เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ฉันรักหนัง แล้วหนังรักฉันไหม?Dominicky
วอท อีส เดอะ "มิสซองแซง" (what is the Mise-en-scène)
  • กลับมาแล้ว หลังจากหายไปนานมากพอสมควร เนื่องจากว่าทั้งงานเยอะและไหนจะคิดไม่ออกว่าจะเอาอะไรมากเขียนในตอนนี้ เห็นเราเขียนแบบนี้เราใช้เวลากับมันเยอะอยู่เด้อ แต่ก็จะมารีวิวสิ่งที่คนหลายคนอาจจะไม่เคยคุ้นหูหรือได้ยินจากไหนมาก่อน หรือแม้กระทั่งคนเรียนหนังบางคนก็อาจจะยังไม่รู้สึกใก้ลชิดกับสิ่งๆนี้ แต่ในวันนี้เราจะมาพูดเลยว่า เรารู้จักกับมันจนสนิทสนม และก็อยากเลิกสนิทไปเลยจ่ะแม่จ๋า

    Mise-en-scène หรือ มิสซองแซง


    เป็นศัพท์ที่มีพื้นฐานมาจากภาษาฝรั่งเศส เป็นศัพท์ทางภาพยตนร์ เชิงเทคนิคที่ให้ความหมายว่า "การจัดองค์ประกอบภาพ" ซึ่งเราต่างรู้กันในเบื้องต้นว่า แต่ละภาพของการถ่ายในหนังสำคัญมากๆ ทั้งในเรื่องของความสวยงามแล้ว ก็ยังมีเรื่องของจิตวิทยาเพื่อให้ภาพของหนังช่วงนั้นคนดูรู้สึกยังไง หรือจะด้วยเรื่องของความหมายแฝงที่ผู้กำกับจงใจให้ในภาพนั้นสื่อออกมา

    ด้วยเรื่องที่กล่าวมาเบื้องต้น เผื่อไม่เข้าใจกัน เราเลยจะมีภาพประกอบให้ผู้อ่าน
    อันนี้เก่าหน่อย เรื่อง Ran (1985)
    หนังจากผู้กำกับรุ่นใหญ่ในตำนานแห่งวงการภาพยนตร์ฝั่งตะวันออกที่เลื่องชื่อไปถึงเวลายุโรป
    "อากิระ คุโรซาว่า" เป็นหนังสีเรื่องแรกและเรื่องเดียวในชีวตเขา การจัดเฟรมในหนังเรื่องนี้มีชั้นเชิงและซ่อนความหมายไว้เยอะพอตัว แต่เรื่องนี้เราเคยดูกับเพื่อน(ซึ่งเป็นทาสรักหนังของลุงคุโรซาว่า) ก็เลยเหมือนเคยคุยกันในแต่ละช็อตของหนัง

    อย่างภาพที่เราเอามาเป็นตัวอย่าง เป็นภาพที่ดูน่ากลัวหรือเศร้านิดๆ เพราะมีคราบเลือดสาดเต็มกำแพง คือจริงๆแล้ว เต็มเรื่องของเรื่องนี้จะเกี่ยวกับ3พี่น้องที่ต่างก็แก่งแย่งชิงความดีเพื่อให้พ่อที่เป็นจักรพรรดิส่งตำแหน่งให้ตัวเอง สงครามจึงเกิดขึ้นขนาดที่ว่าจะฆ่าแกงครอบครัวกันได้ และหนึ่งในเบื้องหลังความยุแยงแตกหักก็คือผู้หญิงที่นอนเป็นศพในภาพ (ไม่ใช่คนที่อยู่ซ้ายมือนะเออ) และซามูไรเสื้อแดงคนนั้นก็คือลูกคนโตของจักรพรรดิ 
    โดยในเรื่อง ผู้หญิงช่างยุแยงคนนี้ได้นั่งในห้องตัวเองและพูดด้วยความภูมิใจว่าด้แก้แค้นสำเร็จโดยไม่ต้องจับอาวุธฆ่าฟันใคร เธอเพียงแค่ใช่มารยาหญิงและนั่งมองครอบคัรวที่แตกหักกันด้วยความสะใจ ซามูไรเสื้อแดงคนนั้นในภาพเลยฆ่าเธอด้วยดาบอันคมกริบ

