบัง ถึงจะเป็นก้อนเอเชี่ยนแล้วก็ยังเตี้ยอยู่ดี โทษใครไม่ได้ เห็นถ่ายรูปมาเยอะแยะแบบนี้ จริงๆเราแทบไม่เห็นเลย สกิลถ่ายรูปล้วนๆ ฮ่าๆ จริงๆคือเห็นแค่เวทีที่ใกล้มากๆ ฝั่งที่เรายืน (ด้านซ้ายหันหน้าเข้าหาเวที) ใกล้จอนนี่สุด กายยืนฝั่งขวา

    คริสชอบล้อกายว่าหล่อ นายแบบ แล้วก็ล้อว่าจอนนี่หน้าหื่น ค้ายา เมากัญชา พูดเหมือนเดิมมาสิบปีแล้ว นี่ไม่คิดว่าจะเจอสคริปต์เดิม ฮ่าๆ คงเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดูหน้าพี่สิ

    กายก็ยืนหล่อต่อไป ตามสไตล์ ยิ้มคูลๆ

    แต่เราไม่เห็นวิลเลย เสียใจ ไม่เห็นแบบ ไม่เห็นเลยยยยยยยยยยยย อะ ฮือ

    ตอนก่อนมาคอนเสิร์ต คริสให้สัมภาษณ์กับวิทยุที่ Auckland ดีเจบอกมีคนล้อว่าจะมาดูคอนเสิร์ตวงนี้โดนห้ามเอาทุกอย่างมาจนต้องแก้ผ้าไป พอเข้ามาในคอนแล้ว มีจังหวะนึง คริสบอกว่า พี่ก็ไม่ได้อยากจะห้ามหรอก แต่เพื่อความปลอดภัยของคนดูและวงก็ต้องห้ามนู่นห้ามนี่ ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากจะให้ขี่อูฐมาหรอก

    เอาเป็นว่า การอยู่หน้าสุดก็มีส่วนที่ทำให้เราออกมาจากคอนเสิร์ตแล้วอินมากขนาดนี้ แต่จริงๆถ้ายืนโซนหลังๆก็คงสนุกไม่แพ้กัน เพราะตอนออกมาจากคอนเสิร์ต ขากลับที่เดินไปขึ้นรถไฟ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่เป็นคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดในชีวิต


    ระหว่างทางเดินไปขึ้นรถไฟ มีคนใส่หน้ากากคริสยืนดีดกีตาร์ Viva La Vida อยู่กลางถนน คนเดินไปด้วยกันเป็นร้อยคน จังหวะนั้นคนทั้งถนนร้องเพลงไปพร้อมๆกัน โห โฮโฮ้โฮโฮฮฮฮฮฮฮฮ อย่างพร้อมเพรียง เรานี่ขนลุก คอนเสิร์ตจบคนไม่จบอะ


    บนรถไฟที่จัดมารับคนกลับจากสเตเดียมทั้งคันมีคนเมาโวยวาย ไอ เลิฟ ยู คริสมาตลอดทาง คนบนรถก็นั่งอมยิ้มกันแก้มปริ

    เราเคยเสียใจที่วงเปลี่ยนมาทำเพลงป็อปขนาดนี้ อัลบั้มที่เราชอบที่สุดคือ X&Y มีหลายเพลงที่เราตัดใจแล้วว่าชีวิตนี้คงไม่มีวันได้ฟังวงเล่นสดอีก แต่วันนี้เรามีความสุขมาก เราดีใจที่วงที่เรารักมีคนที่มีความรู้สึกร่วมกันกับเรามากขนาดนี้ เราดีใจที่วงยังทำเพลงต่อ เพลงอาจจะไม่เหมือนเดิม ซึ่งจริงๆมันก็ไม่ได้เลวร้ายนะ นี่พูดในฐานะของคนที่ด่า Adventure Of A Life Time ว่าหมอลำมากว่าครึ่งปี เกลียดแฟชั่นสีรุ้ง (และเกลียดลิงมากจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยดูเอ็มวี ฮ่าๆ) เราดีใจที่เพลงของวงให้พลังบวกมากขนาดนี้ มีหลายอย่างในคอนเสิร์ตที่ทำให้เราหงุดหงิดมากๆทั้งคนเสียงดัง มองไม่เห็นเวที เข้าผิดเกท ยืนผิดฝั่ง แต่เหตุการณ์แย่ๆพวกนี้ทำอะไรเราไม่ได้เลยอะ มันมีความสุขมากจนเราไม่สะทกสะท้านอะไรเลย

    ใกล้วันจองตั๋วของฝั่งไทยแล้ว เราที่ระหว่างรอดูคอนเสิร์ต ต้องทนทั้งประกาศข่าวเล่นที่ไทยในคืนวันก่อนบิน ต้องทนดูโฆษณา COLDPLAY LIVE IN BANGKOK ลุ้นว่าตั๋วมือสองในมือนี่จะใช้ได้มั้ยมาครึ่งปี ก็ขอให้แฟนๆที่ไทยทุกคนโชคดีกับการกดบัตร และไม่ต้องอิจฉาเรา เพราะคริสไม่ได้สวัสดีครับบบบ เฮลโหล่วแบงค็อกกกกกกใส่เรา เราเสียใจมาก

    ใครอยากเม้ามอย กรี๊ด ด่า แซะ เชิญที่ twitter: @ksdholler

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Aof Worathida (@aofferer_utd)
ผ่านมาอ่านเจอ อยากจะบอกว่า

เข้าใจความรู้สึกมากๆ อินไปด้วยเลย 55 คิดมาตลอดเหมือนกันว่า หลัง X&Y มา ไม่ค่อยอินกับเพลง Coldplay เท่าไร ปันใจให้วงอื่นๆไปก็มาก แต่ก็ยังตามฟังอยู่ เมื่อ 13 ปี ก่อนได้ดูคอนฯ Coldplay ตอนมาเมืองไทย (แก่แล้ว55) ตอนนั้นไปรับที่สนามบินด้วย คนไม่เยอะเลย ได้ลายเซ็นท์ คริส กับ กาย ด้วย (กรี๊ด) หลังจากนั้น ก็คิดมาตลอดว่าโชคดีมากกกก ที่ได้ไปคอนฯตอนนั้น เพราะหลังจากนั้นก็ไม่มาอีกเลย จนปีนี้เนี่ยแหละที่ได้ข่าวดี ทำให้ได้ปัดฝุ่น มาตั้งใจฟังอัลบั้มหลัง X&Y ใหม่ แล้วก็พบว่า ความรู้สึกอินเก่าๆก็กลับมา คือ เพิ่งรุ้สึกว่าถึงแนวเพลงจะเปลี่ยนไป แต่จริงๆแล้ว Coldplay ก็ยังเป็น Coldplay ที่ดนตรี และเนื้อหายังสวยเสมอ เสน่ห์เฉพาะตัวก็ยังอยู่ คอนเสิร์ตรอบนี้จะไปเกาะข้างหน้า และจะอินและฟินให้สุดๆเหมือนคนเขียนเลยนะคะ ??