เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หลอนลากไส้ The Im-mortal: ขบวนการคนหลอกผีชนุ่น
วังวน วงแหวน วนเวียน: ถกเขมรทอล์กเรื่องสยองจาก THE RING (1998)


  •     NOTE: บทความนี้ทับศัพท์ชื่อและบุคคลตามธรรมเนียมญี่ปุ่น (นามสกุล-ชื่อ) และถอดเสียงคำในภาษาญี่ปุ่นโดยไม่ยึดหลักการทับศัพท์ของราชบัณฑิตยสถาน หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ และบล้อกนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์ หากท่านที่ไม่ต้องการทราบเนื้อหาก่อนจะดูภาพยนตร์เรื่องนี้ สามารถข้ามไปก่อนได้นะครับ --- สปอยล์หนังขี้แตกกันจริง ๆ จ้า




        เมื่อพูดถึงภาพยนตร์แล้ว ประเภทหรือแนวหนึ่งที่ยอดนิยมเหลือเกินของงานโสตทัศนูปกรณ์ชนิดนี้ เห็นทีจะไม่พ้น ‘ภาพยนตร์สยองขวัญ’ ที่สามารถสร้างความบันเทิงแก่ผู้ชมได้ด้วยวิธีแสนประหลาดอย่างการใช้ความกลัวของคนมากระตุ้นให้เราติดตามทุกฉากต่อไปจนจบ และหากพูดถึงภาพยนตร์สยองขวัญสุดฮ็อตฮิต นอกจากในฝั่งฮอลลีวู้ดแล้ว ฝั่งเอเชีย, แดนดินถิ่นเรื่องผีก็ชอบแตะหนังผีตลอด และทำออกมาได้ออกมาดีทุกครั้งไป


        และหนึ่งในภาพยนตร์จากประเทศญี่ปุ่นที่ดังกระจายจนฮอลลีวู้ดต้องเอามารีเม้ก และเชื่อเหลือเกินว่าจะต้องเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ขวัญใจคอหนังผีหลายคนนั่นก็คือ ‘เดอะริง’ นั่นเอง


        เดอะริงนี่ต้องเรียกว่าเป็น ‘อภิมหากาพย์’ กันเลยทีเดียวละครับ เพราะแรกเริ่มเดิมทีมาจากนวนิยายสยองขวัญ ‘ริง’ (Ring; リング) ของสุซุกิ โคจิ (Suzuki Koji; 鈴木光司) เมื่อ ค.ศ. 1991 เกี่ยวกับการตามหาที่มาของวิดีโอเทปต้องคำสาป (เทปตลับอันใหญ่ ๆ แบบที่ใส่เข้าเครื่องน่ะนะครับ) ที่เรารู้จักกันดี ฉบับนิยายนี้โด่งดังได้รับการยกย่องว่า “เป็นนิยายสยองขวัญแห่งทศวรรษ” ด้วยวิธีการเล่นกับจิตใจมนุษย์ และความคลุมเครือระหว่างวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์ ผสานกับความลึกลับที่น่าตื่นเต้น จึงทำให้มีการดัดแปลงเป็นสื่ออื่น ๆ ตามมา ก่อนที่จะมีภาคต่อเป็นซีรีส์ ‘เดอะริง’ เช่น Spiral (らせん, 1995), Loop (ループ, 1998), ฯลฯ


        ในฝั่งญี่ปุ่น ‘เดอะริง’ มีการดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์เมื่อ ค.ศ. 1995 และต่อมา ค.ศ. 1998 ก็มีการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ซึ่งกำกับโดยนากะตะ ฮิเดโอะ (Nakata Hideo; 中田秀夫) นำแสดงโดย มัตสึชิมะ นานาโกะ (Matsushima Nanako; 松嶋菜々子), นากะทานิ มิกิ (Nakatani Miki; 中谷美紀) และซานาดะ ฮิโระยูกิ (Sanada Hiroyuki; 真田広之) ซึ่งบทภาพยนตร์เองก็ดัดแปลงเนื้อหาเยอะอยู่ทีเดียว แต่ด้วยผมไม่ได้อ่านนิยายมาก่อน ดังนั้นสำหรับบล็อกนี้ผมจะพูดถึงฉบับภาพยนตร์ของนากะตะ ฮิเดโอะเท่านั้นนะครับ




        ภาพยนตร์จะกล่าวถึงอาซากาวะ เรย์โกะ ผู้กำกับรายการทีวีสาวและคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคอยดูแลโยอิจิ ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ ซึ่งเมื่อเธอต้องตามหาที่มาของข่าวลือเรื่องวิดีโอเทปต้องคำสาป ที่ใครได้ดูเทปนั้นแล้วจะต้องตายภายในเจ็ดวัน และเชื่อกันว่าคำสาปนั้นเองทำให้นักเรียนมัธยมปลายสี่คนต้องเสียชีวิตด้วยสาเหตุแปลกประหลาด จึงทำให้เธอได้เทปนั้นมาและตกอยู่ในคำสาปนั้นด้วย ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องกลับไปหาทาคายามะ ริวจิ สามีเก่าของตนเพื่อหาทางล้างคำสาป