      และเลือดที่เห็นในภาพคือ ถ้ามองดีๆแล้ว มันจะคล้ายปีกนก ซึ่งเป็นความจงใจอย่างหนึ่งของเฟรมนี้ เพื่อนเราตีความว่า ภาพนี้ต้องการจะสื่อถึงความอิสรภาพ เธอคนนี้ทุกข์กับความแค้นของตัวเองมานาน และเสมือนเป็นถ่านที่ค่อยๆเก็บความร้อนให้ระอุขึ้น เมื่อมันร้อนจนได้ที่ เธอก็ให้ไฟมันลุกโชนจนความปราถนานั้นสำเร็จ แม้จะตาย ก็รู้สึกได้ถึงความพอใจที่ตัวเธอเองอดทนมานาน นั่นคืออิสรภาพที่เธอได้รับจากกรอบที่ทนอยู่มานาน
    คืออันนี้ เพื่อนเราวิเคราะห์ให้ฟังนานกว่านี้ แต่แบบ อห มาก (ซึ่งจะแปลว่าโอโห หรืออีเ_ี้ยก็ตาม) มึงสุดยอดมาก กูนี่จากโง่อยู่แล้ว โง่กว่าเดิมไปเลย 55555 ขำๆจ้า เราแค่รู้สึกตื่นเต้นที่มีเพื่อนวิเคราะห์หนังได้ขนาดนี้ เปิดโลกมาก ชอบ

    We Need to Talk About Kevin (2011) 
    เรื่องนี้กำกับโดย ลีนน์ แรมเชย์ เป็นผู้กำกับชาวสก๊อตแลนด์ จริงๆภาพสวยกว่านี้มีเยอะมาก หลายช็อตดีมาก แต่เนื่องจากดูแค่ภาพกับตัวอย่างหนังเอง เลยวิเคราะห์ไม่ได้ดีมาก เลยเอาที่ตัวเองเข้าใจในทางเทคนิคจิตวิทยามา
    คือจะสังเกตได้ว่า ภาพนี้จะให้ความรู้สึกที่ แตกต่าง คนละโลกกัน อยู่ด้วยกันแต่เหมือนอยู่แยกกัน เพราะฝั่งแม่จะนั่งอยู่ฝั่งที่เต็มไปด้วยประตูและหน้าต่าง ของที่มีกรอบและเป็นทรงสี่เหลี่ยมแบบนี้จะให้ความรู้สึกว่าถูกกีดกันหรืออยู่ในกรอบ อยู่กับกฎเกณฑ์ แต่ใยขณะเดียวกันอีกฝั่งกลับโล่งมาก ทำให้รู้สึกว่างเปล่า(ก็ถูกแล้วนี่) และก็ดูไม่อึดอัด แต่ในอีกนัยหนึ่งก็คือ มันไม่มีอะไรแน่นอนก็เป็นได้ ภาพนี้จึงบอกได้ถึงความต่างของสองแม่ลูก


    2001 : A Space Odyssey (1968)
    หนังโดยสแตนลีย์ คูบริค อันนีเราก็ไม่เคยดู 5555 แต่จำได้เลยว่ารูปนี้อาจารย์เปิดให้ดูนานมาก เพราะเราชอบงานอาร์ต(พวกสีหรือฉากที่เซ็ท) เลยนั่งมองว่าเขาเอาอะไรมาทำแล้วประกอบยังไง แล้วจารย์พูดไรคืออ่าว ไม่ได้ฟัง เด็กเลวมากจริมๆ 
    ก็เลยกลับไปหาอ่าน เจอกระทู้คนไทยพอดี ก็ ที่ผู้กำกับตั้งใจทิ้งspaceไว้แบบนี้เพราะว่าเขาอยากให้ตัวละครมีความรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง อย่างในภาพนี้นอกจากจะอ้างว้างวังเวงแล้วก็ยังแสดงให้เห็นถึงว่าเขากำลังจะมุ่งสู่อะไรบางอย่าง

    ปล.ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมและเรฟในการบอกเล่าข้อมูลจาก : https://movie.mthai.com/bioscope/247707.html

    ก็ต้องขออภัยที่ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ดูมีความรู้มากเท่าไหร่ แต่ที่มีแน่ๆคือประสบการณ์การทำงานนี้
    ในวิชาที่เราเคยบอกว่ามียันปี2เทอม1 ทีมีชื่อว่า Visual Art 3 หรือชื่อที่เพื่อนๆตั้งกันว่า "วิชาทรมาณ"

    โจทย์แรก : Suspense
    หนังแนวนี้จะคล้ายๆ Thriller เล็กน้อย แต่จะเน้นไปที่จิตวิทยาการตีความมากกว่า จริงๆโจทย์นี้เป็นโจทย์แรก และน่าจะเป็นโจทย์เดียวที่มีเนื้อเรื่องให้(ซึ่งอาจารย์เล่าจากหนังธีสิทของรุ่นพี่ที่จบไปแล้วให้ฟังแล้วไปเลือกฉากที่อยากทำกันเอง)
      ก่อนอื่นของอ้างอิงถึงหนังเรื่องที่ว่า เป็นผลงานของธีสิทรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว เป็นเรื่องราวของเด็กสาวจากต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในเใืองเพื่อเป็นเด็กดริ้ง และมาเจอกับสาวนักร้องดริ้งตัวแม่ที่มีประสบการณ์มากๆ และทั้งสองเองก็มีความสัมพันธ์กัยนเชิงชู้สาว

    อ่ะ เอาเรื่องย่อไปแค่นี้ ไม่มีให้หาดูด้วยนะจ๊ะ 55555

    mise en scene : Suspense 
    Director : Thanawan Chan-nguleom
    camera : Varun Charaysombatcharoen / Jetiya Jamjuntra

    mise en scene : Suspense
    Director : Jetiya Jamjuntra
    camera : Jetiya Jamjuntra

    อันนี้เราไปทำอาร์ตให้เพื่อนเรา (จัดพวกฉากกับของ) แต่เจ้านี่มันถ่ายรูปเก่งอยู่แล้วแถมแต่ละงานเราก็ถามมันประจำ ว่าอันไหนดีอันไหนได้ ไปดูโจทย์ต่อไปกันดีกว่า

    โจทย์ที่2 : Romantic
      เหมือนจะง่ายดายเพราะหนังรักหาดูตัวอย่างได้ทั่วไป แต่อาจารย์scopeให้ว่า"จากประสบการณ์" แต่ละคนก็จะมีเรื่องราวและก็ภาพในหัวที่ตัวเองคิดเอาไว้ มีทั้งเรื่องจริง มโนภาพ และก็ทั้งสองอย่างรวมกันก็มี

    mise en scene : romantic
    director : Chutikarn Kongton
    camera : Jetiya Jamjuntra

    mise en scene : romantic
    director : Nopparit Boonchoung

    อันนี้ภาพของเพื่อนบางคนเราไม่แน่ใจว่าใครถ่ายหรือถ่ายเอง แต่ว่าขออนุญาตมาแล้ว เป็นภาพที่สื่อความหมายหลากหลายแบบตามอารมณ์และความรู้สึกที่ผู้กำกับอยากถ่ายทอดออกมา
     
    โจทย์ที่3 : Action
      โจทย์นี้ก็เป็นอะไรที่ท้าทายเราพอตัว แต่งานนี้เรียกได้ว่าหนักสุด เหนื่อยสุด ล้าสุด ให้ถ่ายMaster 1 รูป และมุมอื่นประกอบอีก3รูป แบบ... อีบ้าเอ้ย แค่มุมเดียว รูปเดียวก็คิดจนจะหัวระเบิดตายแล้ว นี่มา4รูป แล้วคือด้วยความที่ว่าเป็นงานเดี่ยว แต่เพราะเป็นการออกกองถ่ายที่เป็นภาพนิ่ง คือคุณต้องมีเพื่อนช่วยคุณและคุณก็ต้องไปช่วยเพื่อน 

    และนี่คืองานแอคชั๊นนน แอคชั่นของชาวฟิล์มเรา

    mise en scene : Action
    Director : Sanya Moungted

    mis en scene : Action
    Director : Thanawan Chan-nguleom
    camera : Ninat Nikaji