        ตัวเรื่องได้ผสมความเชื่อและไสยศาสตร์มาเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลยทีเดียวละครับ ตั้งแต่ที่ริวจิ อาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีพลังทางจิต รวมไปถึงประวัติของซาดาโกะเอง ความน่ากลัวที่นอกจากเรื่องผี ๆ สาง ๆ แล้วที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือประเด็นของความกลัวในเรื่อง ที่ส่งผ่านผู้ชมผ่านองค์ประกอบทั้งแสง สี เสียง มุมกล้อง รวมไปถึงการดำเนินเรื่องที่ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ



        ขอยกตัวอย่างฉากหนึ่งที่ผมว่าทำได้ดีทีเดียว คือในช่วงแรกของภาพยนตร์ ซึ่งเรย์โกะพาลูกชายไปงานศพของลูกพี่ลูกน้อง (โทโมโกะ) และโยอิจิลูกชายก็ตาม ‘อะไร’ บางอย่างขึ้นไปในห้องของโทโมโกะ ส่วนนี้เองเราอาจจะยังไม่ได้รู้อะไรมากนัก แต่หลังจากนั้น, เรย์โกะก็กลับไปหาพี่สาวของตัวเองอีก และเมื่อขึ้นไปที่ห้องของโทโมโกะ เรื่องจึงเปิดเผยว่าโทโมโกะตายอยู่ในตู้เสื้อผ้า เป็นการยืนยันว่าลูกชายของเรย์โกะมีสัมผัสพิเศษแน่ ๆ



        ที่จริงฉากนี้ผมค่อนข้างชอบเป็นส่วนตัว...หลายคนอาจจะมองว่าธรรมดาแต่ผมว่าเป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียว เพราะมันย้ำให้รู้สึกต้องสนใจส่วนนี้ มุมกล้องในช่วงที่โยอิจิขึ้นมา กับของเรย์โกะตอนก่อนจะเข้าห้องเป็นมุมจากระยะไกล ซึ่งช่วยให้คนดูรู้สึกห่างเหินคล้ายว่าเป็นมุมของ ‘อะไร’ ที่มองมาจากตรงนั้น --- และถ้ามองโดยภาพรวมผมว่ามันมีบาลานซ์ระหว่างฉากผีหลอกตุ้งแช่ และฉากหลอกแบบเรียบ ๆ อย่างนี้น่ะนะ




        สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าสนใจไม่แพ้กันคือการเน้นยำเรื่องของครอบครัวและความรัก เพราะส่วนที่ทำให้เรย์โกะตัดสินใจหาความจริงอย่างเป็นจริงเป็นจังนั้นไม่ใช่เพราะตัวเองโดนคำสาปเพียงคนเดียว แต่เพราะสามีเก่าตัวเอง (ที่ลากเขามาดูเทปด้วย) ก็โดนคำสาป และช่วงกลางเรื่องที่โยอิจิเองก็ดูวิดีโอเทปม้วนนั้นและโดนคำสาปเช่นกัน จึงผลักดันให้เธอต้องเร่งตามหาวิธีแก้ไขเรื่องประหลาดดังกล่าวเพื่อช่วยลูกของเธอกับสามีเก่า


        ฟังดูเป็นสูตรสำเร็จก็จริงอยู่, แต่ผมว่าส่วนนี้มันย้ำบ่อยทีเดียว ทั้งความสติแตกและความกลัวของเรย์โกะที่มีมากขึ้นเมื่อใกล้จะหมดสัปดาห์เส้นตาย --- อีกทั้งยังตอกย้ำเรื่องนี้อีกด้วยประวัติอันน่าสงสารของซาดาโกะ เด็กหญิงพลังจิตซึ่งถูกฆ่าโดยพ่อแท้ ๆ และด้วยจิตอาฆาตนี้เองจึงหาทางส่งต่อความกลัวของตนผ่านเทปลึกลับดังกล่าว จนทั้งสองคนก็พบกับบ่อน้ำดังกล่าวและตามหาซากศพของซาดาโกะจนเจอ



        ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ผมยอมรับว่ารู้สึกว่ามันดีเหลือเกิน ทั้งฉากที่เรย์โกะกอดซากนั้น กับในช่วงสุดท้ายที่สองสามีภรรยาคุยกันว่าทำไมอิคุมะ (พ่อของซาดาโกะ) จึงทำกับลูกตัวเองเช่นนั้น โดยเรย์จิพูดว่า “บางทีเขาคงคิดว่าซาดาโกะไม่ใช่ลูกของเขา...บางทีพ่อของซาดาโกะอาจจะไม่ใช่มนุษย์” --- อันนี้ส่วนตัวไม่รู้ว่าริวจิพูดออกมาด้วยอารมณ์ไหน อาจจะด้วยความเป็นคนพลังจิตเหมือน ๆ กับซาดาโกะจึงเข้าใจ หรือเพราะจาการที่อิคุมะเคยบอกว่า “ซาดาโกะมันเป็นปีศาจ” จึงสรุปไปอย่างนั้น


        แต่เพราะความรักนี่แหละครับ จึงทำให้เราสามารถทำได้ทุกอย่าง และสามารถลบล้างความพยาบาทออกไปได้ในที่สุด




        ...ล้อเล่นนนนนนนนนนนน (หัวเราะ)


        ใครที่เคยดูเรื่องนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นฉบับรีเม้กของฮอลลีวู้ดก็ตาม --- ที่จริงยังมีต่อนะครับ เพราะฉากในตำนานกำลังจะเริ่มต่อจากนี้


        เมื่อถึงวันอังคาร ริวจิก็ตาย และเรย์โกะก็กลับมาปวดหัวอีกรอบว่าในเมื่อพบศพของซาดาโกะทำไมถึงยังเกิดเรื่องนี้อีก ทำไมริวจิที่ดูเทปในเวลาไล่เลี่ยกันจึงโดนเอาชีวิต ขณะที่เธอไม่เป็นอะไร


        และก็พบว่าวิธีเดียวที่จะแก้คำสาปได้ --- ไม่สิ, วิธี ‘ผลักคำสาปออกจากตัว’ คือการ ‘ส่งต่อ’ คำสาปต่อไปให้คนอื่น...การทำเทปสำเนาแล้วส่งต่อไปให้คนอื่นดู


        และนั่นแหละครับ, เพื่อที่จะปกป้องโยอิจิ ลูกชายเพียงคนเดียวของเรย์โกะ เธอจึง (น่าจะ) เลือกทางออก คือการ ‘ส่งต่อ’ มันออกไปจากลูกชาย --- และนี่อาจจะเป็นความหมายจริง ๆ ของ ‘ริง’ ในเรื่องนี้ก็ได้...ที่สุดท้ายแล้วเรื่องก็กลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง, การส่งต่อความชั่วร้ายในนามคำสาปของซาดาโกะต่อไป ก่อวังวนคำสาปต่อไปไม่รู้จบ โดยที่เรื่องก็ไม่บอกว่ามีหนทางอื่นที่อาจจะช่วยแก้คำสาปโดยถาวรได้หรือไม่ แต่สุดท้ายแล้ว...อะไรที่ทำให้เราและคนใกล้ตัวไม่ซวยไปมากกว่านี้ ทำ ๆ ไปก่อนก็ค่อยคิดเอาละกัน


        แต่ถ้าเกิดเอาคอนเส็ปต์ความรักมาใช้ บางทีเราก็อาจจะบอกได้ว่าความรักเองก็ทำให้เรา ‘กลัว’ และทำทุกวิถีทางเพื่อความรักนั้นเช่นกัน --- เพราะหากเรย์โกะไม่กลัวความตาย ไม่กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็คงไม่หาทำวิธีนี้เด็ดขาด หรือด้วยว่าเพราะไม่กลัวว่าจะมีคนตายอีกหรือไม่ ก็จึงส่งต่อความกลัวนั้นต่อไปให้ยังคงอยู่ และแท้จริง...คามกลัวนั้นก็เกิดจากสิ่งที่เราไม่รู้ว่าจะจัดการมันได้อย่างไร อย่างคำสาปนั้นนั่นเอง


        กล่าวอีกนัยหนึ่ง, บางทีแล้ว...ความรักเอง ก็อาจจะเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ จากความกลัว ที่มีขึ้นเพื่อทำให้ ‘ริง’ ยังคงดำเนินต่อไปก็เป็นได้


        ใครจะไปรู้.


        (หัวเราะ)





        ป.ล. ขอขอบคุณฟรุ๊ตไวน์จาก TOPS ที่ทำให้ผมดูริงในครั้งที่สองได้สนุกขึ้น และทำให้ความคิดเชื่อมโยงนั้นทำงานได้ดีกว่าเดิม --- ทั้งที่ขมวดตรงกลางนั้นอีรุงตุงนังกันฉิบหายแล้วก็ตามที (หัวเราะ)

        จะว่าไปพูดถึงริงแล้วก็นึกถึงวิชาพีชคณิตนามธรรมแฮะ...สยดสยองพอกันเลยเหอะ (หัวเราะ)



        ปกิณกะ:

        ช่วงฉากสุดท้ายที่ผีซาดาโกะคลานออกมาจากทีวีนั้นแสดงโดยอิโนโอะ ริเอะ (Ino-o Rie; 伊野尾理枝) ก็จริง แต่ฉากที่โคลสอัพตา ที่จริงใช้คุณมิยะซากิ โนริฮิโกะ (Miyazaki Norihiko; 宮崎紀彦) ผู้ช่วยผู้กำกับของเรื่องนี้แสดงนะครับ --- ในตอนแรกก็มีการแคสต์นักแสดงหญิงที่จะใช้ในฉากนี้แล้ว แต่เพราะผู้กำกับอยากได้ขนตาสั้น ๆ อีกทั้งไม่มีเวลามากแล้ว หวยจึงลงที่คุณมิยะซากินั่นเองครับ


    อ้างอิง:

    • https://ja.wikipedia.org/


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in