    mise en scene : Action
    Director : Wannarat Todsri
     





  • ภาพสุดท้ายมันลงลงในเฟสแค่3รูป แล้วตอนไปขอบอก เซฟจากในเฟสได้เลย คือพอไปดู อ่าว มึงให้กูแค่นี้สินะ 5555 (หยอก) ก็อย่างที่เห็นไปว่าโจทย์นี้มันเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะได้ภาพแบบนี้กันมา แล้วจะบอกว่าหลายๆวันช่วงนั้นคือ เดือดกันสุดตีน อย่างของเราต้องแสงจ้าๆตอนเช้า ต้องมาเตรียมของแต่เช้ายันเที่ยง ต่อด้วยบ่ายเตรียมพร๊อบให้เพื่อนแล้วถ่ายต่อ ต่อด้วยกองเพื่อนที่ต้องรอมืดแล้วจัดไฟ ต่อด้วยกองดึกที่ต้องใช้ไฟหน้ารถ ส่วนตอนsuspenseออกตั้งแต่เช้ายันตี3 ราวๆ4กองติดได้ แถมนอนไปได้แค่2ชั่วโมง ต้องออกมาช่วยเพื่อนถ่ายอีกตั้งแต่ช่วงเช้าถึงบ่ายนิดๆ
      หลังจากวันนั้นกลับบ้านคือสลบจ้า สลบไปเลย แต่หลับได้ไม่ดีก็ต้องตื่นกลับไปหอ เพราะเพิ่งนึกได้ว่าตอนเช้ามีอีกกองของเพื่อนต่อ 
    ช่วงนั้นโดยเฉลี่ยต่อสัปดาห์ ไปออกกองภาพนี้งานนี้ 4-6กอง ต่อสัปดาห์ แล้วโจทย์สั่งอาทิตย์เว้นอาทิตย์ (มันจะเป็น สั่งงาน>ส่งแบบ/เริ่มถ่าย>ปริ้นส่ง/สั่งโจทย์ใหม่) วนไปจนครบ3งานจ่ะแม่ 

      ตอนนี้กลับมาดูงานตัวเองก็รู้สึกว่า เฮ้ย เราก็ทำได้ บางงานอาจจะไม่ได้ดีมาก แต่ก็ทำได้นี่ ตอนช่วงแรกๆเครียดมาก ไม่อยากทำ ไม่อยากคิด อยากจะทำๆให้มันจบๆ แต่พอได้ไปช่วยกองเพื่อนเ็นเพื่อนทำกันดีๆ มันก็ยากแล้วว่ะ ที่จะเทงานที่เป็นของเราได้ลงคอทั้งๆที่เราเต็มที่กับงานเพื่อนขนาดนี้

      เราไม่ชอบการทำงานตัวเองหรือแม้แต่ความคิดตัวเองเลย ไม่เคยมั่นใจแล้วก็กลัวมากๆในการจะลองข้ามเส้นๆsafe zoneเพื่อให้งานออกมาแปลกใหม่ด้วยซ้ำ แต่เราไอเดียเราก็ไม่ได้ดีพอที่จะแปลกแหวกขนาดนั้นด้วย  จนพอเข้าใจกับโจทย์เรื่อยๆและทำความเข้าใจกับตัวเอง
      ที่ต้องลดลงอาจจะไม่ใช่ไอเดียของงาน แต่เป็นความเครียดของเรา ที่ปิดกั้นตัวเองให้ลองสิ่งใหม่

      เหมือนพอทุกครั้งที่เราลดความเครียดลง เข้าหาเพื่อนเพื่อปรึกษามากขึ้น งานเราก็ได้รับคำชม อาจจะไม่ได้มากแต่อย่างน้อยที่สุด มันเติมเต็มเราให้หายเหนื่อยได้ 

      จริงๆนอกจากจะต้องขอบคุณเพื่อนๆที่อุส่าให้ยืมรูปมาลงแล้ว ก็ขอบคุณเพื่อนๆที่คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำ และก็ขอบคุณบางงานของเพื่อนที่ไว้ใจให้เราไปช่วย ขอบคุณแรงกำลังใจจากเพื่อนที่เหนื่อยไปด้วยกัน ขอบคุณครูอาจารย์ที่คอยให้คำแนะนำ (แม้พวกหนูจะทรมาณมากก็ตาม ฮืออออ) และที่ขาดไม่ได้เลย ขอบคุณพ่อแม่ที่เข้าใจความเหนื่อยของเรา ขอบคุณทุกกับข้าวอาหารที่ทำให้ทุกครั้งที่บอกว่าเหนื่อย อยากกลับบ้าน ขอบคุณม๊า....กกกกก

    ยังไงก็จะพยายามกลับมาเขียนต่อนะ แบบ หาเวลามายากอยู่พอตัว ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่ทั้งเพิ่งมาอ่านและอ่านมาตั้งแต่ตอนแรก ขอบคุณมากจ้า 



    love yall .

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
ชอบ ๆ
Dominicky (@jjthwan20)
@chanomkaimoong ขอบคุณมากนะคะ <3